79
ประวัติความเป็นมา ของพระพุทธศาสนา และองค์การศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย ภาคที่ ๓

ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

  • Upload
    others

  • View
    7

  • Download
    0

Embed Size (px)

Citation preview

Page 1: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

ประวัติความเป็นมา ของพระพุทธศาสนา

และองค์การศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย

ภาคที่ ๓

Page 2: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

๑ พระพุทธศาสนา

Page 3: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

๑ พระพุทธศาสนา

Page 4: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

120

พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

Page 5: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

121

ความเป็นมาของศาสนาพุทธในประเทศไทย ศาสนาพุทธเกิดขึ้นในชมพูทวีปซึ่งในปัจจุบันเป็นดินแดนของประเทศอินเดียประเทศเนปาลประเทศอัฟกานิสถานประเทศปากีสถานและประเทศบังคลาเทศแต่หลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอินเดียเช่นสังเวชนียสถานและพุทธสถานต่างๆ ศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศไทยหลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่าง ๆ รวม๙ สายด้วยกัน ในส่วนของประเทศไทยเชื่อกันว่ามีคณะของสมณทูตซึ่งมีพระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็นหัวหน้าคณะเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกและอาจมีคณะสมณทูตชุดอื่นๆ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกาลต่อๆมาจึงทำให้คนไทยโดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องคนไทยกับพุทธศาสนา* และพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น ได้ความตามตำนานพระพุทธเจดีย์ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า คนไทยเรานั้นได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อนที่จะอพยพมาตั้งประเทศไทยในปัจจุบันนี้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ พระศรีวิสุทธิโมลี(ประยุทธป.๙ปัจจุบันเป็นพระพรหมคุณาภรณ์)ได้สรุปไว้ในคำบรรยายเรื่องพุทธศาสนากับการศึกษาในอดีตณห้องประชุมหอสมุดแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม๒๕๑๓ ว่าก่อนที่ชนชาติไทยจะได้ตั้งอาณาจักร เป็นประเทศไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ซึ่งถือว่าเริ่มแต่การตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น ชนชาติไทย ในภูมิภาคสุวรรณภูมิ คลุมไปถึงรัฐไทยต่าง ๆ ในดินแดน ตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศจีนนั้นได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาแล้วทั้งสองนิกายคือ ยุคแรก ได้รับนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ผ่านทางประเทศจีน สมัยพระเจ้ามิ่งตี่ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่๗รัชสมัยของขุนหลวงเม้าแห่งอาณาจักรอ้ายลาว ยุคที่สอง แยกออกเป็น๒ระยะ ระยะแรก สมัยอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรือง ราวพุทธศักราช ๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัยผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายานมีเมืองหลวงอยู่ที่เกาะสุมาตราได้แผ่อำนาจเข้ามาถึงแหลมมลายู ได้ดินแดนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไปไว้ครอบครองพระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงแผ่เข้ามาในภาคใต้ของประเทศไทย ระยะที่ ๒ กล่าวว่าในสมัยลพบุรี เมื่อขอมเรืองอำนาจแผ่อาณาเขตเข้ามาครอบครองประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางทั้งหมด ในราวพุทธศักราช ๑๕๕๐พระพุทธศาสนาแบบมหายานซึ่งขอมรับมาจากอาณาจักรศรีวิชัยเช่นกัน แต่ว่าเจือด้วยศาสนาพราหมณ์ จึงแผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ พร้อมด้วยภาษาสันสกฤต แต่ว่าดินแดนที่ขอมแผ่อาณาเขตเข้ามานั้น เดิมทีประชาชนพลเมืองก็ได้รับนับถือพระพุทธศาสนาแบบหินยานอยู่แล้วแต่สมัยที่พระโสณะและพระอุตตระศาสนทูตสายที่๒ใน๙สายของพระเจ้าอโศกมหาราชนำเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในสมัยทราวดีในพุทธศตวรรษที่๓

*ข้อมูลจากหนังสือประวัติกรมการศาสนาและการศาสนาในประเทศไทย

พระพุทธศาสนา

Page 6: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

122

ยุคที่สาม สมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรืออโนรธามังช่อ กษัตริย์พม่าแห่งอาณาจักรพุกามแผ่อำนาจเข้ามาในอาณาเขตลานนาและล้านช้าง ราวพุทธศักราช ๑๖๐๐ พระพุทธศาสนานิกายหินยานแบบพุกามจึงได้แผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้ ครั้งถึงสมัยชนชาติไทยตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นประเทศชาติไทยอันเป็นปึกแผ่นมั่นคงเมื่อพุทธศักราช๑๘๐๐แล้วเป็นยุคที่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงจากลัทธิมหายานและหินยานแบบเดิม มาเป็นลัทธิหินยานแบบลังกาวงศ์ ซึ่งเรื่องนี้ ตามตำนานพระพุทธเจดีย์พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชนุภาพทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ ไว้ดังนี้ เมืองสุโขทัยเมื่อก่อนกษัตริย์ ไทย ได้ปกครองตั้งเป็นราชธานีของประเทศสยามเป็นเมืองขึ้นของกษัตริย์ขอม ซึ่งครองเมืองลพบุรีอยู่ช้านาน ชาวเมืองเห็นจะถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน อย่างเช่นที่ถือกันในเมืองลพบุรี ยังมีพุทธเจดีย์ซึ่งสร้างตามแบบอย่างเมืองลพบุรีปรากฏหลายแห่ง เช่น ปรางค์สามยอดที่วัดพระพายหลวง อยู่นอกเมืองสุโขทัย(เก่า) ไปทางเหนือแห่ง ๑ ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่เมืองชะเลียง (เมืองสวรรคโลกเก่าข้างใต้)แห่ง๑ปรางค์วัดจุฬามณีข้างใต้เมืองพิษณุโลกแห่ง๑แต่เมื่อกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงได้เป็นใหญ่ครองประเทศสยามณ เมืองสุโขทัยนั้น ประจวบกับสมัยที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์แพร่หลายในประเทศนี้ พุทธเจดีย์ซึ่งสร้างในสมัยสุโขทัย จึงสร้างตามลัทธิหินยานอย่างลังกาวงศ์ทั้งนั้น พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เริ่มนับถือแบบหินยานลัทธิลังกาวงศ์อย่างจริงจังนั้นตกอยู่ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อพุทธศักราช ๑๘๒๐ เป็นต้นมา กล่าวคือเมื่อพ่อขุนได้ขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้ทรงสดับกิตติศัพท์ พระสงฆ์ที่ ไปศึกษาที่ประเทศลังกา กลับมาสั่งสอนอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช มีความรอบรู้พระธรรมวินัยและมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส จึงได้อาราธนาจากเมืองนครศรีธรรมราช ขึ้นมาตั้งสำนักและเผยแพร่คำสอนณกรุงสุโขทัยเรียกชื่อตามแหล่งที่มาว่าลังกาวงศ์ พระสงฆ์ในลัทธิลังกาวงศ์ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช อาราธนาจากเมืองนครศรีธรรมราชมาตั้งสำนักในกรุงสุโขทัยนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้ามากและโดยที่พระสงฆ์คณะนี้ชอบความวิเวกจึงโปรดให้อยู่ณวัดอรัญญิกนอกเมืองและพระองค์ได้เสด็จไปนมัสการท่านเป็นประจำทุกวันกลางเดือนและสิ้นเดือนดังมีความในศิลาจารึกว่า “วันเดือนดับวันเดือนเต็มท่านแต่งช้างเผือกกระพัดลยาง เทียนย่อมงาทองขวาชื่อรุจาศรีพ่อขุนรามขึ้นขี่ ไปนบพระอรัญญิกแล้วกลับมา” เมื่อกล่าวถึงพระพุทธศาสนาแบบหินยานลัทธิลังกาวงศ์ เข้ามาสู่สยามประเทศ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเลื่อมใสศรัทธา โปรดให้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีงามและเจริญรุ่งเรืองสืบมาเป็นศาสนาประจำชาติไทยจนถึงทุกวันนี้แล้วก็ถือโอกาสกล่าวถึงประวัติของลัทธินี้ตามที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในตำนานพระพุทธเจดีย์ดังกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยดังนี้ “ลัทธิลังกาวงศ์เกิดขึ้นครั้งพระเจ้าปรักกมพาหุมหาราช ฟื้นพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปด้วยทำสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นต้น เมื่อราวพ.ศ.๑๗๐๐แต่นั้นลัทธิลังกาวงศ์รุ่งเรืองเลื่องลือเกียรติคุณมาถึงประเทศเหล่านี้มีพระสงฆ์ไทยพม่ามอญเขมรไปศึกษาและศรัทธา

Page 7: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

123

บวชเป็นภิกษุลังกาวงศ์ แล้วพาลัทธินั้นมาประดิษฐานในประเทศของตน ดังกล่าวแล้วในที่อื่นในที่นี้จะแสดงข้อวินิจฉัยในเรื่องลัทธิลังกาวงศ์เพิ่มเติม เพื่อให้เห็นว่า ผิดกับลัทธิอื่นด้วยเหตุอย่างไร คือ ลัทธิลังกาวงศ์เกิดขึ้นในสมัยเมื่อการถือพระพุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมสิ้นแล้วยังนับถือกันอยู่แต่ในประเทศอื่นและถือแตกต่างกันเป็นลัทธิมหายานบ้างเป็นลัทธิหินยานบ้างมิได้มีการศึกษาติดต่อกับอินเดียเหมือนแต่ก่อน ต่างสั่งสอนกันตามความรู้ความสามารถของศาสนาจารย์ในประเทศนั้นๆ ด้วยอาศัยคัมภีร์พระไตรปิฎกอย่าง ๑ กับตำราอาจารย์อย่าง ๑เป็นหลักของพระศาสนาด้วยกันทุกประเทศส่วนพระไตรปิฎกนั้นชาวธิเบตจีนและญี่ปุ่นซึ่งถือลัทธิมหายาน เอาไปแปลเป็นภาษาของตน ไม่ศึกษาฉบับมคธ หรือสันสกฤตซึ่งเกิดขึ้นในอินเดียแต่ประเทศลังกาพม่ามอญถือลัทธิหินยานยังคงศึกษาพระไตรปิฎกภาษามคธฝ่ายประเทศเขมรถือลัทธิมหายาน แต่ศึกษาพระไตรปิฎกภาษาสันสกฤต ซึ่งได้มาจากอินเดีย ส่วนประเทศสยามนี้ (ว่าตามสังเกตโบราณวัตถุมีปรากฏอยู่) อยู่ในระหว่างประเทศมอญกับเขมรเดิมถือลัทธิหินยาน แล้วนับถือลัทธิมหายานไปตามเขมร พระไตรปิฎกที่ศึกษาก็เห็นจะมีในประเทศสยาม ทั้งภาษามคธและสันสกฤต แต่พระไตรปิฎกที่มีอยู่ในประเทศพม่า มอญ ไทยเขมร ในสมัยนั้นจะเป็นภาษามคธหรือสันสกฤตก็ตาม คงบกพร่องคลาดเคลื่อนกัน ตามธรรมดาของหนังสือซึ่งอาศัยแต่คัดเขียนและยังมีเหตุร้ายกว่านั้น คือเป็นภาษาซึ่งชาวเมืองไม่เข้าใจการศึกษาจึงต้องอาศัยตำราอาจารย์คือคำอธิบายบอกเล่าของครูบาอาจารย์เป็นสำคัญพระไตรปิฎกในสมัยนั้น เห็นจะมีบริบูรณ์อยู่แต่ในลังกาทวีป เพราะหนังสือพระไตรปิฎกเกิดขึ้นในเมืองลังกา และพระพุทธโฆษาจารย์ ได้ทำสังคายนาไว้ด้วยอีกชั้นหนึ่ง ดังปรากฏในตำนานสังคายนา ครั้นพระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราชฟื้นพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป เช่นให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกแล้ว ทำนุบำรุงพระสงฆ์ให้นิยมเล่าเรียนภาษามคธจนเชี่ยวชาญ อ่านพระไตรปิฎกได้เองโดยมากพระสงฆ์ลังกาในครั้งนั้นก็ย่อมทรงพระธรรมวินัยและรอบรู้พุทธวจนะพิเศษกว่าพระสงฆ์ประเทศอื่นๆ ด้วยประการฉะนี้ ที่พระสงฆ์ไทย มอญ พม่า เขมร พากันไปศึกษาพระศาสนาในลังกาทวีปครั้งนั้น คือต้องไปเรียนภาษามคธจนรอบรู้แตกฉานด้วยหาไม่ก็ไม่สามารถอ่านพระไตรปิฎก จนล่วงรู้พระธรรมวินัยโดยลำพังตนเองได้ เพราะฉะนั้นจึงปรากฏในตำนานว่าออกไปศึกษาอยู่องค์ละหลาย ๆ ปี จนอาจนำความรู้ภาษามคธมาสอนในประเทศของตน และการเรียนภาษามคธจึงถือว่าเป็นสำคัญในสังฆมณฑลสืบมาจนตราบเท่าทุกวันนี้นับว่าเป็นประโยชน์อันเกิดขึ้นแต่รับลัทธิศาสนาลังกาวงศ์มาคราวนั้น” เมื่อสรุปเรื่องพุทธศาสนากับคนไทย โดยเฉพาะชนเผ่าไทยในสุวรรณภูมิหรือในสยามประเทศนี้แล้ว ปรากฏว่าคนไทยเรารับนับถือพระพุทธศาสนามาทั้ง ๒ นิกาย คือทั้งมหายานและหินยานก่อนสมัยสุโขทัยดูจะนับถือปะปนกันทั้ง๒นิกายแถมมีศาสนาพราหมณ์เข้ามาระคนด้วย ที่เป็นดังนี้ เพราะชนชาติไทยได้ร่วมสังคมกับชนชาติขอม ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในภูมิภาคนี้มาก่อน และแม้สมัยไทยสถาปนาราชอาณาจักรไทยเอกราชขึ้น ณ กรุงสุโขทัยแล้วก็ตาม ในยุคต้นๆ ของสมัยนั้นก็ยังมีการนับถือพุทธปะปนกันอยู่ ๒ นิกายเช่นกัน ทั้งนี้รวมทั้งอาณาจักรลานนาไทย ซึ่งเป็นอาณาจักรอิสระของไทยตอนเหนืออาณาจักรหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในยุคเดียวกับอาณาจักรสุโขทัย และเป็นพันธมิตรสนิทสนมกับอาณาจักรสุโขทัย ก็มีลักษณะเช่นนั้น

Page 8: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

124

เหมือนกันดังจะกล่าวรายละเอียดบางประการในตอนต่อๆไป อย่างไรก็ดี เรื่องการพระศาสนาในประเทศไทยในสมัยโบราณนั้น บทบาทสำคัญย่อมขึ้นอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์ของแต่ละยุคละสมัย ทั้งนี้เพราะการบริหารบ้านเมืองไทยในยุคนั้นพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในลักษณะพ่อปกครองลูกในยุคสุโขทัย และทรงอยู่ในพระสมมุติเทพในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง เปลี่ยนรูปแบบเป็นประการใดอย่างใดก็สุดแต่พระมหากษัตริย์จะทรงบรรดาล ให้เป็นไป ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เนื่องจากการปกครองของไทย หรือแม้ของชาติอื่นๆในยุคนั้นๆ พระมหากษัตริย์ พ่อบ้าน พ่อเมืองทรงพระราชอำนาจสิทธิราชในการบริหารประเทศด้วยพระองค์เอง โดยมีขุนนางผู้ใหญ่เป็นผู้รับสนองพระราชบัญชา ยังหาได้แบ่งส่วนราชการออกบริหารเป็นส่วนแบบกระทรวง ทบวงกรมตามแบบอย่างในยุคหลังๆนี้แต่ประการใด แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดและน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่พระมหากษัตริย์ หรือพ่อเมืองพ่อขุนของชนชาติไทยก็ได้เคยแบ่งส่วนการบริหารบ้านเมืองแบบกระทรวงทบวงกรมมาแต่โบราณกาลแล้วเหมือนกัน เรื่องที่ว่านี้ ได้พบหลักฐานในหนังสือประวัติกระทรวงมหาดไทย(ส่วนกลาง)ภาค๑และหนังสือเรื่องการปกครองของไทยของนายสมพงศ์เกษมสินรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิตฉบับพิมพ์ที่สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชกล่าวว่าไทยน่านเจ้าได้มีการจัดรูปการปกครองส่วนกลางออกเป็นส่วนสัดแบบกระทรวงเสนาบดี มาแล้วเหมือนกัน เมื่อเทียบกับระบบการปกครองในปัจจุบันในรูปกระทรวงแล้ว พอเทียบลงได้โดยแบ่งออก ๙ กระทรวงดังนี้ ๑.ฮินสอง เทียบได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ๒.โม่วสอง ” กระทรวงกลาโหม ๓.ม่านสูง ” กระทรวงการคลัง ๔.ยันสูง ” กระทรวงการต่างประเทศ ๕.หว่อสอง ” กระทรวงพาณิชย์ ๖.ฝัดสอง ” กระทรวงยุติธรรม ๗.ฮิดสอง ” กระทรวงโยธาธิการ ๘.จุ้งสอง ” กระทรวงสำมะโนครัว ๙.ฉื่อสอง ” กระทรวงวังหรือราชประเพณี และการบริหารงานของราชการส่วนกลางมี อภิรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือเสนาบดีปลัดกระทรวง อธิบดี เจ้ากรม ปกครองบังคับบัญชา รับผิดชอบตามลำดับ อันนี้เป็นเรื่องเปรียบเทียบกับแบบแผนการปกครองในสมัยปัจจุบัน ส่วนการปกครองในส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองได้แบ่งเขตการปกครอง ออกเป็นรูปมณฑลรวม๑๐มณฑลคือ ๑. มณฑลหวั่นหน่าม ๒.มณฑลปากหง่าย ๓. มณฑลหม่งแซ่ ๔. มณฑลไต้หว่อ

Page 9: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

125

๕. มณฑลปั้นด้าม ๖. มณฑลไต้หลี ๗.มณฑลจุ๊ยแม้ ๘.มณฑลหม่งฉิน ๙.มณฑลเผ่งชุ้น ๑๐.มณฑลจิ้วชุน แต่ละมณฑลมีเมืองเอกโทตรีและจัตวามีหัวหน้าปกครองลดหลั่นกันไปได้แก่ เจ้าหัวเมืองเอก เรียกว่า หยินจัง เจ้าหัวเมืองโท ” สิ้นยุย เจ้าหัวเมืองตรี ” ตามเหย่า เจ้าหัวเมืองจัตวา ” โม้วไฝ แต่ละเมืองแบ่งออกเป็นแขวงมีนายอำเภอเรียกว่าโต้วตุ๊กเป็นหัวหน้ารองจากแขวงเป็นแคว้น มีกำนันเรียกว่า จี้หยันกุน เป็นหัวหน้า จากแคว้นเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเรียกว่าจ๋งจ๋อเป็นหัวหน้า ที่ยกเอาเรื่องการปกครองของไทยสมัยน่านเจ้ามากล่าวไว้ในที่นี้ด้วยนั้น ก็เพราะเห็นเป็นอัศจรรย์ที่ชนชาติไทยเรานั้น ได้มีการจัดระบบการปกครองตามแบบอย่างที่คนสมัยใหม่ว่าแบบเจริญศิวิไลมานานแล้วแม้สมัยสุโขทัยเราก็จัดการปกครองอยู่ในระบบที่เหมาะสมกับสมัยสร้างชาติรวมชาติ คือระบบ “พ่อปกครองลูก” หรือที่ตำราฝรั่งเรียกว่า Paternalism หรือPatriarchal monarchy ไทยเราปกครองระบอบนี้ดังที่ในประวัติศาสตร์เราเรียกพระเจ้าแผ่นดินของเราว่า “พ่อขุน” มาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเราได้คลุกคลีกับขอมซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ ระบอบการปกครองของพ่อบ้านพ่อเมืองแบบ “พ่อปกครองลูก” ของกรุงสุโขทัยจึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ“เทวสมมุติ” หรือ“สมมุติเทพ”ที่ตำราฝรั่งเรียกว่าDivinerightพ่อขุนผู้ปกครองประเทศกลายเป็น“พระเจ้า” ตามระบบเทวสิทธิของขอมและพราหมณ์ ลักษณะสำคัญของการปกครองระบบเทวสมมุติหรือเทวสิทธินี้ นัยว่าถือคติอยู่๓ประการคือ ๑. รัฐเกิดโดยพระเจ้าบงการ ๒.พระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองรัฐ ๓. ผู้ปกครองรัฐมีความรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว ด้วยประการฉะนี้ การปกครองแบบนี้จึงทำให้เกิดชนชั้นขึ้นคือ ชนชั้นปกครองเป็นชนชั้นหนึ่ง กับชนชั้นที่ถูกปกครองคือราษฎร เป็นอีกชนชั้นหนึ่ง ซึ่งนักปราชญ์ทางปกครองถือว่าการปกครองระบอบนี้เป็นต้นกำเนิดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชและเป็นที่มาของลัทธิมูลนายกับบ่าวหรือทาสและระบบศักดินา ที่ว่าด้วยเรื่องการปกครองนอกเรื่องการพระศาสนามาเสียยืดยาว ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควร “จดหมายเหตุ” ไว้ในที่นี้ด้วย และก็จะได้พูดถึงการพระศาสนาในสมัยกรุงสุโขทัยต่อไป

Page 10: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

126

สมัยกรุงสุโขทัย (๑) สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ตาม “ประวัติการศาสนา” จากหนังสือประวัติกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับพิมพ์เป็นที่ระลึกในวันครบรอบ ๗๒ ปี ของกระทรวงเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๗ กล่าวว่า“พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงรับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย” จึงนับว่าพระองค์เป็นพระปฐมที่ทรงให้สัญลักษณ์ว่า“พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย”ทั้งนี้ก็โดยอาศัยหลักฐานจากศิลาจารึกที่ถือว่าเป็น งานบริหารการพระพุทธศาสนา ในลำดับแรกของพระองค์ที่ทรงอาราธนาพระสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์ จากเมืองนครศรีธรรมราช ดังได้กล่าวมาข้างต้นนั้นเอง อย่างไรก็ดี งานบริหารพระศาสนาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มิใช่จะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวหากมีเรื่องอื่นๆอีกด้วยเท่าที่พอค้นคว้าได้นั้นก็ได้แก่ ๑. เรื่องการรับลัทธิลังกาวงศ์ จากเมืองนครศรีธรรมราช มาประดิษฐานณกรุงสุโขทัยดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นซึ่งมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่๑กล่าวในเรื่องนี้ ไว้ย่อๆว่า “พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถระสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรหลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมา” ๒. เรื่องการตั้งสมณศักดิ์ เรื่องพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนากับสมณศักดิ์นี้ เคยมีผู้กล่าวขวัญในทำนองที่ว่า ไม่เป็นการสมควรที่พระเจ้าพระสงฆ์จะมียศฐาบรรดาศักดิ์ บางท่านก็เข้าใจว่า เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์หรือสมณศักดิ์ของพระภิกษุสงฆ์นี้ คงจะมีแต่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น เพื่อทำความเข้าใจกับผู้กล่าวขานดังกล่าวเสียให้ถูกต้องด้วยก็จำเป็นจะต้องยกเอาเรื่องนี้มากล่าวโดยย่อ ณ ที่นี้ด้วย ว่า สมณศักดิ์ของสงฆ์นี้นั้น หาได้มีแต่เฉพาะในเมืองไทยหรือจะมีในสมัยอยุธยาหรือสมัยกรุงเทพ นี้เท่านั้น ก็หาไม่ ความจริงมีมาแต่โบราณกาลนานแล้วและมีทุกประเทศบ้านเมืองที่รับนับถือพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะหินยานนิกายหรือเถรวาทและเหตุที่พระภิกษุสงฆ์ต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์หรือสมณศักดิ์นั้นก็เพราะ - พระภิกษุสงฆ์เป็นสังคม ๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีการจัดรูปการปกครองขึ้นในคณะของท่าน - การปกครองคณะสงฆ์ในประเทศที่พระพุทธศาสนาเป็นประธานนั้น ต้องอาศัยอำนาจพระราชอาณาจักรอุดหนุน เรื่องนี้มีหลักฐานจากพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ในเรื่อง “ตำนานคณะสงฆ์” เป็นข้อยืนยัน ซึ่งจะขอยกข้อความบางตอนในพระนิพนธ์ดังกล่าวมาไว้ด้วยดังนี้

Page 11: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

127

“เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญแพร่หลายมีพระภิกษุสงฆ์บริษัทออกมาประดิษฐานถึงนานาประเทศ ความจำเป็นต้องการพระราชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นศาสนูปถัมภกในประเทศนั้น ๆ เกื้อกูลแก่การปกครองคณะสงฆ์ยิ่งมีมากขึ้น แม้ด้วยเหตุ ๒ ประการเป็นอย่างน้อย คือ ประการที่ ๑ ที่ขนบธรรมเนียมบ้านเมืองและอัธยาศัยใจคอผู้คนในนานาประเทศซึ่งพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานนั้น ย่อมผิดกับในมัธยมประเทศที่พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานสงฆบริษัท ประการที่ ๒ พระภิกษุสงฆ์ซึ่งไปจากประเทศอื่น ตั้งต้นแต่มหาเถระชาวมัธยมประเทศ เช่น พระมหินทรเถร ซึ่งเชิญพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกาทวีปก็ดี พระโสนพระอุตรซึ่งเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐานในสยามประเทศนี้ก็ดีหรือแม้ในชั้นหลังมาเมื่อชนชาวประเทศไทย เขมรมอญพม่าและลังกาทวีปนับถือพระพุทธศาสนามั่นคงมีพระสงฆ์บริษัทเกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้และไปมาถึงกันนั้นก็ดีคนที่เป็นชาวเมืองต่างประเทศกันถึงจะถือศาสนาเดียวกัน ความจริงก็เป็นชาวต่างชาติต่างภาษา มีความนิยมและความคุ้นเคยขนบธรรมเนียมต่างกัน การปกครองสงฆมณฑลที่มาประดิษฐานตามนานาประเทศ จำต้องอนุโลมตามแบบแผนประเพณี ซึ่งนิยมกันหรือเท่าที่อาจจะเป็นได้ในต่างประเทศที่พระพุทธศาสนาไปประดิษฐานนั้น เชื่อได้ว่าเหมือนกันหมดทั้งประเทศสยาม กัมพุช พม่า รามัญและสิงหฬทวีป การปกครองคณะสงฆ์จึงต้องเนื่องด้วยราชการแผ่นดิน ตั้งแต่การวางแบบแผนปกครองคณะสงฆ์ ตลอดจนตั้งสังฆนายกให้มีสมณศักดิ์ ให้การฝ่ายพระพุทธจักรและพระราชอาณาจักรเป็นไปโดยสะดวกด้วยกันพระพุทธศาสนาจึงประดิษฐานมั่งคงสืบมาในประเทศนั้นๆ” และก็เรื่องสมณศักดิ์นี้ ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็ได้ทรงตั้งขึ้นควบคู่ ไปกับการวางแบบแผนการปกครองคณะสงฆ์ ภายหลังจากที่ ได้รับลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาประดิษฐานในอาณาจักรของพระองค์ เรื่องการตั้งสมณศักดิ์ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่ปรากฏในศิลาจารึกกล่าวแต่เพียงตำแหน่งว่ามีสังฆราชมีปู่ครูมีมหาเถระและเถระแต่ราชทินนามสมณศักดิ์มิได้กล่าวไว้หากแต่ ไปมีในหนังสือพงศาวดารเหนือ กล่าวไว้ว่า ครั้งพระนครสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ เป็นฝ่ายขวาฝ่าย ๑ ฝ่ายซ้ายฝ่าย ๑ และมีราชทินนามสำหรับสังฆนายกดังนี้

ฝ่ายขวา พระสังฆราชา อยู่วัดมหาธาตุ พระครูธรรมไตรโลก อยู่วัดเขาอินทรแก้ว พระครูยาโชด อยู่วัดอุทยานใหญ่ พระครูธรรมเสนา อยู่วัดไหนไม่ปรากฏ

Page 12: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

128

ฝ่ายซ้าย พระครูธรรมราชา อยู่วัดไตรภูมิป่าแก้ว พระครูญาณไตรโลก อยู่วัดไหนไม่ปรากฏ พระครูญาณสิทธิ อยู่วัดไหนไม่ปรากฏ (ตามที่ปรากฏในพงศาวดารเหนือว่าไว้ดังนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจจะจัดขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทก็ได้) ๓. เรื่องการปกครองสงฆ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องควบคู่กับ เรื่องสมณศักดิ์หรือจะว่าเรื่องการจัดการปกครองสงฆ์ก่อนแล้ว เรื่องสมณศักดิ์ตามหลังมาก็ว่าได้ ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงแยกการปกครองสงฆ์ออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายที่มาจากลังกาวงศ์ เรียกว่าฝ่ายอรัญวาสี ฝ่ายคณะสงฆ์เดิมที่มีมาแต่ก่อน เรียกว่า ฝ่ายคามวาสี แต่ละฝ่ายมีสังฆราชเป็นตำแหน่งสังฆนายกชั้นสูงสุดมีตำแหน่งปู่ครูซึ่งเพี้ยนมาเป็นตำแหน่ง“พระครู” ในปัจจุบันเป็นตำแหน่งสังฆนายกรองลงมาจากสังฆราช (การแยกการปกครองสงฆ์ออกเป็นอรัญวาสี และคามวาสีนี้ ยังไม่ชัดแจ้งว่าจัดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชหรือสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทกันแน่นอนนัก) ๔. เรื่องการถวายที่กัลปนา เรื่องนี้เก็บความได้จากพงศาวดารเหนือบางตอนได้ความว่า พระยาร่วงได้พระราชทานที่ ไร่และนาสัด วัดวาอารามไว้เป็น พระกัลปนาอุทิศไว้สำหรับ วัดโคกสิงคาราม ตำบลนา ๕๐๐ ไร่ ตำบลโอทานา๒๕๐ ไร่ ตำบลคลองวัดกูปไปถึงป่าปูน ๑๕๐ ไร่ ตำบลนาดอนได้ ๔๖๐ ไร่ สำหรับวัดแก้วราชประดิษฐาน ตำบลนาตะแคงได้๒๕ ไร่ ตำบลทุ่งขาลาได้ ๗๖๐ ไร่ ตำบลศีรษะกระบือได้ ๗๕๐ ไร่ นอกจากนี้ก็มี วัดอุทยานใหญ่วัดเขาหลวงวัดเขาอินทร์อรัญวาสีและวัดไตรภูมิป่าแก้ว ๕. เรื่องให้กำเนิดกฐินหลวง เรื่องกฐินหลวงนี้นับว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระปฐมกษัตริย์ที่ทรงกำหนดให้มีพระราชประเพณีทอดกฐินหลวงขึ้นเป็นพระองค์แรกในบรรดานานาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา จนประเพณีอันนี้ ได้สืบเนื่องมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ จากหนังสือตำนานกฐิน ของหลวงวิจิตรวาทการ กล่าวเป็นการรับรองเกี่ยวกับราชประเพณีกฐินหลวงไว้ดังนี้ “การทอดกฐินนั้น สำหรับในอินเดียสมัยพุทธกาล หรือต่อมากับในลังกานั้น ได้มีผู้พยายามค้นคว้าหานามผู้ทอดกฐินแต่ไม่พบว่าใครทอดบ้างและการทอดกฐินในประเทศอื่นๆที่นับถือพระพุทธศาสนา ก็ดูเหมือนจะไม่ ได้ทำกันเป็นงานใหญ่โตสำคัญเท่ากับในเมืองไทยเพราะในเมืองไทยนั้น การทอดกฐินเป็นราชประเพณีหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงนำราษฎรให้บำเพ็ญกุศลในเรื่องนี้ กฐินที่พระมหากษัตริย์ทรงทอดด้วยพระองค์เองก็ดี หรือพระราชทานให้ผู้หนึ่งผู้ใดทอดในนามของพระองค์เองก็ดีเรียกกันว่า“กฐินหลวง”

Page 13: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

129

และในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ก็สอดคล้องรับรองกับคำกล่าวของหลวงวิจิตรวาทการอีกด้วยดังความในศิลาจารึกว่าไว้ดังนี้ “คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทานมักทรงศีลมักโอยทานพ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยน้ีทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้า ลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษา กราลกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้วเมื่อกราลกฐินมีพนมเบี้ยมีพนมหมากมีพนมดอกไม้มีหมอนนั่งหมอนนอนบริพารกฐินโอยทานแล่ปีแล้ญิบล้านไปสวดญัตติกฐินถึงอรัญญิกพู้นเมื่อจะเข้าเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นท้าวหัวลานคำบงคำกลอยด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณเสียงขับใครจักมักเล่น เล่นใครจะมักหัวหัวใครจักมักเลื่อนเลื่อนเมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวงเทียนญอมคนเสียดกันเข้าดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟเมืองสุโขทัยนี้มีดังจักแตก” ๖. เรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องเกี่ยวกับการศึกษาของไทยเรานั้น ต้องนับว่าเราเริ่มต้นมาตั้งแต่รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงให้กำเนิดตัวหนังสือไทย เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ ทำให้ชนชาติไทยไพร่บ้านพลเมืองของพระองค์มีตัวหนังสือใช้ และในการประดิษฐ์คิดแบบตัวอักษรไทยขึ้นใช้นี้ การที่จะให้อักษรไทยแพร่หลายพระองค์ต้องอาศัยการพระศาสนาเป็นประการสำคัญ จึงนับว่าพระองค์เป็นพระปฐมแห่งการศึกษาของชาติไทยในยุคตั้งสยามประเทศณกรุงสุโขทัยโน้น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงบำรุงพระศาสนาและการศึกษาควบคู่กันไป โดยอาราธนาพระสงฆ์ลังกาวงศ์ผู้รอบรู้พระไตรปิฎก จากเมืองนครศรีธรรมราช มาสู่สำนักสุโขทัยดังความปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น นอกจากนั้นยังได้ให้การศึกษาโดยวิธีอบรมพลเมือง โดยทรงปลูกดงตาลให้ประดิษฐานพระแท่นมนังคศิลากลางดงตาลนั้น ในวันธรรมสวนะโปรดให้มหาเถระขึ้นนั่งแสดงธรรมแก่อุบาสก ผู้จำศีล ส่วนวันอื่น ๆพระองค์เสด็จขึ้นทรงอบรมข้าราชการและประชาชนเอง ดังความในศิลาจารึกว่า “๑๒๑๔ ศกปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลได้สิบสี่เข้า จึงให้ช่างฟันขะดารหิน ตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนโอกแปดวัน วันเดือนเต็มเดือนบ้าง ฝูงปู่ครูมหาเถระ ขึ้นนั่งเหนือขะดารนี้ สวดธรรมแก่อุบาสก ฝูงท่วยจำศีลผิ ใช่วันสวดธรรมพ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย ขึ้นนั่งเหนือขะดารหิน ให้ฝูงท่วย ลูกเจ้าลูกขุนฝูงท่วยถือบ้านเมืองกัน”

Page 14: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

130

(๒) สมัยพระมหาธรรมราชาลิไท พระมหาธรรมราชาลิไท พระองค์นี้ทรงเป็นพระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงและทรงเป็นกษัตริย์สุโขทัยในลำดับรัชกาลที่ ๕ พระองค์มีพระนามเมื่อราชาภิเษกว่า “พระเจ้าศรีสุริยพงศาราม มหาธรรมราชาธิราช”ยุคนี้เป็นยุคที่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ยิ่งเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น จะว่าเจริญถึงจุดสุดขีดก็ว่าได้ ถ้าจะสรุปพระราชกรณียกิจในเรื่องการพระศาสนาของพระองค์แล้ว ก็ทรงบริหารงานพระศาสนาและการศึกษาของประชาชนพลเมือง ในทำนองเดียวกันกับสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หากแต่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เจริญรุ่งเรื่องยิ่งขึ้นทั้งนี้ก็ด้วยผลงานที่พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงปูพื้นฐานที่ดีงามไว้แล้ว เป็นปัจจัยสำคัญด้วยประการหนึ่งนั่นเอง งานด้านพระศาสนาและด้านการศึกษาในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท มีหลายด้านหลายประการมากมาย ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างที่สุด ทรงใฝ่พระทัยในการพระศาสนาและการศึกษาเป็นที่สุด ทรงรอบรู้ในพระธรรมวินัยไตรปิฎกอย่างมาก ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองได้ร่มเย็นเป็นสุข และทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างที่สุดเช่นกันนับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์และทรงเป็นกษัตริย์นักการศาสนาชั้นเยี่ยมหากจะสรุปพระราชกรณียกิจและผลงานในด้านการนี้ของพระองค์แล้วก็คงได้แก่ ๑. ทรงอาราธนาพระเถระชาวลังกาจากลังกาทวีปเข้ามา เป็นการเสริมสร้างพระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระอัยกาของพระองค์ที่ทรงเลื่อมใสในลัทธิลังกาวงศ์แต่ว่าในครั้งสมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้น เพียงแต่อาราธนาพระสงฆ์ไทยในลัทธิลังกาวงศ์มาจากเมืองนครศรีธรรมราชเท่านั้น ๒.ทรงศึกษาเล่าเรียนในสำนักสงฆ์ลังกาวงศ์ และสำนักราชบัณฑิตจนทรงทราบพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน ๓. ทรงบำรุงการเล่าเรียนพระไตรปิฎก โดยสร้างปราสาทราชมณเฑียรสถาน(สร้างเป็นแบบก่ออิฐถือปูน ไม่ใช่สร้างด้วยไม้ และในหนังสือนางนพมาศ บอกชื่อปราสาทราชมณเฑียรนี้ว่าชื่อพระที่นั่งอินทราภิเษกพระที่นั่งอดิเรกภิรมย์พระที่นั่งอุดมราชศักดิ์พระที่นั่งชัยชุมพล พระที่นั่งชลพิมาน พระที่นั่งพิศาลเสาวรส พระปรัศรัตนนารี พระปรัศศรีอับศร)แล้วทรงเผดียงสงฆ์ได้เข้าไปเรียนพระไตรปิฎกในบริเวณปราสาทนั้น ๔. ทรงให้ราชบุรุษไปรับพระบรมธาตุมาจากลังกาทวีปแล้วนำไปบรรจุไว้ที่เมืองนครชุม ๕. ทรงจัดวางแบบแผนในสังฆมณฑลเยี่ยงลังกาให้มั่นคงยิ่งขึ้น (เอกสารบางฉบับว่าพระมหาธรรมราชาลิไท ทรงแบ่งสงฆ์ออกเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายอรัญวาสี และฝ่ายคามวาสีเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง)

Page 15: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

131

๖. ทรงรับภาระสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชนเพิ่มเข้าในราชกิจด้วย ๗.ทรงรับพระไตรสรณคมน์ (จากพระมหาสวามี พระเถระชาวลังกาตามข้อ ๑ เป็นอุปัชฌาย์) บรรพชาที่ในพระราชมณเฑียร แล้วออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ ณ ป่ามะม่วงในอรัญญิก พระราชกรณียกิจนี้ นับเป็นแบบอย่างสืบมาจนทุกวันนี้ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกทรงผนวช ๘.ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไตรภูมิพระร่วงหรือเตภูมิกถา สำหรับเรื่องการทรงศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกและวิชาการต่างๆเชี่ยวชาญและการอาราธนาพระมหาสวามี ในข้อ ๑และข้อ ๒ นั้น มีความตามคำแปล ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงหลักที่๔ด้านที่๒ว่า “เรียนพระวินัย พระอภิธรรมโดยโลกาจารย์ มีพราหมณ์และดาบสเป็นต้น สมเด็จพระบพิตรทรงพระราชบัญญัติคัมภีร์เพศศาสตราคมธรรมนิยายมีโชยติศาสตร์ (ตำราโหร)เป็นต้น(ตำรา)พรรษามาสสุริยคราสจันทรคราสทรงสรรพพิจารณาพระองค์ทรงพระปรีชาโอฬาริก ฝ่ายผาลคุณานุต (คือวันสิ้นเดือน ๔)...แลศักราชที่เกิน ทรงได้แก้ให้สิ้นเบาถูกต้องพระองค์ทรงพิจารณา อูณ อธิกมาส ทินวาร นักษัตร ให้ทราบเป็นสังเขป โดยกรรมสิทธิ์สมเด็จบพิตรอาจถอน อาจลบ อาจเติม...โดยสิทธิศักดิ์ พระกรรม ทุกมาตรากฎ ศรีเกียรติแท้...เสด็จเสวยราชสมบัติในศรีสัชนาลัยได้ ๒๒ ปี ลุมหาศักราช ๑๒๘๓ ศกฉลู สมเด็จพระบพิตรตรัสให้ราชบัณฑิตไปอาราธนามหาสามีสังฆราช อันกอบด้วยศีล ทรงเรียนพระไตรปิฎกจบ อันสถิตอยู่ในลังกาทวีปซึ่งมีศีลาจารย์ คล้ายกับขีณาสพครั้งโบราณ (ตรัสให้อาราธนามหาสามี) จากนครพ้นแล้วครึ่งทาง จึงรับสั่งให้นายช่างปลูกกุฎีวิหารระหว่างป่ามะม่วง อันมีในทิศประจิมเมืองสุโขทัยนี้” อันกษัตริย์กรุงสุโขทัยนั้น นอกจากพ่อขุนรามคำแหง จะได้รับสมัญญาเป็นกษัตริย์“มหาราช” แล้ว ถ้าพิจารณาจากพระราชกรณียกิจของพระมหาธรรมราชาลิไท ในด้านต่าง ๆแล้ว ถ้าจะถวายพระนามว่า “ธีรราช” อีกสักพระองค์หนึ่งก็น่าจะเหมาะสมกับพระเกียรติคุณเป็นแน่แท้ พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระมหาธรรมราชาลิไทที่ควรกล่าวและย้ำไว้อีกคือ ทรงให้ขุดคลองและทำถนนแต่เมืองสุโขทัย ไปจนเมืองศรีสัชนาลัย และเมืองน้อยใหญ่เป็นการสนองพระราชกุศลสนองพระคุณพระราชบิดาถนนที่ว่านี้ก็คือถนนพระร่วงนี้เอง ทรงชำนาญโหราศาสตร์อาจจะถอนจะยกจะลบปีเดือนมิให้คลาดเคลื่อน

Page 16: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

132

การที่ทรงผนวชนั้น นอกจากจะเป็นแบบอย่างสำหรับพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ย่อมนับเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ให้คนไทยได้บวชเรียนเป็นประเพณีสืบต่อ ๆ กันมาจนทุกวันนี้ แต่ทั้งนี้ส่วนใหญ่มักมองข้ามว่าจุดเริ่มต้นนี้ เริ่มมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยาแม้การศึกษาของสงฆ์ที่ทรงเผดียงเข้าไปเรียนพระไตรปิฏก ในพระราชมณเฑียรนี้ ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดประเพณีพระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานอุปถัมภ์ให้เล่าเรียนในวัง สืบต่อมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสรุปแล้ว สมัยพระมหาธรรมราชาลิไท สามารถเรียกได้ว่า บ้านเมืองดีสมกับคำจารึกในศิลาที่ประกาศว่า ในสมัยของพระองค์เจริญสุขสำราญ ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขไม่มีทาสในเมืองสุโขทัยและไม่มีข้าศึกมาเบียดเบียน

วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย

Page 17: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

133

สมัยอาณาจักรลานนา อาณาจักรลานนา เป็นอาณาจักรไทยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นอาณาจักรอิสระ เริ่มต้นอาณาจักรยุคเดียวกับอาณาจักรสุโขทัย และเจริญรุ่งเรืองอยู่ในสมัยเดียวกับสุโขทัยเช่นกันและก็ได้เจริญต่อมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนต้น เรื่องของอาณาจักรไทยลานนามีอะไร ๆ หลายอย่างคล้ายคลึงกับสุโขทัยและอยู่ในระยะเวลาใกล้เคียงกันด้วยเช่น ๑. พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ก็เข้าสู่อาณาจักรลานนาในระยะเดียวกันกับสุโขทัย ซึ่งตามพงศาวดารโยนก กล่าวว่า เข้ามาสมัยพระเจ้ากือนา เจ้านครพิงค์เชียงใหม่ แต่ว่าเข้ามาทางรามัญประเทศ และได้รับการทำนุบำรุงจากพระมหากษัตริย์ลานนา มีความเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกัน ๒.มีการอาธนาพระสงฆ์จากลังกาทวีปและส่งพระสงฆ์ไทยไปศึกษาที่ลังกาเหมือนกันส่งไปเมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๕ พร้อมกับพระเถระชาวกรุงศรีอยุธยา และพระเถระชาวกัมพูชา เป็นพระเถระชาวลานนา ๗ รูป ชื่อพระธรรมคัมภีร์ ๑ พระเมธังกร ๑ พระญาณมงคล ๑พระศิลวงศ์๑พระสารีบุตร๑พระรัตนากร๑พระพุทธสาคร๑ชาวกรุงศรีอยุธยา๒รูปชื่อพระพรหมมุนี ๑ พระโสมเถระ ๑ และชาวกัมพูชา ๑ รูป ชื่อพระญาณสิทธิ กับมีพระภิกษุบริษัทอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ร่วมไปกับพระเถระคณะนี้อีกด้วย ขากลับได้นิมนต์พระมหาเถระชาวลังกามาด้วย๒รูปชื่อพระมหาวิกรรมพาหุรูป๑พระอุดมปัญญารูป๑ ๓. พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ ไทยลานนา ก็ได้ทรงอุปสมบทชั่วคราวเช่นเดียวกันกับพระมหาธรรมราชาลิไท(ราวพ.ศ.๑๙๙๐) แต่อาณาจักรลานนา ยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง ในทางพุทธศาสนาด้านตำรับ ตำราได้รุดหน้าไปกว่าสุโขทัยอีกด้วยเช่น ๑. พระเจ้าติโลกราช ได้ทรงจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๒๐(ตั้งอาณาจักราศีอยุธยาแล้ว) ๒. มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตฝ่ายสมณะเกิดขึ้นหลายองค์ แต่ละองค์ได้รจนาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์ไว้ด้วยเช่น ๑)พระญาณกิตติรจนาโยชนาวินัยโยชนาอภิธรรมและอื่นๆรวมประมาณ๑๐คัมภีร์ ๒)พระรัตนปัญญารจนาวชิรสารัตถสังคหะและชินกาลมาลี ๓)พระโพธิรังษีรจนาจามเทวีวงศ์ ๔)พระนันทาจารย์รจนาสารัตถะสังคหะ ๕)พระสุวรรณรังสีรจนาปฐมสมโพธิสังเขป ๖)พระสุวรรณปทีปเถระรจนาอเผคคุสารัตถทีปนี ๗)พระสิริมังคลาจารย์รจนามังคลัตถทีปนีเวสสันดรทีปนีจักกวาฬทีปนีสังขยาปกาสกฎีกาซึ่งถือกันว่าพระมหาเถระองค์นี้เป็นรัตนกวีที่เด่นที่สุดของลานนาไทย คัมภีร์ต่างๆที่ปราชญ์ชาวลานนารจนาขึ้นนี้ ได้มีอิทธิพลในการศึกษาภาษาบาลีสืบมาจนทุกวันนี้โดยเฉพาะคัมภีร์เรื่องมังคลัตถทีปนีเป็นต้น

Page 18: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

134

สมัยอาณาจักรศรีอยุธยา เรื่องการพระศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยานี้ คงเป็นเรื่องต่อเนื่องจากกรุงสุโขทัยเพราะกรุงศรีอยุธยา ตั้งอาณาจักรไทยทางใต้ขึ้นในสมัยคาบเกี่ยวกับกรุงสุโขทัย มีการรับนับถือพระพุทธศาสนาร่วมนิกายเดียวกัน แยกการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็นคณะอรัญวาสีและคณะคามวาสีเช่นเดียวกัน และพระมหากษัตริย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับกษัตริย์กรุงสุโขทัยแม้ลัทธิศาสนาก็ถือแบบลังกาวงศ์ด้วยกันดังได้กล่าวแล้วในสมัยอาณาจักรลานนาว่า พระมหาเถระชาวกรุงศรีอยุธยาได้ร่วมคณะไปสืบพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ณ ลังกาทวีป พร้อมกับพระเถระชาวลานนาและกัมพูชา นั้นก็คือ พระพรหมมุนี กับพระโสมเถระ ซึ่งพระมหาเถระชาวกรุงศรีอยุธยา ที่เดินทางไปลังกาทวีปครั้งนั้น (พ.ศ. ๑๙๖๕) ตามตำนานคณะสงฆ์ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ เสด็จสวรรคตเมื่อปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช ๗๘๐ ตรงกับพ.ศ.๑๙๖๑ปีพ.ศ.๑๙๖๕อยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๒ (เจ้าสามพระยา)พระราชโอรสองค์เล็กของสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่๑) ดังนั้น บทบาทการพระศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงน่าจะเริ่มในแผ่นดินสมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๑ หรือในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ดังกล่าวข้างต้นแต่การปรับปรุงทำนุบำรุงที่เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ได้เริ่มขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโดยลำดับดังนี้ ๑. แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ในสมัยกรุงศรีอยุธยายุคแรก (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๐๓๑) ไทยมีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคอีกพระองค์หนึ่ง นั้นคือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์นี้นอกจากจะจัดการปกครองบ้านเมืองให้มีระเบียบเรียบร้อยและเข้มแข็งอย่างดี เช่น จัดการปกครอง แยกออกเป็น๒ฝ่ายใหญ่ ๆ คือ ๑. ฝ่ายการทหารมีสมุหกลาโหม เป็นหัวหน้าทั่วราชอาณาจักร และมีแม่ทัพนายกองรองลงไปตามลำดับ ๒.ฝ่ายพลเรือน มี สมุหนายกเป็นหัวหน้าทั่วราชอาณาจักรและมีเสนาบดีชั้นรองลงมาอีก ๔ ตำแหน่ง ซึ่งเดิมเรียกว่า “จตุสดมภ์” นั้น (จตุสดมภ์ คือเวียงวังคลังนาซึ่งสมเด็จพระรามธิบดีที่๑(อู่ทอง)ทรงจัดตั้งขึ้น)เปลี่ยนเรียกชื่อใหม่เป็น ขุนเมือง เปลี่ยนเป็น นครบาล ขุนวัง : ธรรมาธิกรณ์ ขุนคลัง : โกษาธิบดี ขุนนา : เกษตราธิการ ให้กำเนิด บรรดาศักดิ์ มีพระยา พระ หลวง ขุน หมื่น รวมทั้ง วางตำแหน่งศักดินาให้เป็นเริ่มแรก และตั้งกฎมณเฑียรบาลขึ้นด้วย ในด้านการพระพุทธศาสนาพระองค์ได้บริหารงานในด้านนี้อย่างยิ่งใหญ่ ควบคู่ ไปกับการบริหารบ้านเมืองอีกด้วย จะว่าพระองค์ทรงดำเนินตามแบบอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช หรือ พระมหาธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย ก็น่าจะไม่ผิดงานด้านพระพุทธศาสนาของพระองค์ควรยกมากล่าวก็คือ

Page 19: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

135

๑. ส่งทูตออกไปนิมนต์พระสงฆ์จากลังกาให้มาสั่งสอนพระศาสนา และภาษาบาลี(จากประวัติกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ หน้า ๘๒ และความรู้รอบตัวของนายกิมฮวย(กมล) มลิทอง (อดีตเลขานุการกรม กรมการศาสนา) แต่อาจจะคราวเดียวกับพระพรหมมุนีกับพระโสมเถระไปลังกาทวีปที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ในตำนานคณะสงฆ์ว่าอยู่ในแผ่นดินพระอินทราชาธิราชก็ได้) ๒.ทรงอุทิศพระราชวังตอนหนึ่ง สร้างเป็นวัด เรียกชื่อว่า วัดพุทธาวาส(ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดพระศรีสรรเพชญ ทำนองเดียวกับ วัดมหาธาตุที่กรุงสุโขทัย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ในกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ดำเนินตามพระราชประเพณีดังกล่าว) ๓. ทรงพระราชศรัทธาออกผนวชเป็นพระภิกษุชั่วคราวประทับณวัดจุฬามณีข้างใต้เมืองพิษณุโลก ซึ่งพระองค์ทรงให้แก้เทวสถานเดิม แล้วสร้างเป็นวัดขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๗(จากหนังสือโบราณวัตถุสถาน ทั่วราชอาณาจักร ของกรมศิลปากร เรียบเรียงโดยนายชิน อยู่ดี) นอกจากพระองค์จะออกทรงผนวชแล้ว ยังโปรดให้พระราชโอรส (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒) ออกทรงผนวชเป็นสามเณรด้วย พร้อมกับพระราชนัดดาอีกพระองค์หนึ่ง(แปลว่าประเพณีมีเจ้านายทรงผนวชนั้น น่าจะมาจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครั้งนี้) ๔. ทรงโปรดให้ประชุมราชบัณฑิตแต่ง มหาชาติคำหลวง โดยแปลและแต่งเป็นสำนวนไทยจากต้นฉบับบาลีเมื่อพ.ศ.๒๐๒๕(เรื่องมหาชาติคำหลวงนี้บางตำรากล่าวว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดให้ประชุมราชบัณฑิต แปลและแต่ง) ทรงแต่ง แต่มีหลักฐานบอกจดหมายเหตุไว้ในลิลิตนั้นว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๕. ทรงกำเนิดศักดินาสำหรับฝ่ายสงฆ์ขึ้น (ตามที่กล่าวข้างต้นว่า พระองค์เป็นผู้ทรงบัญญัติ ให้มีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ขุนนาง ข้าราชการ เป็นพระยา พระหลวง ขุน หมื่น(ตำแหน่งเจ้าพระยาในสมัยนั้น ยังไม่มี) แล้ววางตำแหน่งศักดินาให้แก่ขุนนางผู้มีบรรดาศักดิ์ให้มีที่นาได้ชั้นละเท่าใด ทั้งนี้ เริ่มแต่พลเมืองราษฎรสามัญ มีนาได้คนละ ๒๕ ไร่ และขุนนางจากหมื่นขุนหลวงพระพระยาเพิ่มขึ้นตามลำดับ)ดังนี้:- ๑)พระครูผู้รู้ธรรม ศักดินา ๒๔๐๐ไร่ ๒)พระครูไม่รู้ธรรม ” ๑,๐๐๐ไร่ ๓)พระภิกษุผู้รู้ธรรม ” ๖๐๐ไร่ ๔)สามเณรผู้รู้ธรรม ” ๓๐๐ไร่ ๕)สามเณรไม่รู้ธรรม ” ๒๐๐ไร่ ๖. นอกจากที่กล่าวแล้ว สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ยังทรงรอบรู้ศิลปวิทยาต่าง ๆทั้งในด้านอักษรศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ในแผ่นดินของพระองค์ ได้มีวรรณคดีสำคัญ ๆ นอกจากมหาชาติคำหลวงแล้ว ยังมีลิลิตพระลอ และลิลิตยวนพ่าย ในด้านการก่อสร้างและการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม นอกจากจะทรงอุทิศพระราชวัง สร้างวัดพุทธาวาสหรือวัดพระศรีสรรเพชญแล้วยังได้ทรงสถาปนาและปฏิสังขรณ์วัดอื่นๆคือ

Page 20: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

136

๑)สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหาร ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ผู้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา ขึ้นเป็นวัด ให้นามว่า“วัดพระราม” ๒)สร้างวัดจุฬามณีขึ้นณเมืองพิษณุโลกตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ๓)สร้างพระศรีรัตนมหาธาตุ คือพระปรางค์ ตรงที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชรวมทั้งโบสถ์วิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก ๔)สร้างรูปพระโพธิสัตว์๕๕๐ชาติ ๕)สร้างพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ถวายพระนามว่า พระอัฎฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ซึ่งเดิมอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก และได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่พระวิหารวัดสระเกศกรุงเทพฯในปัจจุบันนี้ ๒. แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ การพระศาสนาในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการพระพุทธศาสนาที่ควรนำมากล่าวในที่นี้คือเรื่องที่กัลปนา เรื่องที่ กัลปนา นี้ ได้กล่าวมาในตอนต้นที่ว่าด้วยการพระศาสนาในสมัยกรุงสุโขทัยว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็ได้เคยพระราชทานที่ ไร่และนาสัดวัดวาอารามไว้เป็นพระกัลปนาอุทิศไว้สำหรับวัดโคกสังคาราม และวัดอื่นๆมาแล้วนั้น เมื่อค้นดูพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาได้พบว่าในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยาก็ได้ทรงพระกรุณา ตั้งพระราชกำหนดกฎหมายถวายที่กัลปนาแก่วัดวาอารามด้วยเหมือนกัน ดังความในพระราชพงศาวดารว่า “ลุศักราช ๙๕๗ (พ.ศ. ๒๑๓๘) ปีมะแมสัปตศก ทรงพระกรุณาตั้งพระราชกำหนดกฎหมายพระอัยการและส่วยสัดพัฒนากรขนอนตลาดและพระกัลปนาถวายเป็นนิตยภัตรแก่สังฆารามคามวาสีอรัญวาสีบริบูรณ์” ซึ่งตามความตอนนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในอธิบายเรื่องในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถท้ายพระราชพงศาวดารว่า “สมเด็จพระเอกาทศรถ พระราชทานที่กัลปนาเป็นนิตยภัตรพระสงฆ์ ที่เรียกว่าพระราชทานที่กัลปนานั้น หมายความว่า พระราชทานผลประโยชน์ในภาษีที่ดินเป็นนิตยภัตรเลี้ยงพระสงฆ์ ไม่ได้พระราชทานตัวที่ดิน ประเพณีพระราชทานที่กัลปนาเป็นพระราชประเพณีโบราณมีมาแต่ครั้งสุโขทัย ไม่ใช่ตั้งขึ้นใหม่ในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นแน่ ที่หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าว เห็นจะหมายความว่าพระราชทานเพิ่มเติมที่กัลปนาขึ้นอีก คือวัดหลวงใดที่ยังไม่มีที่กัลปนามาแต่ก่อนก็จัดให้มีขึ้นให้เหมือนกับวัดที่มีแล้วให้บริบูรณ์เท่านี้เอง” ๓. แผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าทรงธรรม พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๒๑ แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้ค้นจากตำราทางประวัติศาสตร์หลายเล่ม ไม่ ได้ความชัดว่าเป็นใครมาจากไหน จากพระราช

Page 21: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

137

พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาก็ดี ฉบับของพระจักพรรดิพงศ์ก็ดี ฉบับของพันจันทนุมาศ(จิม)ก็ดีรวมทั้งฉบับอื่นๆก็ได้ความสั้นๆเพียงว่าพระนามเดิมว่าพระศรีศิลป์บวชเป็นพระภิกษุอยู่วัดระฆัง ได้สมณฐานันดรเป็นพระราชาคณะที่ พระพิมลธรรมอนันตปรีชา ความจากหนังสือ๕๐กษัตริย์ไทยของอุดมประมวลวิทยาฉบับสำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ซึ่งรวบรวมจากประวัติศาสตร์หลายเล่มทั้งของไทยและต่างประเทศ จากจดหมายเหตุของสังฆราชปาลเลกัวซ์ กลับว่า พระศิลป์เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่หลายฉบับ เชื่อกันว่าพระเจ้าทรงธรรมซึ่งมีอีกพระนามหนึ่งว่าพระอินทราชานั้นเป็นพระโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งเกิดจากหญิงชาวบ้านบางปะอิน (ที่ว่าคือ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ หรือพระเจ้าปราสาททอง นั่นเอง) เท็จจริงจะเป็นอย่างไรขอพักไว้เป็นเรื่องของนักประวัติศาตร์จะตัดสิน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวย่อ ๆ พอให้เข้าใจกับเรื่องของการพระศาสนาไว้ ความมีปรากฏในพระราชพงศาวดารดังนี้ “ลุศักราช ๙๔๖ (พ.ศ. ๒๑๔๕) ปีขาลจัตวาศก พระรีศิลป์ บวชอยู่วัดระฆังรู้พระไตรปิฎกสันทัด ได้สมณฐานันดรศักดิ์ เป็นพระพิพลธรรมอนันตปรีชา ชำนาญทั้งไตรเพททางคศาสตร์ ราชศาสตร์ มีศิษย์โยมมาก ทั้งจมื่นศรีสรรักษ์ ก็ถวายตัวป็นบุตรเลี้ยง ครั้งนั้นเชี่ยวชาญคนทั้งหลายนับถือมาก จึงคิดกันกับจมื่นศรีสรรักษ์ และศิษย์โยมเป็นความลับซ่องสุมสมัครพรรคพวกได้มากแล้ว ก็บริวัตรออกเวลาพลบค่ำ ก็พากันไปชุมพลณ ปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ครั้นได้อุดมนักขัตฤกษ์ ก็ยกพลมาพังประตูมงคลสุนทร เข้าไปท้องสนามหลวง ขุนนางซึ่งนอนเวร เอาความกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(พระศรีเสาวภาคย์ พระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ) ตกพระทัยตลึงไปเป็นครู่ จึงตรัสว่า เวราแล้วก็ตามเถิดแต่อย่าให้ลำบากเลย พระพิมลธรรมเข้าพระราชวังได้ ก็ให้คุมเอาพระเจ้าแผ่นดินไปให้พันธนาไว้มั่นคง รุ่งขึ้นให้นิมนต์พระสงฆ์บังสุกุลร้อยหนึ่ง ให้ธูปเทียนมาแล้ว ก็ให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เอาพระศพไปฝัง ณ วัดโคกพระยา พระศรีเสาวภาคย์ อยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับสองเดือน”และ “สมเด็จพระพิมลธรรมเสด็จขึ้นผ่านพิภพกรุงเทพทราวดีศรีอยุธยา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมอันมหาประสริฐ ทรงพระกรุณาให้จมื่นศรีสรรักษ์ เป็นอุปราชอยู่๗ วัน มหาอุปราชประชวรลง ๓ วัน สวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้แต่งการพระราชทานเพลิงตามอย่างอุปราช” เรื่องพระราชประวัติย่อของ พระเจ้าทรงธรรม ตามพระราชพงศาวดารมีเพียงเท่านี้แต่โดยที่พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้มีบทบาทและผลงานด้านการพระศาสนาหลายอย่างหลายประการที่ควรจะนำมากล่าวในที่นี้ก็คือ ๑)ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เคยบวชเรียนเป็นพระเถระผู้ใหญ่ชั้น“พระพิมลธรรม”(ตำแหน่งพระราชาคณะชั้น พระพิมลธรรม ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น จากตำนานคณะสงฆ์พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวว่าเป็นตำแหน่งเจ้าคณะรองคามวาสีฝ่ายซ้าย รองจากสมเด็จพระอริยวงศาสังฆาราชาธิบดี ซึ่งเป็นเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย)นัยว่าทรงรอบรู้ในพระธรรมวินัยไตรปิฎกอย่างดีมาแล้ว

Page 22: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

138

๒)ทรงพบรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในรัชสมัยของพระองค์ ดังความตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “ศักราช ๙๖๘ (พ.ศ. ๒๑๕๙) ปีมะเมียอัฐศก… ในปีนั้นเมืองสระบุรีบอกมาว่าพรานบุญพบรอยเท้าอันใหญ่บนไหล่เขาเห็นประหลาดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีพระทัยเสด็จด้วยพระที่นั่งเรือชัยพยุหยาตราพร้อมด้วยเรือท้าวพระยาสามนตราชดาษดาโดยชลมารคนทีธารประทับท่าเรือรุ่งขึ้นเสด็จทรงพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์พร้อมด้วยคเชนทรเสนางคนิกรเป็นอันมากครั้งนั้นยังมิได้มีทางสถลมารคพรานบุญเป็นมัคคุเทศก์นำลัดตัดดงไปถึงเชิงเขาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทอดพระเนตรเห็นแท้เป็นรอยพระบรมพุทธบาทมีลายลักษณ์กงจักรประกอบด้วยอัฐตรสตมหามงคลร้อยแปดประการ สมด้วยพระบาลี แล้วต้องกับเมืองลังกาบอกเข้ามาว่า กรุงศรีอยุธยามีรอยพระพุทธบาทอยู่เหนือยอดเข้าสุวรรณบรรพตก็ทรงพระโสมนัสปรีดาปราโมทย์ถวายทัศนังเหนือพระอุตมางคศิโรตม์ด้วยเบญจางคประดิษฐ์เป็นหลายครากระทำสักการะบูชาด้วยธูปเทียนคันธรสจนนับมิได้...” ๓)ทรงพระราชนิพนธ์ กาพย์มหาชาติ (ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และฉบับของบริติชมิวเซียม ว่าทรงแต่ง พระมหาชาติคำหลวง แต่ที่ถูกต้องมหาชาติคำหลวง นั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแต่งมาแล้ว ดังนั้น ที่พระเจ้าทรงธรรมแต่งใหม่จึงเรียกว่ากาพย์มหาชาติ) ๔)ทรงสร้างพระไตรปิฎกจนจบบริบูรณ์เป็นครั้งแรกของราชอาณาจักรไทย ๕)ทรงพระราชศรัทธาเสด็จออกบอกหนังสือพระภิกษุสามเณร ณ พระที่นั่งจอมทองสามหลังเนืองๆ ๔. แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าอีกพระองค์หนึ่ง ดังปรากฏเรื่องราวจากจดหมายเหตุของ ลาลูแบร์(มองสิเออร์ เดอลาลูแบร์ เป็นเอกอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยที่๑๔แห่งกรุงฝรั่งเศสผู้เข้ามาทูลพระราชสาส์น เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐) ว่าพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากได้พระราชทานพระราชูปถัมภ์แก่ผู้บวชเป็นพระภิกษุสามเณรเป็นอเนกประการ จนเป็นเหตุให้ราษฎรที่ปรารถนาจะหลบเลี่ยงราชการบ้านเมือง พากันไปบวชเป็นอันมาก เมื่อพระองค์ทรงทราบ จึงดำรัสให้ออกหลวงสรศักดิ์เป็นแม่กองประชุมสงฆ์สอบความรู้พระภิกษุสามเณรปรากฏว่าพระภิกษุสามเณรที่หลบลี้ราชการออกไปบวช สอบได้ความชัดว่าไม่มีความรู้ในทางศาสนาถูกบังคับให้ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาสเป็นอันมาก จึงสรุปได้ว่า ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นเองได้เป็นเหตุที่มาของการสอบไล่ ซึ่งหมายความว่าสอบดูความรู้ ถ้าไม่มีความรู้ก็ ไล่ออกไปจากเพศสมณะเป็นอันได้ความว่ามูลเหตุแห่งการสอบไล่เกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและมาจากเรื่องบวชหนีราชการนี้เอง

Page 23: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

139

(ออกหลวงสรศักดิ์ ตามจดหมายเหตุลาลูแบร์นี้คือ พระเจ้าเสือกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาผู้ลือพระนามในประวัติศาสตร์นั่นเอง แต่ฝรั่งเรียกชื่อไปอีกอย่างหนึ่งว่า ออกพระพิพิธราชา ซึ่งกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้ทรงแปลจดหมายเหตุลาลูแบร์ทรงติงว่าคงจะไม่เป็นความจริงที่ว่า ทรงตั้งออกหลวงสรศักดิ์ เพราะออกหลวงสรศักดิ์นั้นไม่หือในภาษาบาลีจะไปสอบไล่หนังสือพระสงฆ์ได้อย่างไร) ๕. แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐพระมหากษัตริย์ที่๓๑แห่งกรุงศรีอยุธยานี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับการพระศาสนาอยู่๒เรื่องคือ ๑) พระพุทธศาสนาลัทธิสยามวงศ์ ไปประดิษฐานที่ประเทศศรีลังกา ได้แก่พระเจ้าแผ่นดิน ประเทศลังกา (ชื่อเดิมของประเทศนี้) ทรงพระนามว่า พระเจ้าเกียรติศิริราชสิงหะส่งราชทูตมาถวายเจริญทางพระราชไมตรีโดยเรือกำปั่นสินค้าชื่อโอลันชาของฮอลันดาเพื่อขอพระภิกษุสงฆ์ ไทยไปอุปสมบทบวชชาวลังกา อันเป็นเหตุให้เกิดตั้งลัทธิสยามวงศ์ขึ้นในประเทศลังกาดังมีความตามตำนานเรื่อง ประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีปพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตอนหนึ่งว่า “ในปีมะเมียโทศก(จุลศักราช๑๑๑๒)พ.ศ.๒๒๙๓พระเจ้าเกียรติศิริราชสิงหะมีรับสั่งให้สามเณรสรณังกร แต่งพระราชสาส์นเป็นภาษามคธถวายสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐฉบับ ๑ ถวายสมเด็จพระสังฆราชกรุงศรีอยุธยา ฉบับ ๑ แล้วแต่งข้าราชการชาวสิงหฬเป็นทูตานุทูต๕นายให้เชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการเข้ามากรุงศรีอยุธยา” ราชทูตคณะนี้ออกเดินทางจากเมืองสิงขัณฑนคร หรือศิริวัฒนบุรี ราชธานีของลังกาเมื่อวันพฤหัสบดีที่๑๒กรกฎาคมพ.ศ.๒๒๙๓จนถึงวันพุธที่๒๐มิถุนายนพ.ศ.๒๒๙๔(ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑๑ เดือน) เรือกำปั่นราชทูตถึงปากน้ำเจ้าพระยา เรือเข้าถึงกรุงศรีอยุธยาราชทูตเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐเมื่อวันที่๑๗กรกฎาคมปีเดียวกัน ขณะที่ราชทูตลังกาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาตอนนั้น ได้ไปนมัสการพระที่วัดพุทไธศวรรย์และวัดชัยวัฒนาราม แล้วไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชที่วัดมหาธาตุวราราม ต่อจากนั้นก็ไปชมวัดบรมพุทธาราม (วัดกระเบื้อง = พระเพทราชาทรงสร้าง) วัดป่าโมก เมืองอ่างทอง ชมแห่พระพยุหยาตราพระกฐิน ณ วัดมหาธาตุกับวัดราชบุรณะ (ตามหนังสือสยามูปสัมปทวัตที่ชาวลังกาแต่งเรียกชื่อว่าวัดอุชาโยธรัตนาราม) ก่อนจะกลับลังกาได้ไปหาพระอุบาลีและพระอริยมุนี ซึ่งจะเป็นสมณทูตไปลังกาทวีปเพื่อประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ณ วัดธรรมาราม (ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกับพระยาโบราณธานินทร์(พรเดชะคุปต์)เห็นพ้องต้องกันว่าพระอุบาลีกับพระอริยมุนีศาสนทูตไทยตามที่ลังกากล่าวชื่อไว้ในจดหมายเหตุของเขาว่าวัดตะละรามะนั้นได้แก่วัดธรรมารามเพราะเป็นวัดใหญ่อยู่ริมแม่น้ำฟากตะวันตกเยื้องหัวแหลมลงมาหน่อย) การที่ลังกาประเทศมีพระราชสาส์นขอพระสงฆ์ไทยไปสืบพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องมั่นคงครั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์โปรดให้ส่งออกไป๒ชุดคือ

Page 24: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

140

ชุดที่ ๑ ได้แก่พระอุบาลีและพระอริยมุนี กับพระสงฆ์อันดับอีก ๑๔ รูป รวม๑๗ รูป เดินทางไปลังกาทวีป เมื่อ ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๐ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๑๔(พ.ศ.๒๒๙๕ปีวอกจัตวาศก) จำนวนพระสงฆ์ชุดนี้จากจดหมายเหตุของลังกาว่ามี๑๘รูปดังมีรายนามต่อไปนี้ - พระราชาคณะ๒รูปได้แก่๑.พระอุบาลี๒.พระอริยมุนี - พระเปรียญไปเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ๕ รูป ได้แก่ ๑. พระมหานาม๒.พระมหาบุญ๓.พระมหาสุวรรณ๔.พระมหามนิศร์๕.พระมหามณี - พระอันดับ๑๑รูปเรียกตามนามฉายาว่า๑.พระพรหมโชติ๒.พระมณีโชติ๓. พระจันทรโชติ ๔. พระธรรมโชติ ๕. พระบุญโชติ ๖. พระอินทรโชติ ๗. พระจันทสาระ๘.พระสิริจันทะ๙.พระอินทสุวรรณ๑๐.พระพรหมสร๑๑.พระยศทิน ขบวนพระสงฆ์ ศาสนทูตไทยที่ ไปลังกาทวีปครั้งนี้กว่าจะเดินทางไปถึงนครศิริวัฒนบุรี ราชธานีของลังกาต้องกลับมากลับไประหว่างทาง ถึง ๒ ครั้ง ๒ ครา เพราะเกิดอุปสรรคทางธรรมชาติจากวาตภัย เรือโดยสารเสียหายบ้าง เพราะความไม่เรียบร้อยของคณะทูตชาวลังกาที่มาในครั้งนั้น บางคนเกิดล้มตายและหนีหายในระหว่างทางบ้าง แต่กระนั้นก็ดีก็ได้เดินทางไปถึงลังกาทวีปจนได้ ชุดที่ ๒ได้แก่พระวิสุทธาจารย์และพระวรญาณมุนีกับพระสงฆ์อันดับ๒๐รูปสามเณร ๒๐ รูป ออกเดินทางเมื่อ ณ วันศุกร์ เดือน ๑๑ แรม ๑๐ ค่ำ ปีกุน สัปตศก(จุลศักราช๑๑๑๗)พ.ศ.๒๒๙๘และเหตุที่ต้องส่งไป๒ชุดนั้น ก็เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ ได้ออกพระวาจาสัญญาแก่พระสงฆ์ชุดแรกว่า จะให้อยู่ในลังกาทวีปแต่เพียง ๓ ปีจะนิมนต์พระสงฆ์อื่นออกไปผลัดให้พระสงฆ์ที่ ไปก่อนนั้นกลับเข้ามาถึง ๓ คราว จนกว่าพระสงฆ์ชาวลังกาจะถ้วน๑๐วัสสาจึงจะเป็นอุปัชฌาย์ให้บรรพชาอุปสมบทได้ ประวัติการพระศาสนาของไทยในครั้งนั้น ถือว่าเป็นการทดแทนที่ ไทยเคยนิมนต์พระสงฆ์ชาวลังกามาตั้งแต่ลัทธิลังกาวงศ์ ในสยามประเทศ แต่ครั้งสุโขทัยและรัชกาลก่อน ๆแห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นการแลกเปลี่ยนลัทธิของกันและกัน จึงในครั้งนั้นเอง ลัทธิสยามวงศ์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในลังกาประเทศ และในเหตุการณ์ครั้งนั้นเอง พระเถระชาวลังกาชื่อ พระสิทธารถพุทธรักขิต สถิตวัดบุบผารามวิหาร (ที่พระอุบาลีไปอยู่) จึงได้แต่งหนังสือเทิดทูนบุญคุณของประเทศไทยไว้ในตำนานเล่มหนึ่งเรียกว่า สยามูปสัมปทวัต (โดยแต่งไว้เป็นภาษาสิงหฬพระยาอรรถการประสิทธิ(คุณดิลก)บิดาคุณหญิงเลขาอภัยวงศ์แปลออกเป็นภาษาอังกฤษ) ๒) การเกิดวรรณคดีพุทธศาสนา นอกจากเรื่องลังกาขอพระสงฆ์ ไทยและไทยส่งพระสงฆ์ออกไปประดิษฐานลัทธิสยามวงศ์ณลังกาทวีปในรัชสมัยนี้แล้ว ในแผ่นดินนี้ยังได้มีวรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นหลายเรื่องด้วยเช่น นันโทปนันทสูตร มาลัยคำหลวงปุณโณวาทคำฉันท์และพระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์ เรื่องการพระศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามที่กล่าวมาแต่ละรัชกาลนี้นั้น กล่าวเฉพาะเรื่องราวที่เป็นประวัติการณ์สำคัญ ๆ ของแต่ละรัชกาลที่มีบทบาทเกี่ยวกับพระศาสนาที่ควรนำมากล่าวและที่มิได้ถึงแผ่นดินอื่นๆอีกหลายรัชกาลนั้นก็มิใช่ว่าพระเจ้าแผ่นดินในแผ่น

Page 25: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

141

ดินนั้นๆจะไม่ได้ประกอบพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับพระศาสนาไว้บ้างเลยตามประวัติศาสตร์จะปรากฏว่า พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาหรือแม้กรุงสุโขทัย ย่อมได้ประกอบพระราชกรณียกิจในด้านพระศาสนาไว้ทั้งนั้นไม่มากก็น้อย และโดยที่หนังสือเล่มนี้ ไม่มีวัตถุประสงค์ที่เก็บความทั่วถ้วนทุกกระบวนความเป็นแต่เพียงเก็บความแต่ละเรื่องที่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ๆเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีเพื่อมิให้เรื่องราวเกี่ยวกับการพระศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยาแต่ละรัชกาลขาดหายไป จึงขอสรุปเรื่องราวเกี่ยวกับบางเรื่อง ของบางรัชกาลมาสรุปไว้ตอนท้ายนี้อีกด้วยคือ:- ๑. เกี่ยวกับเจ้านายออกทรงผนวชเป็นการสืบพระราชประเพณี เรื่องเจ้านายในสมัยกรุงศรีอยุธยาออกทรงผนวชเป็นการสืบธรรมเนียมประเพณีที่พระเจ้าแผ่นดิน และเจ้านายในราชวงศ์ออกทรงผนวชตามแบบอย่างพระมหาธรรมราชาลิไทแห่งกรุงสุโขทัย หรือพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกผนวชมาแล้วนั้น ปรากฏว่าเจ้านายในสมัยกรุงศรีอยุธยานอกจากพระบรมไตรโลกนาถและพระรามาธิบดีที่๒แล้วก็ยังมีอีก๔พระองค์คือ:- ๑) พระเจ้าทรงธรรม ซึ่งก่อนเสวยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบแทนพระศรีเสาวภาคย์ ด้วยการชิงราชสมบัตินั้น ได้บวชเป็นพระภิกษุเป็นพระราชาคณะที่ พระพิมลธรรมดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น แต่พระองค์นี้ ตามทางราชการแห่งราชสำนักในสมัยนั้นมิได้ถือว่าเป็น เจ้า แต่อย่างใด เพียงแต่ใช้พระนามเดิมว่า พระศรีศิลป์ อันเป็นพระนามของเจ้านายเท่านั้นเอง ๒) เจ้าฟ้าตรัสน้อยพระราชโอรสของพระเพทราชา ๓) พระองค์เจ้าบุนนาค พระเจ้าลูกยาเธอในสมเด็จพระเจ้าเสือขุนหลวงสรศักดิ์ ๔) เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สามพระองค์หลังนี้ทรงผนวชอยู่จนตลอดพระชนมายุและมิได้รับสมณศักดิ์เป็น“พระราชาคณะ”แต่ประการใด ๒. เกี่ยวกับการสร้างวัด พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาได้ทรงสร้างวัดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้:- ๑) พระเจ้าอู่ทอง พระปฐมบรมกษัตริย์ผู้สร้างกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัดขึ้น๒วัดคือ:- ๑. วัดพุทไธศวรรย์ สร้างขึ้นที่ตำบลเวียงเหล็ก เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๖ (ปัจจุบันนี้ตำบลที่ตั้งวัดเรียกว่า ตำบลสำเภาล่ม) เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงการที่พระองค์ได้เสด็จมาจากเมืองอู่ทอง ตั้งราชธานีศรีอยุธยาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ ตำบลนี้หลังจากสร้างพระราชวังใหม่เสร็จทรงยกพระราชวังเดิมให้เป็นวัด ๒. วัดป่าแก้ว สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๖ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเจ้าแก้วเจ้าไทยซึ่งประชวรอหิวาตกโรคสิ้นพระชนม์ให้ขุดพระศพที่ฝังไว้นั้นขึ้นแล้ว พระราชทานเพลิงพระศพเสร็จแล้วก็ได้สร้างวัดตรงที่พระราชทานเพลิงนั้นเป็น วัดป่าแก้ว วัดนี้ปรากฏตามหนังสือโบราณวัตถุสถานทั่วอาณาจักร ของกรมศิลปากร มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วัดเจ้าพระยาไทยและพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ เพื่อสำหรับเป็นสำนักของพระสงฆ์ที่บวชเรียนมา

Page 26: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

142

จากสำนักพระวันรัตมหาเถระในลังกาทวีป เรียกกันว่า คณะป่าแก้ว วัดนี้จึงได้นามว่าวัดป่าแก้วด้วยส่วนนามอีกอย่างหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกกันเป็นสามัญทั่วไปก็คือวัดใหญ่ชัยมงคลตั้งอยู่นอกพระนคร (นอกเกาะเมือง) ตำบลที่ตั้งวัดปัจจุบันเรียกว่า ตำบลไผ่ลิงขึ้นอยู่ในอำเภอกรุงเก่า (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นอำเภอพระนครศรีอยุธยา ชาวอยุธยาและผู้รักประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่นิยมเรียกชื่ออำเภอที่ชื่อใหม่นี้นัก) ๒) แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวรรัชกาลที่๒แห่งกรุงศรีอยุธยาได้ทรงสร้างวัดขึ้น๓วัดคือ ๑. วัดพระราม โปรดให้สร้างตรงที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอู่ทองพระราชบิดา เมื่อพ.ศ.๑๙๑๒หน้าวัดมีบึงใหญ่เดิมเรียกว่าหนองโสนต่อมาเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ขุดเอาดินในหนองนี้ขึ้นถมพื้นวัง และพื้นวัดพระมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดพระราม จึงกลายเป็นบึงใหญ่โต บึงนี้มีชื่อปรากฎมณเฑียนบาลว่าบึงชีขันและต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เรียกว่า บึงพระราม แต่จะเปลี่ยนเมื่อใดไม่อาจทราบได้ ชื่อนี้ยังคงเรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้ ๒. วัดมหาธาตุ อยู่ เชิงสะพานป่าถ่าน ในประวัติศาสตร์ยังสับสนกันอยู่พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระราเมศวร ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๗ แต่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่าสร้างในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๑(ขุนหลวงพะงั่ว)เมื่อพ.ศ.๑๙๑๗ ๓. วัดภูเขาทองสร้างเมื่อพ.ศ.๑๙๓๐อยู่ตำบลภูเขาทองห่างจากพระราชวังประมาณ๒กิโลเมตรยังไม่พบปรารภเหตุร้าง ๓) แผ่นดินพระบรมราชาที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) รัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัดขึ้น๒วัดคือ:- ๑. วัดราชบูรณะ อยู่ตรงข้ามกับวัดมหาธาตุ พระเจ้าสามพระยาทรงสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๙๑๖ตรงบริเวณที่เจ้าอ้ายกับเจ้ายี่พระเชษฐาทรงชนช้างกันถึงพิราลัย ๒. วัดมเหยงคณ์ ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๗ แต่ ไม่ทราบว่าทรงสร้างเพราะปรารภเหตุใดวัดนี้ปัจจุบันที่ตั้งวัดเรียกว่าตำบลบ้านกระมังอำเภอกรุงเก่า ๔) แผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ รัชกาลที่ ๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างวัดขึ้น๒วัดดังได้กล่าวไว้ในรัชกาลของพระองค์ในตอนต้นนั้นแล้วคือ:- ๑. วัดพระศรีสรรเพชญ เป็นวัดในพระบรมมหาราชวังไม่มีพระสงฆ์ ๒. วัดจุฬามณี สร้างที่ เมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์ทรงผนวชอยู่ณวัดนั้น ๕) แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ รัชกาลที่ ๑๕ แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัด๑วัดคือ:- ๑. วัดหลวงสบสวรรค์ ทรงสร้างที่สวนหลวงบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระศรีสุริโยทัยเมื่อพ.ศ.๒๐๙๑เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยวัดนี้อยู่ในเกาะเมืองด้านตะวันตก(ในบริเวณกรมทหารเก่า)

Page 27: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

143

๖) แผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ รัชกาลที่ ๑๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างวัด๑วัดคือ:- ๑. วัดวรเชษฐาราม สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงสร้างอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อพ.ศ.๒๑๔๘วัดนี้ตั้งอยู่ตำบลท่าวาสุกรีอำเภอกรุงเก่า ๗) แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง รัชกาลที่ ๒๔ แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัด๒วัดคือ:- ๑. วัดไชยวัฒนาราม ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๓ ณ บริเวณบ้านเดิมของพระพันปีหลวง พระเจ้าปราสาททอง อยู่ริมแม่น้ำฝั่งเดียวกันกับวัดพุทไธศวรรย์ สร้างขึ้นด้วยฝีมือปราณีตงดงามมาก ตั้งใจจะเลียนแบบแผนผังนครวัดที่ประเทศเขมร เนื่องจากคราวสร้างนั้นได้ตีเมืองเขมรกลับคืนได้ด้วย ๒. วัดชุมพลนิกายาราม อยู่อำเภอบางปะอิน สร้างเป็นอนุสรณ์ ณ สถานที่ที่เป็นที่เกิดของพระองค์จะสร้างปีใดยังหาหลักฐานที่ถูกต้องไม่ได้ ๘) แผ่นดินพระเพทราชารัชกาลที่๒๘แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัด๑วัดคือ ๑. วัดบรมพุทธาราม ทรงสร้างขึ้นที่พระนิเวศน์เดิม เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๒(ก่อนเสวยราชย์)ปัจจุบันตั้งอยู่ตำบลประตูชัยอำเภอกรุงเก่า ๙) แผ่นดินพระเจ้าเสือรัชกาลที่๒๙แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างวัด๑วัดคือ:- ๑. วัดโพธิประทับช้าง จังหวัดพิจิตร นัยว่า เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่พระองค์ทรงพระราชสมภพณสถานที่ที่สร้างวัดนี้ ๒. เกี่ยวกับกฎหมายและวรรณกรรมในพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ ได้กล่าวมาในตอนต้นบ้างแล้วก็ตาม แต่ตามที่กล่าวมานั้น ยังเก็บความไม่หมด จึงขอนำมาสรุปในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ทรงตราตัวบทกฎหมายหรือแบบธรรมเนียมกฤษฎีกาว่าด้วยการปกครองสงฆ์ขึ้นในสมัยนั้นรวมทั้งตำรับตำราอันเป็นวรรณกรรม ทางพระพุทธศาสนา ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นด้วย ดังจะขอสรุปเพิ่มเติมจากที่กล่าวมาแล้วอีกดังนี้

วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

Page 28: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

144

สมัยกรุงธนบุรี การพระศาสนาในสมัยกรุงธนบุรีนั้น แม้อายุของกรุงจะมีเพียง๑๕ปี และตลอดเวลา๑๕ ปีนั้น ก็เต็มไปด้วยการสลัดแอกจากพม่า การรวบรวมชนชาติตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่การรบพุ่งขับไล่ข้าศึกและการขยายพระราชอาณาเขตเรียกว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเกือบไม่มีเวลาว่างเว้น ที่องค์พระมหากษัตริย์ธงชัยของชาติ มิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยในยุคบ้านแตกสาแหรกขาดก็ตามแต่พระองค์ก็ทรงจัดการในเรื่องการพระศาสนาให้เข้ารูปเข้ารอยฟื้นฟูความเสื่อมโทรมเพราะยุทธภัยจากพม่าข้าศึกในด้านต่างๆทรงขวนขวายอย่างมากที่จะตั้งสังฆมณฑล ให้คืนคงตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา อันเป็นคุณานุประโยชน์ หลายอย่างหลายประการเช่น ๑. โปรดให้สถาปนาวัดวาอาราม ที่ตกอยู่ ในสภาพเสื่อมโทรม พระเจ้าพระสงฆ์กระจัดกระจายและย่อหย่อน ๒.แสวงหาพระสงฆ์ที่มีคุณธรรม ความรู้มาตั้งเป็นพระราชาคณะเป็นเจ้าอาวาสปกครองสงฆ์ และสั่งสอนปริยัติธรรมและภาษาไทย อย่างเช่นสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้เพราะครั้งนั้นการแสวงหาผู้ที่ทรงคุณธรรมจริงๆนับว่ายากมาก ๓. ส่งพระราชาคณะออกไปเที่ยวจัดสังฆมณฑลตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ เพราะเกิดวิปริตครั้งเจ้าพระฝางตั้งตัวเป็นใหญ่และทำสงครามทั้งเป็นพระ ๔. ทรงขวนขวายสืบแสวงหาพระไตรปิฎกมารวบรวมไว้ เพราะถูกพม่าเผากรุงและเผาวัดวาอารามตามหัวเมือง ทำลายพระไตรปิฎกเสียจนเกือบสิ้นเชิง ซึ่งในที่สุดก็ได้มาจากเมืองนครศรีธรรมราชบ้างจากเมืองเหนือบ้าง เมืองเพชรบุรีบ้างและนำมารวบรวมไว้ในกรุงธนบุรีเรื่องการสืบแสวงหาพระไตรปิฎกนี้พระองค์ได้ส่งคนไปแสวงหาถึงกรุงกัมพูชาก็มี ๕. ทรงให้ราชบัณฑิตคัดลอกพระไตรปิฎก ฉบับที่ ได้จากเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อคราวเสด็จไปปราบเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อคัดลอกแล้ว โปรดให้นำฉบับเดิมส่งคืนเมืองนครศรีธรรมราช ๖. เมื่อทรงเสาะแสวงหาพระราชาคณะผู้ทรงคุณธรรม พอตั้งสังฆมณฑลได้แล้วจึงทรงตั้งสมเด็จพระสังฆราชขึ้นได้ความตามตำนานคณะสงฆ์ว่าทรงสถาปนาพระอาจารย์ดีเดิมอยู่วัดประดู่ ในกรุงศรีอยุธยา เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรก องค์ที่ ๒ ได้แก่พระอาจารย์สี เดิมอยู่วัดพระเจ้าพนัญเชิง กรุงศรีอยุธยา และองค์ที่ ๓ ชื่อชื่น เป็นเจ้าคณะเมืองระยองสมเด็จพระสังฆราชสมัยกรุงธนบุรีทั้ง๓องค์ที่กล่าวมานนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ในตำนานคณะสงฆ์ว่าองค์ที่๑และที่๒เดิมเป็นเพียงพระอาจารย์มิได้มีสมณศักดิ์แต่อย่างใด ต่อมา เมื่อถึงองค์ที่ ๓ คือสมเด็จพระสังฆราชชื่น เดิมเป็นเพียงพระครูที่พระครูสุธรรมธิราชมหามุนีต่อมาเมื่อถึงรัชกาลที่๑แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ต้องลดยศลงมาเป็นพระครูธรรมธิราชมหามุนีว่าที่วันรัต

Page 29: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

145

สำหรับสมเด็จพระสังฆราช สี หรือ ศรี สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรีนี้ ต่อมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้รับสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๓๗) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่การทำนุบำรุงสังฆมณฑลในครั้งกรุงธนบุรี ชองสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยังไม่ทันจะมั่นคงได้เท่าใด ก็เกิดวิบัติด้วยเหตุสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีสัญญาวิปลาส ทำให้สังฆมณฑลกลับเสื่อมโทรมลงไปอีกดังปรากฏอยู่ในพงศาวดารนั้นแล้ว

พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ วัดอินทาราม กรุงเทพมหานคร

Page 30: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

146

สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ทรงเป็นพุทธมามกะทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆที่ชำรุดทรุดโทรมและมีการสร้างวัดใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมากอาทิเช่น ๑. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๒.วัดอรุณราชวราราม ๓. วัดราชโอรสาราม ๔. วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ๕. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ๖. วัดบวรนิเวศวิหาร ๗.วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ๘.วัดสุทัศนเทพวราราม ๙.วัดพระราม๙กาญจนาภิเษก

องค์กรทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่กรมการศาสนาให้การสนับสนุนมีดังนี้ ๑. องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก(พ.ส.ล.) ๖๑๖แยกซอยเมธีนิเวศน์ถ.สุขุมวิท๒๔เขตคลองเตยกรุงเทพฯ๑๐๑๑๐ ๒.พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ๔๔ถนนพระอาทิตย์เขตพระนครกรุงเทพฯ๑๐๒๐๐ ๓.ยุวพุทธิกสมาคมแห่งพระเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ๕๘/๘ซอยเพชรเกษม๕๔เขตภาษีเจริญกรุงเทพ๑๐๑๖๐ ๔.สภายุวพุทธิสมาคมแห่งชาติ ๖๑/๒๑ซอย๒๐๗ถนนเสนานิเวศน์เขตลาดพร้าวกรุงเทพฯ ๕.เปรียญธรรมสมาคม วัดสามพระยาแขวงพระบรมมหาราชวังเขตพระนครกรุงเทพฯ๑๐๒๐๐ ๖. มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ อยู่ในบริเวณวัดสระเกศเขตป้อมปราบฯกรุงเทพฯ๑๐๑๐๐ ๗.องค์กรเครือข่ายภาคราชการและภาคประชาสังคม๘๔องค์กร มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยเขตพระนครกรุงเทพฯ๑๐๒๐๐

Page 31: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

๒ ศาสนาอิสลาม

Page 32: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

148

มัสยิดศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพมหานคร

Page 33: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

149

ความเป็นมาของศาสนาอิสลามในประเทศไทย ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่๑ด้านที่๓บรรทัดที่๑มีคำว่าปสานซึ่งหมายถึงตลาดขายของแห้งและเชื่อกันว่ามาจากศัพท์เปอร์เชียบาซาร์(Ba-za-r)หรือมลายูประสัรซึ่งเพี้ยนมาจาก บาซาร์ ข้อความในศิลาจารึกมีว่า “เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มีพระอัจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว มีป่าหมากลาง มีไร่มีนา มีถิ่นมีฐานมีบ้านใหญ่ บ้านเล็ก...” ใน “ภูมิศาสตร์วัดโพธิ์”ท่านกาญจนาคพันธ์เขียนว่า “นับเพียงชั้นสุโขทัยที่เกิดศาสนาอิสลามขึ้นแล้ว แขกมะหะหมัดที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเรา เรารู้ ไม่ได้ว่าเป็นชาติไหน ภาษาไหนว่า โดยเฉพาะภาษาหรือชาติอาหรับตามโคลงภาพวัดโพธิ์ที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ จะได้เคยติดต่อหรือเข้ามาอยู่เมืองไทยเก่าแก่มาแล้วอย่างไรก็ไม่มีทางทราบได้แต่เมื่อว่าถึงถ้อยคำหรือภาษาที่มีปรากฏเป็นหลักฐานว่าเป็นภาษาแขกใช้เก่าแก่ที่สุดนั้น ก็ได้แก่คำว่า “ปสาน” มีอยู่ในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง คำ “ปสาน” นี้ ศาสตราจารย์ ยอร์ชเซเดส์ ให้คำอธิบายว่า“ตลาดมีห้องแถว ภาษาเปอร์เชียว่า บาซาร์” แปลว่า ตลาดที่ตั้งประจำ หรือถนนที่มีห้องเป็นร้านค้าในภาษาไทยเขียนคำนี้หลายอย่างเช่นในศิลาจารึกเขียน“ตลาดปสาน”เพี้ยนมาในยุคหลัง ๆ เขียน “ตลาดยี่สาน” ลักษณะตลาดของไทยสมัยโบราณกล่าวกว้างๆ เห็นจะมี๒อย่างคือตลาดที่ตั้งประจำที่อย่างหนึ่งกับตลาดตั้งชั่วครั้งชั่วคราวอย่างที่เรียกว่า“ตลาดนัด”อีกอย่างหนึ่ง หลักฐานเหล่านี้แสดงว่า ได้มีการค้าขายระหว่างกรุงสุโขทัยกับมุสลิมมาช้านานทีเดียวอย่างไรก็ตามนับเป็นเรื่องที่เมืองไทยเรายังไม่มีประวัติศาสตร์แน่ชัดลงมาก็จัดได้ว่า ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาอิสลามนั้นมีอยู่ตลอดมาดูตามประวัติศาสตร์ ไม่ปรากฏว่าในยุดนั้นคนไทยเป็นชาติที่เดินเรือเก่ากล้าอะไรนัก เพราะฉะนั้นเรือสินค้าในสมัยนั้นน่าจะสันนิษฐานว่า เป็นของพวกอาหรับและเปอร์เชียมากกว่า และการค้าในสมัยนั้นย่อมชักจูงให้มุสลิมมาตั้งหลักแหล่งในกรุงสุโขทัยเป็นธรรม แม้แต่คนเดินเรือทะเลของหลวงในสมัยอยุธยาก็ใช้แต่คนเชื้อสายพวกแขกมลายูเป็นพื้น “ถึงพวกจามและชวามลายูแม้ที่สุดจีนก็คงไปมาถึงกันแต่ก่อนมาช้านาน อิสลามในสมัยอยุธยา เป็นธรรมดาอยู่เองเมื่อบรรดามุสลิมได้ตั้งรกรากอยู่แต่ครั้งกรุงสุโขทัยก็ย่อมสืบเชื้อสายมาในสมัยอยุธยาด้วย เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกเพลิงเผาพินาศคราวเสียกรุงครั้งที่๒แก่พม่าในพ.ศ.๒๓๑๐เราจึงมีหลักฐานต่างๆเหลือน้อยภาพลายรดน้ำบนบานตู้ใบหนึ่งในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมานณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติปัจจุบันนี้ซึ่งเข้าใจว่าได้เขียนไว้ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ แสดงภาพของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และอีกภาพ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นกษัตริย์เอารังซีบแห่งวงศ์โมกุล (Mughal) อินเดียนั้น เป็นเรื่องน่าทึ่ง เพราะรัชกาลของกษัตริย์เอารังซีบเริ่มแต่พ.ศ. ๒๒๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๒๕๐ รวมราว ๕๐ ปีประสูติเมื่อ ๓พฤศจิกายนพ.ศ.๒๑๖๑)ส่วนของพระนารายณ์มหาราชเริ่มแต่พ.ศ.๒๒๐๐ถึงพ.ศ.๒๒๓๑

ศาสนาอิสลาม

Page 34: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

150

รวมเวลา ๓๒ ปี และของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นั้น พระองค์ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๘๑ และสวรรคตเมื่อพ.ศ.๒๒๕๘จะเห็นได้ว่ารัชสมัยของกษัตริย์สามองค์นี้ ไล่เลี่ยกันพระเจ้าหลุยส์ที่๑๔ ได้ทรงให้คณะทูตมาเจริญพระราชไมตรี และเพื่อจะชักชวนให้นับถือศาสนาคริสต์ด้วยในระหว่างนั้นราชทูตของพระเจ้าชาฮฺแห่งเปอร์เชียร์ก็มาถึง และพำนักอยู่ในกรุง จนมีข่าวลือว่าจะมาชักชวนพระนารายณ์มหาราชให้นับถือศาสนาอิสลามหากภาพนี้มิใช่ของกษัตริย์เอารังซีบก็น่าจะเป็นของชาฮฺสุลัยมานแห่งวงศ์เศาะฟะวี เพราะรัชสมัยตรงกัน (พ.ศ. ๒๒๑๐-๒๒๓๓)และมีการติดต่อกับสมเด็จพระนารายณ์ฯด้วยอย่างไรก็ดีเป็นเรื่องน่าทึ่งที่มีภาพลายรดน้ำเช่นนั้นบนบานตู้หนังสือของหลวง ความจริงก่อนหน้านี้ที่คลองบางกอกใหญ่ ได้มีมุสลิมตั้งภูมิลำเนาค้าขาย อยู่บกก็มีอยู่แพก็มีมาแล้วเช่นกัน ในสมัยนั้นไทยมุสลิมเรียกมัสญิดของตนว่า กุฎี และบางครั้งก็เพี้ยนเป็นกะฎีหรือเขียนเป็นกะดี กล่าวกันว่าชาวไทยมุสลิมที่คลองบางกอกใหญ่นั้นมีมาก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๗๑) กระดานจารึกอักษรอฺรับซึ่งถูกไฟไหม้บางส่วนครั้งอยุธยาเสียกรุงลอยน้ำมา และชาวคลองบางกอกใหญ่เก็บรักษาไว้ที่มัสญิดต้นสนจนบัดนี้นั้นก็เป็นหลักฐานอีกประการหนึ่ง นอกจากตำรับตำราและวรรณกรรมส่วนมากถูกเผาหรือสูญหายในระหว่างเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว หนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลามก็มีน้อย เพราะด้วยไม่มีการพิมพ์หนังสือแพร่หลาย เมื่อปลายเดือนกันยายนและต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ กรมศิลปากรได้ขุดกรุพระปรางค์ที่วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างในแผ่นดินพระเจ้าสามพระยาคือพระบรมราชาธิราชที่๒ผู้เสวยราชย์เมื่อพ.ศ.๑๙๖๑สวรรคตเมื่อพ.ศ.๑๙๗๗อันเป็นสมัยต้นๆของกรุงศรีอยุธยาในบรรดาต่างๆที่ ได้พบมีเหรียญทองอยู่๒อันมีอักษรจารึกไว้ด้านหนึ่งว่า สุลฏอนอัลอฺาดิล และอีกด้านหนึ่งว่าซัยนุลอฺาบิดีนมะลิก ปรากฏว่าเป็นเหรียญทองคำที่ทำขึ้นในประเทศแคชเมียร์ ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมุสลิมตรงกับสมัยเจ้าสามพระยาหรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๒ คำว่า จุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งฝ่ายมุสลิมให้ข้อปรึกษาด้านศาสนาอิสลามแก่กรมการศาสนากระทรวงวัฒนธรรมขณะนี้ ก็มีประวัติมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา ในทำเนียบศักดินาของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีทำเนียบตำแหน่งขุนนาง ซึ่งในชั้นหลังเรียกว่า “กรมท่าขวา”มี“พระจุลาราชมนตรี”เป็นหัวหน้าฝ่ายแขกคู่กับ“หลวงโชฎึกราชเศรษฐี”หัวหน้าฝ่ายจีน เมื่อพวกฮอลันดาเข้ามา คงจะเห็นว่าพวกแขกได้หลายพวกแล้ว ก็เลยแยกพวกฮอลันดามาไว้กับฝ่ายจีนเสียบ้าง และได้เติมคำว่า “ได้ว่าวิลันดา” ลงไป พอสันนิษฐานได้ว่าตั้งแต่สมัยสุโขทัยลงมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๓๑)จะต้องมีพวกแขกเช่นเปอร์เชียหรืออฺรับหรือพวกอินเดียเข้ามาอยู่แล้วจึงมีการกล่าวถึงพวกนักเทศขันทีแล้วก็มีตำแหน่งพระจุลาราชมนตรีในทำเนียบกรมภูษามาลามีชื่อแขกจริงๆปรากฏอยู่๔คนเป็นพวกช่างขุนชื่อนายเวระกูนายครูป่านายประหม่านันตีและนายเอระกะปี่ถือศักดินาคนละ๕๐ไร่

Page 35: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

151

ต่อจากสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) ลงมา๕ แผ่นดินถึงแผ่นดินพระยอดฟ้า (พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑) มีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับขุนวรวงษาธิราช คือขุนพิเรนทรเทพ ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ ชาวบ้านลานตากฟ้า แขวงเมืองสุพรรณบุรี ราชทินนาม “หลวงศรียศ” นี้ เท่าที่ ได้พบในสมัยหลัง ๆ ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งขุนนางแขกเช่นในแผ่นดินพระเอกาทศรถ(พ.ศ.๒๑๔๘-๒๑๖๓)มีพวกฮอลันดาเข้ามามีชื่อ“ออกขุนศรียศ”เป็นผู้หนึ่งที่มีหน้าที่ติดต่อกับพวกอังกฤษ มาถึงแผ่นดินพระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖) มีเยอรมันชื่อหมอแกมป์เฟอร์เข้ามาเขียนเล่าตอนจะไปหาพระยาพระคลัง (คือโกษาปาน)ก็ว่ามีขุนนางชื่อ “ออกพระศรียศ” เป็นผู้นำไป บอกว่า ออกพระศรียศเป็นขุนนางแขกอินเดีย ถือศาสนาอิสลามเป็นหัวหน้าพวกแขกมัวร์ แต่งตัวเป็นแขกมีผ้าโพกหัว เวลามาติดต่อมีขุนนางแขกมาด้วย ๒ คน ขุนนางจีนคนหนึ่งขุนนางไทย๒คนตามที่หมอแกมป์เฟอร์เขียนนี้แสดงว่าเป็นพวกกรมท่าซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับแขกเมืองออกพระศรียศอาจจะเป็น “ปลัด” หรือ “เจ้าท่า” เพราะในตอนหลังหมอแกมป์เฟอร์เล่าถึงตำแหน่งขุนนางได้ออกชื่อ“พระยาจุลา”อีกคนหนึ่ง ในคำให้การของขุนหลวงหาวัดก็ว่ามีตำแหน่ง “หลวงศรียศ” อยู่ในทำเนียบขุนนางแขกเป็นแม่กองแขก ดังนี้ หลวงศรียศ ที่มาร่วมคิดกับขุนพิเรนทรเทพคงจะเป็นแขกแท้ หรือเป็นเชื้อแขกเกิดที่บ้านลานตากฟ้าก็ได้แล้วมารับราชการในกรุงราชทินนามแขกมักจะมีคำว่า“ศรี”นำหน้า เช่นในกรมขันทีมีพระศรีมโนราช หลวงศรีมโนราช ในกรมท่าชั้นหลังมี “หลวงศรีวรข่าน”(รองพระจุลา) ในขุนช้างขุนแผนตอนขุนแผนซื้อม้าสีหมอกมีกลอนว่า “จะกล่าวถึงหลวงทรงพลกับพันภาณ พระโองการตรัสใช้ไปตะนาวศรี ไปตั้งอยู่มฤทเป็นครึ่งปี กับไพร่สามสิบสี่ที่ตามไป ด้วยหลวงศรีวรข่านไปซื้อม้า ถึงเมืองเทศยังช้าหามาไม่ ต้องรออยู่จนฤดูแล่นใบ เรื่องที่ ไปเมืองเทศจึงกลับมา” ในสมัยที่การค้าเจริญรุ่งเรือง เจ้าเมืองมะริด (ฝรั่งเรียกMaugui) และตะนาวศรีมักเป็น “แขก” เพราะพวกนี้ชำนาญการค้า หลวงทรงพลนั้นเป็น“เจ้ากรมพระอัศวราช” โดยตรงแต่ที่ใช้ “หลวงศรีวรข่าน” ไปซื้อก็เพราะ “หลวงศรีวรข่าน” เป็นแขก ตำแหน่ง “ศรีวรข่าน”ในทำเนียบชั้นหลังเป็นรองพระจุลาแต่สูงกว่าตำแหน่งศรียศ ว่าตามพงศาวดาร ขุนนางแขกที่มีตัวปรากฏเป็นเรื่องรามขึ้น เห็นจะเป็นหลวงศรียศในสมัยพระยอดฟ้านี้เป็นคนแรก ต่อมาในแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิได้เป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดีต่อจากแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแขกที่เข้ามาเมืองไทยมีชื่อเสียงปรากฏแน่ชัดเป็นแขกอฺรับชื่อ “เฉกอะหมัด” กับ “มหะหมัดสุอิด” เฉกอะหมัดเป็นพี่ มหะหมัดสุอิดเป็นน้อง

Page 36: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

152

เข้ามาทำการค้าขายเมือง พ.ศ. ๒๑๔๕ ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘)ตามเรื่องว่าได้พามุสลิมเข้ามามากได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ท่ากายีอยู่ใต้วัดสวนหลวงลงมาทางริมแม่น้ำเยื้องปากคลองคูจาม ในข้อนี้ ชัยคือ อะหฺมัด และ มุหัมมัด สะอีด (ไม่ใช่สุอิด) เป็นชาวเปอร์เชียไม่มีอฺรับเพราะทำเลท่ากายีนั้นเป็นถิ่นฐานของพวกแขกเจ้าเซ็น ท่านผู้นี้เป็นต้นตระกูล “บุนนาค”ความละเอียดมีแจ้งอยู่ในหนังสือ“เฉกอะหมัด”ฉบับของพระยาโกมารกุลมนตรี ชาวเลียร์เดอโชมองต์เป็นราชทูตฝรั่งเศสมาถึงปากน้ำ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายนพ.ศ. ๒๒๒๘ กล่าวว่า มีขุนนางไปต้อนรับที่เรือรบปากน้ำ ๔ คน มีพระยาพิพัฒโกษา พระยาไตรภพสิงหนาถเจ้าเมืองธนบุรี(เป็นโปรตุเกส)พระจุลาราชมนตรีและหลวงโชฎึกราชเศรษฐีในสมัยพระนารายณ์ฯ เห็นจะมีขุนนางแขกทุกภาษา เช่น เปอร์เชีย อฺรับ มลายู ชวา จามพวกเปอร์เชียอฺรับและอินเดียเป็นพ่อค้าส่วนมากคงมารับราชการทรงพระคลังเช่นตำแหน่งพระศรีเนาวรัตน์ และทางกรมท่า เช่น พระจุลาราชมนตรี ขุนราชเศรษฐี หลวงศรีวรข่านหลวงศรียศฯลฯพวกเจ้าเมืองที่เป็นท่าค้าขายสำคัญเช่นมะริตะนาวศรีในสมัยนั้นก็เป็นแขกเปอร์เชียหรืออินเดียทางตอนใต้ พวกมลายูคงรับราชการทางทหาร เช่น ตำแหน่งพระยาราชวังสัน(หรือบังสันจากหะสัน)ว่าตามที่ ได้เห็นในหนังสือฝรั่งขุนนางแขกพวกนี้เป็นแขกแท้คือแต่งตัวเป็นแขก สรุปความที่กล่าวแล้วแต่ต้น ภาษาหรือชาติที่เราเรียกว่า “แขก” คือ พวกที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้มีความสัมพันธ์กับชาวไทยมาอย่างน้อยก็นับแต่สมัยสุโขทัยจะเป็นแขกเปอร์เชีย อฺรับ หรืออินเดียก็ตาม พิจารณาเรื่องเสื้อผ้า การใช้เครื่องหอม หรือภาชนะต่าง ๆซึ่งส่วนใหญ่มาจากเปอร์เชียหรือที่เปอร์เชียได้จากภาษาอฺรับ ยิ่งเน้นหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าประเทศไทยเรามีสัมพันธไมตรีกับพวกนี้มาช้านานและลูกหลานของพวก“แขก”ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองไทยเป็นคนไทยสืบเชื้อสายกันมาหลายร้อยปี ในปัจจุบันมุสลิมได้ตั้งหลักแหล่งของตนในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยมีที่มาและเหตุผลอันแตกต่างกันออกไปมุสลิมได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยโดยมีผู้ขุดพบเหรียญจารึกภาษาอาหรับ ต่อมาสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มุสลิมได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากมายดังกล่าวไว้แล้ว ในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีมุสลิมจำนวนหนึ่งอพยพมาจากมลายูโดยถูกจับเป็นเชลยของกองทัพไทยเป็นต้น ตระกูลของชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในเขตพื้นที่ต่าง ๆเช่นสี่แยกบ้านแขกพระโขนงมีนบุรีนนทบุรีเป็นต้น บางส่วนก็ตั้งรกรากอยู่ในถิ่นกำเนิดเดิมของตนแต่ไทยได้ปกครองท้องถิ่นนั้นมาแต่เดิมเช่นจังหวัดต่างๆของชายแดนภาคใต้เป็นต้น บางส่วนอพยพมาจากอินโดนีเซียด้วยเงื่อนไขทางการค้า ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕ ตั้งรกรากอยู่ในปัจจุบันนี้ที่ทุ่งวัดดอนมักกะสันลุมพินีเป็นต้น บางส่วนเป็นเชื้อสายอินเดียที่อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่ง ประกอบอาชีพมีอยู่ที่ฝั่งพระนครและธนบุรี

Page 37: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

153

บางส่วนเป็นคนจีนมาจากมณฑลยูนานแผ่นดินใหญ่จีนหลังการปฏิวัติใหญ่เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองและมาตั้งรกรากอยู่ที่เชียงใหม่เชียงรายลำปางตากเป็นต้น บางส่วนเป็นชาวอาหรับได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งประกอบการค้าในตัวเมืองใหญ่ ๆ เช่นในกรุงเทพฯปัตตานีหาดใหญ่เป็นต้นการบริหารกิจการอิสลามในประเทศไทย การบริหารกิจการอิสลามในประเทศไทยนั้น เป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรศาสนาอิสลามพุทธศักราช๒๕๔๐ได้กำหนดรูปแบบการบริหารไว้เป็นคณะกรรมการซึ่งมีอยู่๓ระดับคือ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการอิสลามประจำจังหวัด และกรรมการอิสลามประจำมัสยิด โดยมีจุฬาราชมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัดเป็นผู้เสนอ จุฬาราชมนตรี ตำแหน่งประมุขสูงสุดของศาสนาอิสลามในประเทศไทยคือจุฬาราชมนตรีตำแหน่งนี้ปรากฏมีครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา และมีสืบมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ตามพระราชพระราชบัญญัติองค์กรศาสนาอิสลาม พุทธศักราช ๒๔๔๐ มาตรา ๖พระมหากษัติริย์ทรงแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีคนหนึ่ง เพื่อเป็นผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยและให้มีเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรีตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ตำแหน่งจุฬาราชมนตรี เดิมเป็นตำแหน่งข้าราชการในสำนักราชเลขานุการในพระองค์เทียบเท่าตำแหน่งหัวหน้ากอง(ตามกฎฉบับที่๑๔๖และ๑๔๗ลงวันที่๙กุมภาพันธ์๒๔๙๘)พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและถอดถอนตามพระราชอัธยาศัยมีหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามพ.ศ.๒๔๘๘มาตรา๓ซึ่งบัญญัติว่า“ให้จุฬาราชมนตรีมีหน้าที่ปฏิบัติราชการส่วนพระองค์เกี่ยวแก่การที่จะทรงอุปถัมภ์ศาสนาอิสลาม” ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๑ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลามพ.ศ.๒๔๘๘ให้ยกเลิกความในมาตรา๓และให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน“มาตรา๓พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจุฬาราชมนตรี เพื่อให้คำปรึกษาแก่กรมการศาสนาในกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวแก่การศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม และให้มีเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรีตามสมควร” จากการแก้ ไขพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ทำให้ฐานะของจุฬาราชมนตรี พ้นจากตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ ไปรับเงินอุดหนุนจากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ(ปัจจุบันเป็นกระทรวงวัฒนธรรม เปลี่ยนโดยพระราชกฤษฎีกา แก้ไขบทบัญญัติให้สอดคล้องกับการโอนอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมพ.ศ.๒๕๔๕พ.ศ.๒๕๔๕)ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการศาสนูปถัมป์ฝ่ายอิสลามอิสลามพ.ศ.๒๔๘๘และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม(ฉบับที่๒)พ.ศ.๒๔๙๑และให้ใช้มาตรา ๖ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีคนหนึ่ง เพื่อเป็นผู้นำกิจการ

Page 38: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

154

ศาสนาอิสลามในประเทศไทยมาตรา๘จุฬาราชมนตรีมีหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม สำหรับตำแหน่งจุฬาราชมนตรีเท่าที่มีปรากฏตามหลักฐานจนถึงจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันรวม๑๗คนคือ ๑. เจ้าพระยาวรราชนายก (เฉกอะหะมัด) เป็นชาวเปอร์เซียร์ เป็นมุสลิม นิกายชีอะห์อิสนาอะซะรี ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๐๔๕-๒๑๗๐)และต่อมาถึงรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง(พ.ศ.๒๑๗๓-๒๑๙๘)กรุงศรีอยุธยา ๒.พระยาจุฬาราชมนตรี(แก้ว)เป็นหลานของเจ้าพระยาบวรราชนายกดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๒๕)กรุงศรีอยุธยา ๓.พระยาจุฬาราชมนตรี(สน)เป็นบุตรของเจ้าพระยาศรีไสยหาญณรงค์(ยี)ในสายสกุลของท่านเฉกอะหมัด ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระจ้าอยู่หัวบรมโกศ(พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๐๑)กรุงศรีอยุธยา ๔.พระยาจุฬาราชมนตรี(เชน) เป็นบุตรเจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) ในสายสกุลของท่านเฉกอะหมัด ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทรกรุงศรีอยุธยา ๕.พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว-มุฮัมมัดมะอ์ซูม) เป็นบุตรจุฬาราชมนตรี (เชน)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกรุงรัตนโกสินทร์ ๖.พระยาจุฬาราชมนตรี(อากาหยี่)เป็นน้องชายของพระยาจุฬาราชมนตรี(ก้อนแก้ว)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าภาลัยกรุงรัตนโกสินทร์ ๗.พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน-มุฮัมมัดกาซิม) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี(ก้อนแก้ว)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๘.พระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย-มุฮัมมัดบาเกร) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี(อากาหยี)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๙.พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม-มุฮัมมัดตะกี) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๐.พระยาจุฬาราชมนตรี(สิน-กุลาฮูเซ็น)เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี(นาม)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๑.พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยา จุฬาราชมนตรี(สิน)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้รับพระราชทานนามสกุล“อหะมัดจุฬา”เมื่อวันที่๒๗กรกฎาคม๒๔๕๖ ๑๒.พระยาจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยา จุฬาราชมนตรี(สิน)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๓.พระยาจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยา จุฬาราชมนตรี (สัน)ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๔. พระยาจุฬาราชมนตรี แช่มพรหมยงค์ (ซัมซุดดีน มุสตาฟา) เป็นมุสลิมนิกายสุนนี

Page 39: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

155

คนแรกที่ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล(พ.ศ.๒๔๘๘-๒๔๙๐) ๑๕.จุฬาราชมนตรี ต่วน สุวรรณศาสตร์ (อิสมาแอล ยะห์ยาวี) เป็นมุสลิมนิกายสุนนีคนที่๒ที่ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชดำรงตำแหน่งตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๐-๒๕๒๔ ๑๖.จุฬาราชมนตรีประเสริฐมะหะหมัด(อะหมัดบินมะหะหมัด)เป็นมุสลิมนิกายสุนนีคนที่๓ที่ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชดำรงตำแหน่งตั้งแต่พ.ศ.๒๕๒๔-๒๕๔๐ ๑๗.จุฬาราชมนตรีสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ได้รับคัดเลือกจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด จำนวน ๒๙ จังหวัด และได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน๒๕๔๐มีชื่อภาษาอาหรับว่า“อะหมัดมะห์มุดซีสกร”นับเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่๑๓แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถานที่ทำการของจุฬาราชมนตรีปัจจุบัน คือ อาคารหอประชุมศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ เลขที่๔๕หมู่๓ถนนคลองเก้าแขวงคลองสิบ เขตหนองจอกกรุงเทพฯ โทรศัพท์๐๒๙๔๙๔๒๗๘-๘ โทรสาร๐๒๙๔๙๔๒๒๐คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ประกอบด้วยผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจังหวัดละหนึ่งคนและจากกรรมการอื่นที่คัดเลือกโดยจุฬาราชมนตรีมีจำนวนหนึ่งในสามของจำนวนผู้แทนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด การแต่งตั้งและถอดถอนโดยพระบรมราชโองการ ตามคำเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจุฬาราชมนตรีเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ความในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา๒๓จังหวัดใดมีราษฎรนับถือศาสนาอิสลามและมีมัสยิดตามมาตรา ๑๓ ไม่น้อยกว่าสามมัสยิดให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยประกาศให้จังหวัดนั้นมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดคณะหนึ่ง ประกอบด้วยคณะกรรมการมีจำนวนไม่น้อยกว่าเก้าคน แต่ไม่เกินสามสิบคน มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับศาสนาอิสลามต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งและถอดถอนโดยกระทรวงมหาดไทย

Page 40: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

156

คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด มัสยิด เป็นสถานที่ซึ่งผู้นับถือศาสนาอิสลามใช้ประกอบพิธีกรรมตามลัทธิศาสนาอิสลามในวันศุกร์และมัสยิดใดเมื่อได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยแล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคล ่ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามพ.ศ.๒๕๔๐มาตรา๓๐ให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดคณะหนึ่ง ประกอบด้วยอิหม่ามมัสยิดเป็นประธานกรรมการคอเต็บเป็นรองประธานกรรมการ บิหลั่นเป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นตามจำนวนที่ที่ประชุมสัปปุรุษประจำมัสยิดกำหนดจำนวนไม่น้อยกว่าหกคน แต่ ไม่เกินสิบสองคนกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี มีหน้าที่บำรุงรักษามัสยิดทรัพย์สินของมัสยิด วางระบียบภายในมัสยิดให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสนับสนุนอบรมสั่งสอนสัปปุรุษในการปฏิบัติศาสนกิจให้กูกต้องเคร่งครัด

แผนผัง โครงสร้างการบริหารงานกิจการศาสนาอิสลาม

จุฬาราชมนตรี

คณะกรรมการกลางอิสลาม แห่งประเทศไทย

คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด

คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด

สัปบุรุษ

กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม

กรมการปกครอง กรมการศาสนา

กรมการจังหวัด

Page 41: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

๓ ศาสนาคริสต ์

Page 42: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

158

โบสถ์อัสสัมชัญ สีลม กรุงเทพมหานคร

Page 43: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

159

ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ในประเทศไทย คริสตศาสนามีต้นกำเนิดในเอเชียตะวันตก (อิสราเอลในปัจจุบัน) และแผ่ขยายไปตามทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก ในเอเชียตะวันออกไกลนั้น คริสตศาสนาได้ถูกนำมาเผยแพร่โดยคณะผู้สอนศาสนา (Missionary) ที่ติดตามมาพร้อมกับการค้าขายและการล่าอาณานิคม เพื่อเหตุผลบางประการในทางการเมืองและการปกครองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ โปรตุเกส สเปน และเนเธอร์แลนด์ โปรตุเกสและสเปนได้นำเอาคริสตศาสนามาเผยแผ่ให้กับดินแดน ที่เข้าครอบครองมากที่สุด ทำให้ประเทศที่เดิมเคยถูกสเปนและโปรตุเกสปกครองมานั้นมี ผู้นับถือคริสตศาสนามาก และมีวัตถุก่อสร้างโบราณซึ่งเป็นโบสถ์ และศาสนสถานหลงเหลือเป็นร่องรอยของประวัติศาสตร์เหล่านั้นมากมาย เช่น ในฟิลิปปินส์ มาเก๊า ติมอร์ ฯลฯ นอกจากนั้นในสมัยต่อมา ฝรั่งเศสก็ได้เดินทางมาหาอาณานิคมในดินแดนแถบนี้ด้วย จนได้เวียดนาม กัมพูชา และลาวเป็นเมืองขึ้น ฝรั่งเศสเองก็ได้ทำอย่างเดียวกับโปรตุเกสและสเปน คือ นำเอาคริสตศาสนา (นิกายโรมันทาคอลิก) มาเผยแพร่ แต่ไม่ได้รับการต้อนรับเท่าไรนัก ทำให้อิทธิพลของศาสนาในประเทศเหล่านี้มีน้อย มีผู้นับถือไม่มากเหมือนดินแดนที่เคยอยู่ในการปกครองของโปรตุเกสและสเปน ส่วนประเทศไทยนั้น ไม่ได้มาในรูปแบบของเหล่าอาณานิคม คริสตศาสนาถูกนำเข้ามาในรูปของการเผยแพร่ศาสนาแก่คนทั่ว ๆ ไป และในรูปของผู้สอนศาสนาให้กับบรรดาชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโปรตุเกส ที่มาจากการค้าขายและตั้งหลักแหล่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเสียเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ก็ได้มีบทบาทเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากจะได้ทำการเผยแพร่ศาสนาของตนแล้ว ยังได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้แก่ประเทศไทยเป็นอันมาก เช่น การศึกษา การแพทย์ และการสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น ปัจจุบันประเทศไทยรับรองศาสนาคริสต์ ๒ นิกาย คือ คาทอลิก และโปรเตสแตนท์ และมีการรับรองในฐานะองค์การทางศาสนาคาทอลิก มีสภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกเป็นศูนย์กลาง แบ่งการปกครองเป็น ๑๐ เขตมิซซัง คือ มิซซังกรุงเทพ ราชบุรี สุราษฎร์ธานี จันทบุรี เชียงใหม่ นครสวรรค์ อุบลราชธานี ท่าแร่–หนองแสง อุดรธานีและนครราชสีมา ส่วนนิกายโปรเตสแตนท์มี ๔ องค์การ คือ สภาคริสตจักรในประเทศไทย สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย คริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ และคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย

ศาสนาคริสต์

Page 44: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

160

ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ความเป็นมา พ.ศ. ๒๐๕๔ อัลฟองโซ อัลยูเกิร์ก อุปราชโปรตุเกสที่อินเดีย ยึดแหลมมะละกาได้ในพระนามของพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกส ได้ส่งตัวร์เต เฟอร์นันเดส เป็นหัวหน้าคณะทูต เข้ามาเฝ้าพระมหากษัตริย์ ไทยตรงกับแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๑๑๐ มิชชันนารีหรือนักบวชธรรมทูตต่างประเทศรุ่นแรกที่รู้จักกันในประเทศไทย คือ บาทหลวงคณะโดมินิกัน ๒ คน มาจากแหลมมะละกา ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๒๐๕ บาทหลวงปิแอร์ ลังแบร์ต เดอลาม็อต (Pierre Lambert de la Motte) กับบาทหลวงเดอบูร์ช (de Baurges) และบาทหลวงเดดีเอร์ (Deydier) เดินทางมาถึงประเทศไทย ทั้งสามเป็นธรรมทูตชุดแรกของคณะที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ พ.ศ. ๒๒๐๓ คือบาทหลวงมิสซุงต่างประเทศแห่งกรุงปารีส คณะบาทหลวงเดินทางมุ่งหน้าจะไปแพร่ธรรมยังประเทศจีนและอินโดจีน แต่เนื่องจากมีการเบียดเบียนศาสนาในประเทศดังกล่าว ทั้งหมดจึงพำนักอยู่ในประเทศไทย และเริ่มศึกษาภาษาโปรตุเกส เพื่อสามารถติดต่อกับคริสตังในประเทศไทยได้ ต่อมาไม่นานทางพระราชสำนักทราบว่าบาทหลวงลังแบร์ต อยู่ที่กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์ทรงใคร่จะพบปะกับ คณะมิชชันนารี การเข้าเฝ้าครั้งแรกนี้ ไม่ถือว่าเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ดี สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงพระราชทานที่ดินแปลงหนึ่งที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อสร้างโบสถ์และโรงเรียน การก่อสร้างเริ่มในปี พ.ศ. ๒๒๐๙ ทั้งโบสถ์และโรงเรียนรวมเรียกว่า “ค่ายนักบุญโยเซฟ” พ.ศ. ๒๒๑๐ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดเกล้าฯ ให้บาทหลวงลังแบร์ต เข้าเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง ทรงตั้งปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับศาสนาคาทอลิก บาทหลวงลังแบร์ตได้ทูลอัตถาอธิบายพร้อมกับนำสมุดภาพบางตอนในพระคริสตประวัติทูลเกล้าฯ ถวายด้วย วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๑๒ กรุงโรมได้ประกาศตั้งมิสซังสยาม (Apostolic Vicariotg of Siam) นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทยมีฐานะเป็นองค์การทางศาสนาที่ทางราชการให้การรับรองชื่อว่า สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิก สถานที่ตั้ง

ปัจจุบันสำนักเลขาธิการตั้งอยู่เลขที่ ๑๒๒/๑๑ ซอยนาคสุวรรณ ถนนนนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร

Page 45: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

161

การบริหารงาน โดยที่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ได้เข้ามาเผยแพร่และเข้ามาปฏิบัติงานต่าง ๆ ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า ๓๐๐ ปี กิจการพระศาสนาได้เจริญพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ และมีประชาชนที่เลื่อมใสและนับถือศาสนานี้อยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ เพื่อความสะดวกและเพื่อความก้าวหน้าในกิจการต่าง ๆ ของพระศาสนาจะสามารถดำเนินไปด้วยดีและเรียบร้อย สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย จึงได้แบ่งเขตการปกครองเป็น ๑๐ เขตมิสซัง โดยมีมุขนายกแต่ละเขตมิสซังเป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่ปกครองดูแลเขตมิสซังของตนตามกฎหมาย ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ดำเนินการบริหารงานโดยสภาสูงสุด เรียกว่า “สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย” ประกอบด้วยมุขนายกทั้ง ๑๐ เขตมิสซังเป็นคณะกรรมการ โดยมี พระคาร์ดินัล มีชัย กิจบุญชู เป็นประธานฯ แบ่งการบริหารงานออกเป็น ๒ ภาคคือ ๑. ภาคกรุงเทพมหานคร (มิสซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพฯ) ประกอบด้วย ๖ เขตมิสซัง มี พระคาร์ดินัล มีชัย กิจบุญชู เป็นประมุข สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ ๕๑ ซอยโอเรียลเต็ล ถนนเจริญกรุง แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพฯ แบ่งการปกครองดังนี้ ๑.๑ เขตมิสซังกรุงเทพฯ ๑.๒ เขตมิสซังราชบุรี ๑.๓ เขตมิสซังสุราษฎร์ธานี ๑.๔ เขตมิสซังจันทบุรี ๑.๕ เขตมิสซังเชียงใหม่ ๑.๖ เขตมิสซังนครสวรรค์ ๒. ภาคท่าแร่-หนองแสง (มิสซังโรมันคาทอลิกท่าแร่-หนองแสง) ประกอบด้วย ๔ เขตมิสซัง มีพระคุณเจ้า จำเนียร สันติสุขนิรันดร์ เป็นมุขนายกปกครอง สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ ๓๒๖ ถนนสายสกลนคร-อุดรธานี ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสกลนคร แบ่งการปกครองออกเป็นดังนี้ ๒.๑ เขตมิสซังท่าแร่ ๒.๒ เขตมิสซังอุบลราชธานี ๒.๓ เขตมิสซังอุดรธานี ๒.๔ เขตมิสซังนครราชสีมา การติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ ดังนี้ ที่อยู่ สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย เลขที่ ๑๒๒/๑๑ ซอยนาคสุวรรณ ถนนนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๒๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๖๘๑ ๓๙๐๐ ต่อ ๑๒๐๙ หรือ ๑๒๐๒

Page 46: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

162

ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท ์

ความเป็นมา คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ที่เข้ามายังดินแดนสยาม เกิดขึ้นในช่วงคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกทางตะวันออกในรูปของการล่าอาณานิคมเพื่อยึดครองดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า เพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมของตน และหาแหล่งระบายสินค้าที่เป็นผลมาจากการผลิตแบบอุตสาหกรรมออกมาให้มากที่สุด การแผ่กระจายของคริสตศาสนาไปสู่ส่วนต่างๆของโลกจึง เกิดขึ้นพร้อมกับการขยายตัวทางการค้าและการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตก โดยคริสตจักรได้ส่งมิชชันนารีไปเผยแพร่ศาสนายังดินแดนต่างๆ และเข้ามายังดินแดนสยาม ในช่วงคริสตศตวรรษที่ ๑๙ ปัจจุบันมีองค์การทางศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ที่ทางราชการไทยรับรอง ๔ องค์การ ดังนี้ ๑. สภาคริสตจักรในประเทศไทย ๒. สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย ๓ มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ๔ มูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย

๑. สภาคริสตจักรในประเทศไทย ความเป็นมา สภาคริสตจักรในประเทศไทย (The Church of Christ in Thailand) เป็นกลุ่ม คริสตศาสนิกชนของคนไทย อยู่ในนิกายโปรเตสแตนท์ ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นคริสตจักรในสยาม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ และในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ คริสตจักรในสยามได้เปลี่ยนชื่อเป็น สภาคริสตจักร ในประเทศไทย คณะมิชชันนารี ได้ เริ่มเข้ามาเผยแพร่ ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มิชชันนารีคณะแรกเป็นชาวยุโรป ได้แก่ อังกฤษและเยอรมัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ส มิชชันนารีจากสหรัฐอเมริกาก็ได้เริ่มเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย เช่น คณะเพรสไบทีเรียน และคณะดิสไซเบิล เป็นต้น ปัจจุบันคณะมิชชันนารี ที่อยู่ในสังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีอยู่ถึง ๒๕ คณะด้วยกัน เช่น คณะบริติช เคาน์ซิล ออฟ เชิร์ช (The British Council of Churchs-BBC) คณะคริสเตียนเชิร์ช (Thd Christian Church) คณะลูเธอแรนเชิร์ชออฟ อเมริกา (The Lutheran Church of America) เป็นต้น

Page 47: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

163

สถานที่ตั้ง ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ ๓๒๘ ถนนพญาไท (เชิงสะพานหัวช้าง) แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐

การบริหารงาน ปัจจุบันสภาคริสตจักรในประเทศไทยได้จัดระบบการปกครองโดยใช้ “ธรรมนูญแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๑” ซึ่งเป็นกฎระเบียบสูงสุดขององค์กรที่ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นมา มีโครงสร้างการปกครองและการบริหารงานแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ สภาคริสตจักร คริสตจักรภาค คริสตจักรท้องถิ่น สภาคริสตจักรฯ ปกครองโดยสมัชชาสภาคริสตจักรในประเทศไทย คริสตจักรภาค ปกครองโดยคณะธรรมกิจคริสตจักรภาค คริสตจักรท้องถิ่น ปกครองโดยคณะธรรมกิจคริสตจักรท้องถิ่น สมัชชาสภาคริสตจกรในประเทศไทยเป็นที่ประชุมสูงสุดของสภาคริสตจักรในประเทศไทย ประกอบด้วย ผู้แทนสามัญจากคริสตจักรภาค ผู้แทนพันธกิจการศึกษา ผู้แทนพันธกิจ การแพทย์ และคณะกรรมการอำนวยการสภาคริสตจักรในประเทศไทย รวมทั้งผู้แทนสมทบ ได้แก่ ที่ปรึกษากฎหมายของสภาคริสตจักรในประเทศไทย ศาสนาจารย์ในสังกัด ภราดรหรือมิชชันนารีผู้ร่วมงานสมัชชาสภาคริสตจักรฯ ระบบการบริหารประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ ๑. สมัชชาสภาคริสตจักรในประเทศไทย ๒. คณะกรรมการอำนวยการสภาคริสตจักรในประเทศไทย ๓. คณะกรรมการดำเนินงานและกรรมการมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ๔. คณะผู้บริหารสภาคริสตจักรในประเทศไทย ๕. คณะกรรมการอำนวยการพันธกิจของสภาคริสตจักรในประเทศไทย การติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ ดังนี้ ที่อยู่ สภาคริสตจักรในประเทศไทย เลขที่ ๓๒๘ ถนนพญาไท (เชิงสะพานหัวช้าง) แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๑๔ ๖๐๐๐-๙ โทรสาร ๐ ๒๒๑๔ ๖๐๑๐

Page 48: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

164

๒. สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย ความเป็นมา คณะมิชชันนารีที่เข้ามาทำการในประเทศไทย มิใช่มีเพียงเฉพาะคณะอเมริกันเพรส ไปที่เรียน และคณะอเมริกันแบ๊บติสเท่านั้น แต่หากยังมีคณะอื่น ๆ ที่เข้ามาก่อนและหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา คณะมัชชันนารีกลุ่มต่างๆ เหล่านี้มิได้เข้าสังกัดเป็นสมาชิกของสภา คริสตจักรในประเทศไทยและถือเป็นอิสระ ทำงานในส่วนหรือเขตของตน ต่อมาภายหลังจึงได้เข้ามาร่วมก่อตั้งและเป็นสมาชิกของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย ได้แก่ ๑. คณะคริสเตียนแอนด์มิชชันนารือไลแอนส์ (C & MA ซี.เอ็ม.เอ) พ.ศ. ๒๔๗๒ ๒. คณะเวิร์ลด์ไวด์อีแวนเจไลเซซั่นครูเซด (WEC คณะเวค) ๓. คณะฟินนิชหรีฟอเรนมิชชั่น ๔. คณะอเมริกันเซิร์ชออฟไครสต์ (คริสเตียนเชิร์ช มิชชั่น) ๕. คณะโอเวอร์ซี มิชชันนารีเฟลโลชิปแห่งคณะไชนาอินแลนด์มิชชั่นในประเทศไทย (OMF โอ.เอ็ม.เอฟ.) ๖. คณะนิวไทรบ์มิชชั่น ๗. เสียงสันติ ๘. คริสเตียนลิทเทอเรเจอร์ คูเสด (ประเสริฐ บรรณาคาร หรือ CLC) ๙. การฟื้นฟูของ ดร.จอห์น ซง ๑๐. ศาสนาจารย์สุข พงศ์น้อย ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกับผู้นำมัชชันนารีคณะต่าง ๆ ที่ ได้เอ่ยนามมาข้างต้น จัดตั้ง “สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย” พ.ศ. ๒๕๑๒ กรมการศาสนาได้ให้การรับรอง โดยใช้ชื่อครั้งแรกว่า “องค์การสหพันธกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย” ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย” ชื่อย่อว่า “สคท.” และชื่อภาษาอังกฤษว่า “The Evangelical Fellowship of Thailand” ตามที่ ได้ยื่นขอจดทะเบียนกับกองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ ๒๙๖/๓-๔ ถนนสีลม อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานคร ใช้อาคารที่ร้านหนังสือ ประเสริฐบรรณาคารเดิม (คริสเตียนลิทเทอเรเจอร์ครูเสด CLC) เป็นสำนักงานช่วงแรก

สถานที่ตั้ง ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ ๖๔/๑ ถนนรามคำแหง ซอย ๒๒ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ

Page 49: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

165

การบริหารงาน สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทยได้บริหารองค์การโดยมีวัตถุประสงค์หลักตามธรรมนูญของ สคท. ดังนี้ ๑. ส่งเสริมการประสานงานและความร่วมมือกัน ๒. ส่งเสริมการเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ๓. ส่งเสริมการเจริญฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน ๔. ส่งเสริมการผลิตและการใช้สื่อสารมวลชนของคริสเตียน ๕. ส่งเสริมสังคมสงเคระห์ และสาธารณประโยชน์

การติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ ดังนี้ ที่อยู่ สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย เลขที่ ๖๔/๑ ถนนรามคำแหง ซอย ๒๒ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๓๑๘ ๓๘๘๗, ๐ ๒๓๑๘ ๓๘๖๒, ๐ ๒๓๑๘ ๘๒๓๕ โทรสาร ๐ ๒๓๑๘ ๓๘๖๑

Page 50: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

166

๓. มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ความเป็นมา

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มิชชั่นนารี่ (ผู้ประกาศศาสนา) ในเครือสหพันธ์แบ๊บติสต์ ใต้ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเผยแพร่คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ ในประเทศไทย จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ก็ ได้รวบรวมผู้เชื่อพระเจ้าที่เป็นชาวไทยตั้ง คริสตจักรในเครือสหพันธ์แบ๊บติสต์ใต้ เป็นแห่งแรก โดยใช้ชื่อว่า “คริสตจักรแบ๊บติสต์กรุงเทพฯ” ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อ “คริสตจักรพระคุณ” ด้วยงานในสังกัดสหพันธ์แบ๊บติสต์ ใต้ ได้ขยายอย่างรวดเร็วเกิดคริสตจักร และ หน่วยงานเป็นจำนวนมากในภูมิภาคต่าง ๆ และได้รับอนุญาตจัดตั้งเป็นมูลนิธิ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๓ ขออนุญาตจัดตั้งและได้รับอนุญาตจัดตั้งเป็นมูลนิธิ โดยใช้ชื่อว่า “มูลนิธิคริสตจักรแบ๊บติสต์” สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ ๙๐ ซอย ๒ ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ “มูลนิธิคริสตจักรแบ๊บติสต์” ได้รับรองจาก “กรมการศาสนา” กระทรวงศึกษาธิการ (ในขณะนั้น) เพื่อดำเนินกิจกรรมทางด้านศาสนา และในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ได้มอบหมายให้สหคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทย เป็นผู้แทนในการดำเนินการประสานงานด้านศาสนา ในนามของมูลนิธิศริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภารกิจที่มีมากขึ้นตามลำดับ จนถึงปัจจุบัน

สถานที่ตั้ง ปัจจุบันสำนักงานมูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บตริต์ ในประเทศไทยตั้งอยู่เลจที่ ๙๐ ซอย ๒ ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

การบริหารงาน มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ได้ดำเนินกิจการตามระเบียบข้อบังคับที่ ได้ยื่น ขออนุญาตจัดตั้งเป็นมูลนิธิต่อทางราชการ โดยมีคณะกรรมการบริหารเป็นผู้รับผิดชอบต่อ การดำเนินงานกิจการต่าง ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ได้พิจารณามอบหมายให้สหกิจคริสตจักรแบ๊บติสต์ในประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการประสานงานตอบสนองต่องานด้านศาสนา พร้อมทั้งดูแลสมาชิก (คริสตจักรและสถาบันต่าง ๆ) ของมูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ให้ดำเนินกิจกรรมทางด้านศาสนาให้ถูกต้องและสอดคล้องต่อระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิฯ และนโยบายของกรมการศาสนา

Page 51: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

167

สถาบันในมูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ ดูแลโดย สหคริสตจักรแบ๊บติสต์ ใน ประเทศไทย (ส.ค.บ.) ได้แก่ ๑. ศูนย์รวมนักศึกษาแบ๊บติสต์ กสศ. ๒. โรงเรียนคริสตศาสนาแบ๊บติสต์ ๓. คลินิกเวชกรรมคริสเตียนบางคล้า ๔. สถาบันคริสเตียนศึกษาและพัฒนาคริสตจักร ๕. สถานอบรมคริสเตียนแบ๊บติสต์ พัทยา ๖. พันธกิจเรือนจำคริสเตียนในประเทศไทย ๗. โรงเรียนอนุบาลอิ่มเอม ๘. ศูนย์ส่งเสริมอาชีพสตรีแสงเดือนบางคล้า ๙. สุสานมูลนิธิคริสตจักร คณะแบ๊บติสต์

การติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ ดังนี้ ที่อยู่ มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ (ฟอเรนมิชชั่นบอร์ด) เลขที่ ๙๐ ซอย ๒ ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพ ฯ ๑๐๑๑๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๒๕๒ ๗๐๗๙, ๐ ๒๒๕๒ ๘๔๗๓ โทรสาร ๐ ๒๖๕๖ ๔๕๒๔

Page 52: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

168

๔. มูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย

ความเป็นมา

การดำเนินงานของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย เริ่มขึ้นเมื่อปลายป ี

พ.ศ. ๒๔๔๙ โดยนายอาร์ เอ คาร์ดเวลล์ เดินทางเข้ามาจำหน่ายหนังสือในกรุงทพฯ (ข้อมูลจาก

นิตยสารรีวิวแอนด์เฮอรัลด์ ฉบับที่ ๘๔ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๐) มีความเห็นว่าควร

เข้ามาดำเนินงานการเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในประเทศไทย อีก ๑๐ ปีต่อมา

บรรณกร (ผู้ประกาศข่าวประเสริฐโดยการจำหน่ายหนังสือ) จากประเทศสิงคโปร์ ได้เข้ามา

ทำงานในกรุงเทพฯ โดยได้นำหนังสือภาษาจีนมาจำหน่ายในหมู่ชาวจีนและเพื่อหนุนน้ำใจ

สมาชิกคริสตจักรซึ่งส่วนมากเป็นชาวจีน

ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ สำนักงานใหญ่เจนเนอรัลคอนเฟอเรนซ์ สหรัฐอเมริกา ได้ส่งศาสนทูต

เข้ามาเผยแพร่ข่าวประเสริฐในประเทศไทย และในปีเดียวกันนี้ ได้จัดตั้งสำนักงานมิชชั่นของ

คริสตจักร โดยอาจารย์ อี. แอล. ลองเวย์ กับอาจารย์ฟอร์เรส เอ. แพร๊ด

ต่อมาสำนักงานภาคได้ส่งอาจารย์ ตัน เมียม สัว ผู้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งอยู่ใน

ประเทศจีน ให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพราะงานของคริสตจักรในเวลานั้นส่วนใหญ่อยู่ใน

หมู่ชาวจีน กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๖๔ มีผู้รับเชื่อเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก ๕ คน จนถึงปี

พ.ศ. ๒๔๖๙ มีผู้เข้ารับบัพติศเข้ามาเป็นสมาชิกคริสตจักร อีก ๘๘ คน

ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เริ่มต้นสร้างโรงเรียนขึ้นที่กรุงเทพฯ เพื่อสอนศาสนาให้แก่นักเรียน

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ คริสตจักรได้จัดตั้งคลินิกรักษาโรค โดยมีนายแพทย์ ราล์ฟ วัดเดล

กับภรรยาเป็นผู้ดำเนินงาน ต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นโรงพยาบาลมิชชั่นกรุงเทพฯ มีการขยายงาน

ด้านการแพทย์ออกไปยังจังหวัดต่าง ๆ เช่น อุบลราชธานี ภูเก็ต และหาดใหญ่ และขยายงาน

ด้านทันตแพทย์ขึ้นที่เชียงใหม่

ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โรงเรียนมิชชั่นในกรุงเทพฯ ถูกไฟไหม้ คริสตจักรจึงได้สร้างโรงเรียน

ชั่วคราว จนกระทั่งวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ โรงเรียนหลังใหม่สร้างเสร็จ เปิดการสอน

เป็นภาษาอังกฤษอีกแผนกหนึ่งที่เอกมัย เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ภาษาอังกฤษ

Page 53: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

169

ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คริสตจักรได้จัดตั้งโรงเรียนพระคริสตธรรมคัมภีร์ทางไปรษณีย์ สำหรับ

ผู้ประสงค์เรียนรู้เกี่ยวกับคริสตศาสนา สามารถเรียนทางไปรษณีย์ การดำเนินงานของ

โรงเรียนทำให้ประชาชนรู้จักคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสมากขึ้น และมีประชาชนรับเชื่อ

พระเจ้าเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อกิจกรรมของพระเจ้าก้าวหน้ามากขึ้น คริสตจักรได้เริ่มเผยแพร่ข่าว

ประเสริฐทางวิทยุ กระจายเสียงครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕

วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ คริสตจักรได้สร้างอาคารสองชั้นเป็นสำนักงานที่ซอย

โรงเรียนเกษมพาณิชยการ (ซอยปรีดีพนมยงค์ ๓๗) ถนนสุขุมวิท ๗๑ แขวงคลองตันเหนือ เขต

พระโขนง กรุงเทพมหานคร ชั้นที่สองเป็นสำนักงานของคริสตจักร ส่วนชั้นล่างเป็นที่ตั้งโรง

พิมพ์ “สำนักพิมพ์ข่าวประเสริฐ” เป็นโรงพิมพ์ที่ทันสมัยสำหรับพิมพ์งานของคริสตจักรและ

สถาบันในเครือ

ต่อมาคริสตจักรได้ขยายออกไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วทุกภาค จัดตั้งโรงเรียน

โรงพยาบาล และคลินิก และยังได้จัดตั้งศูนย์ชาวเขาขึ้นที่ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัด

เชียงใหม่ เพื่อให้การศึกษาแก่ชาวเขาตามหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเป็นการ

สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล สอนชาวเขาให้มีการศึกษาที่ดีขึ้น ให้มีความรักชาติ ศาสนา และ

พระมหากษัตริย์ รู้จักมีสัมมาชีพแทนการปลูกพืชที่นำไปผลิตยาเสพติดอันมิพึงปรารถนา

วัตถุประสงค์ขององค์การ

จุดมุ่งหมายของการดำเนินงานของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย คือ

๑. ประกาศให้คนทั้งหลายรู้จักประเสริฐแห่งองค์พระเยซูคริสต์

๒. ประกาศให้คนทั้งหลายรู้จักวันสะบาโตที่แท้จริงของพระเจ้า ตามที่ ได้จารึกไว้ใน

หนังสือ พระคริสตธรรมเอกโซโด บทที่ ๒๐ ข้อ ๘- ๑๑ ซึ่งเป็นข้อที่ ๔ ในพระบัญญัติ ๑๐

ประการของพระเจ้า เนื่องจากคนจำนวนมากได้ล่วงละเมิดพระราชบัญญัติข้อนี้

๓. สอนให้คนทั้งหลายดำเนินชีวิตตามคำสอนที่ ได้กล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ของ

พระเจ้า

๔. สอนให้คนทั้งหลายเตรียมพร้อม เพื่อต้อนรับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองขององค์

พระเยซูคริสต์

Page 54: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

170

สถานที่ตั้ง

ปัจจุบันตั้งอยู่อาคารเลขที่ ๑๒ ซอยปรีดี พนมยงค์ ๓๗ ถนนสุขุมวิท ๗๑ แขวง

คลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

การติดต่อประสานงาน

สามารถติดต่อได้ ดังนี้

ที่อยู่ มูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย

เลขที่ ๑๒ ซอยปรีดี พนมยงค์ ๓๗ ถนนสุขุมวิท ๗๑

แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพ ฯ ๑๐๑๑๐

โทรศัพท์ ๐ ๒๓๙๑ ๓๕๙๕ ต่อ ๑๑๒

โทรสาร ๐ ๒๓๘๑ ๑๙๒๘

Page 55: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

๔ ศาสนาพราหมณ์–ฮินด ู

Page 56: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

172

เทวสถาน กรุงเทพมหานคร

Page 57: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

173

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ความเป็นมาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในประเทศไทย ในสมัยโบราณ แต่แรกเริ่มศาสนาพราหมณ์ฮินดูนี้เรียกกันว่า สนาตนธรรม หมายถึงธรรมอันเป็นนิตย์คือไม่สิ้นสุดไม่รู้จักตายแปลเอาความหมายถึงพระวิษณุจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิษณุธรรม เทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ฮินดู มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ละสถานที่มีเทพเจ้าแต่ละองค์ดูไม่ออกว่าองค์ไหนสำคัญกว่าหรือสูงกว่าแต่ละกลุ่มนับถือแต่ละองค์บางทีในครอบครัวเดียวกันแต่ละคนในครอบครัวก็นับถือเทพเจ้าต่างๆกันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก สัญลักษณ์ทางศาสนาสำคัญที่สุดคือตัวอักษรที่อ่านว่าโอมมาจากอ+อุ+มะเป็นแทนพระตรีมูรตีเทพคืออแทนพระนารายณ์หรือพระวิษณุอุแทนพระพรหมามแทนพระศิวะหรือพระอิศวร เมื่อรวมกันเข้าเป็นอักษรเดียวกลายเป็นอักษร โอม แทนพระปรมาตมันพระเจ้าสูงสุดไม่มีตัวตนสัญลักษณ์นี้ทุกนิกายทุกลัทธิในศาสนาพราหมณ์ฮินดูต้องใช้เป็นประจำ ในประเทศไทยเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ใช้ทั้งตรีศูลและตัวอักษรโอมเป็นสัญลักษณ์ทางสมาคมฮินดูสมาชเอาตัวอักษรโอมเป็นสัญลักษณ์สมาคมฮินดูธรรมสภาเอารูปโอมล้อมรอบด้วยสวัสดิกะและจักรในรูปวงกลมเป็นสัญลักษณ์ ทั้งสามสถาบันรวมกันเรียกว่า องค์การศาสนาพราหมณ์ฮินดู ซึ่งมีสัญลักษณ์ร่วมคือตัวโอมอยู่ระหว่างตรีศูล นอกจากนี้ยังมีรูปดอกบัวสังข์คฑาช้างโคพระอาทิตย์นกยูงสิงโตงูคันไถและอื่นๆใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำนิกายและประจำลัทธิด้วยแต่ต้องมีตัวโอมอยู่เสมอ สมัยก่อนรัตนโกสินทร์ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูได้เข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิก่อนสมัยทวารวดีคัมภีร์ชาดกในพระพุทธศาสนา เช่นพระมหาชนกคัมภีร์รามายณะก็กล่าวถึงดินแดนในสุวรรณภูมิและสุวรรณทวีปไว้ เมื่อปีพ.ศ.๓๐๓คณาจารย์พราหมณ์ที่ติดตามพระโสณะเถระกับพระอุตรเถระศาสนทูตของพระเจ้าอโศกฯ เข้ามายังสุวรรณภูมิ จุดแรกที่ทั้งสององค์มาประดิษฐานพระพุทธศาสนาคือนครปฐมตอนนี้นับเป็นยุคแรกๆของพราหมณ์ในประเทศไทยประจักษ์พยานในการเผยแพร่ศาสนาพราหมณ์คือปฏิมากรรมและปูชนียวัตถุของศาสนาเช่นเทวรูปเทวาลัยพบที่จังหวัดนครปฐมราชบุรีเพชรบุรีและกาญจนบุรีที่ตำบลพงตึก

Page 58: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

174

ประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ได้แพร่จากอินเดียเข้าสู่ประเทศไทย ตั้งมั่นอยู่ที่สุโขทัย พระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงทรงเอาพระทัยใส่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามากในขณะเดียวกันก็ทรงเอาธุระในศาสนาพราหมณ์ฮินดูด้วยในราชสำนักมีพราหมณ์พระศรีมโหสถพระมหาราชครูเป็นปุโรหิตถวายความรู้วิทยาการของนักรบและวิทยาการของกษัตริย์มีการประกอบพิธีกรรมตามพระเวทอันสืบเนื่องมาเป็นพระราชพิธีจนถึงปัจจุบัน ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในพระราชอาณาจักรไทยตามลัทธิลังกาวงศ์นับว่าเป็นยุคที่สองของพราหมณ์ในไทย ยุคนี้ห่างจากยุคแรกประมาณ ๑,๕๐๐ ปี ได้ปรากฎปูชนียวัตถุในศาสนาพราหมณ์ในหลาย ๆ แห่งที่ขุดพบในอาณาจักรสุโขทัยรวมทั้งจารึกพระเวทในศาสนาพราหมณ์อีกเป็นจำนวนมาก องค์การศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่ทางราชการไทยให้การรับรอง ได้แก่ สำนักพราหมณ์พระราชครูในสำนักพระราชวังสมาคมฮินดูธรรมสภาและสมาคมฮินดูสมาช

Page 59: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

175

ความเป็นมา อาจกล่าวได้ว่าเป็นพราหมณ์สมัยพระพุทธศาสนา จะเห็นได้จากที่ตั้งของศาสนพิธีของพราหมณ์ และของพุทธที่สำรวจพบในพระราชอาณาจักรไทย มักจะมีเทวรูป ปฏิมากรรมในพระพุทธศาสนาอยู่ในสถานที่เดียวกันเสมอ จากตำนานและข้อสันนิษฐานต่างๆจะเห็นว่าบรรดาวิชาการต่างๆที่ ได้ศึกษากันมาในสมัยพันกว่าปีมานี้ ได้อาศัยวิชาในแขนงอุปเวท อาถรรพเวท เป็นส่วนมาก เช่น อายุรเวทว่าด้วยทางเภสัชการปรุงยาและการแพทย์ทุกแขนง นิติเวทว่าด้วยการปกครองกฎหมายจะเขียนแบบแผนของบ้านเมือง เป็นต้น ตลอดจนวรรณคดี เช่น หนังสือเรื่องสมุทโฆษคำฉันท์ ฉบับที่พระมหาราชครูแต่ง และหนังสือจินดามณี ต้นตำราเรียนภาษาไทยซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ฯโปรดให้พระยาโหราธิบดี (พราหมณ์) แต่งเอาไว้เพื่อใช้สอนกันมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เป็นต้นดังนั้น ในสมัยก่อนที่ปรึกษาราชการงานเมืองจึงมีพราหมณ์ปุโรหิตอยู่ด้วยเสมอเพราะโดยตำแหน่งเป็นอาจารย์สอนวิชาการต่างๆด้วย สมัยรัตนโกสินทร ์ ในการสร้างพระนครใหม่ตามคติโบราณให้สร้างเทวสถานและเสาชิงช้าด้วยสาเหตุที่เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญ คือ พระศิวะผู้ทรงประทานพร พระนารายณ์ผู้ทรงรักษา พระพรหมผู้สร้าง เมื่อจัดตั้งเทวสถานแล้วก็เป็นสถานที่จะกราบไหว้เทพเจ้าสำคัญ และการสร้างเสาชิงช้าก็เป็นคติในการทำให้บ้านเมืองแข็งแรง พิธีที่ทำให้ประเทศชาติมั่นคงตามลัทธินั้น คือ พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย ซึ่งจะทำพิธีโล้ชิงช้าแสดงตำนานเทพเจ้าตอนสร้างโลกเมื่อทำพิธีนี้แล้วถือว่าการสร้างพระนครได้สำเร็จลงโดยสมบูรณ์ เมื่อสร้างพระนครเรียบร้อยและประกอบพิธีราชาภิเษกแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างเทวสถานขึ้น เมื่อพุทธศักราช๒๓๒๗ด้วยเป็นเทวสถานที่มีพราหมณ์เป็นผู้ดูแลและประกอบพระราชพิธีสำคัญสำหรับพระนคร และทรงให้สร้างเสาชิงช้าขึ้นตรงหน้าเทวสถาน การสร้างเสาชิงช้าขึ้นก็เพื่อจะรักษาธรรมเนียมการสร้างพระนครตามอย่างโบราณ โดยถือคติว่าจะทำให้พระนครมีความมั่นคงแข็งแรง และได้โปรดเกล้าฯ ให้พราหมณ์จากปักษ์ใต้ขึ้นมารับสนองพระบรมราชโองการเป็นพราหมณ์ประจำราชสำนัก ปฏิบัติพระราชพิธีสำหรับพระองค์ และพระราชอาณาจักร โดยให้ประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย โล้ชิงช้า ซึ่งเป็นการขอพรจากพระอิศวรเพื่อให้พระนครมั่นคง แข็งแรง และมีความอุดมสมบูรณ์

๑. สำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง

Page 60: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

176

เสาชิงช้าสร้างขึ้นพร้อมเทวสถานอยู่บริเวณหน้าวัดสุทัศนเทพวรารามใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธีตรียัมปวาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๗ เป็นต้นมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงยกเลิก ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกกรมพิธีพราหมณ์ในกระทรวงวัง พิธีโล้ชิงช้าจึงงดไปแต่พรหมณ์ยังคงทำพิธีตรียัมปวายอยู่โดยทำอยู่ภายในเทวสถานเท่านั้นและอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้พราหมณ์ปฏิบัติพระราชพิธีสำหรับพระองค์และประเทศชาติต่อไป โดยให้ขึ้นตรงต่อสำนักพระราชวัง และปฏิบัติศาสนกิจที่เทวสถานสำหรับพระนครข้างวัดสุทัศนเทพวรารามเสาชิงช้ากรุงเทพมหานครศาสนสถานที่สำคัญ เทวสถาน เทวสถาน หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “โบสถ์พราหมณ์” (ด้วยเป็นเทวสถานที่มีพราหมณ์เป็นผู้ดูแลและประกอบพระราชพิธีสำคัญสำหรับพระนคร) ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๒๖๘ ถนนบ้านดินสอแขวงเสาชิงช้าเขตพระนครกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๗ ภายในเทวสถานมีโบสถ์ ๓หลังคือ ๑. สถานพระอิศวร(โบสถ์ใหญ่) ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนไม่มีพาไล โบสถ์หลังนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นทุกหลังหลังคาทำชั้นลด๑ชั้นหน้าบันมีเทวรูปปูนปั้นรูปพระอิศวรพระอุมาและเครื่องมงคลรูปสังข์ กลศกุมภ์ ภายในโบสถ์มีเทวรูปต่าง ๆอาทิ พระอิศวรทำด้วยสำริดเทวรูปศิวลึงค์พระพรหมตรงกลางโบสถ์มีเสาลักษณะคล้ายเสาชิงช้า๒ต้นสูง๒.๕๐เมตรสำหรับประกอบพิธีช้าหงส์ในพระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย ๒.สถานพระพิฆเณศวร (โบสถ์กลาง) ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนมีพาไลทั้งด้านหน้า และด้านหลังการก่อสร้างยังคงศิลปะอยุธยาที่สร้างโบสถ์ที่มีพาไลตัวโบสถ์ไม่มีลวดลายหลังคามีชั้นลด๑ชั้นภายในโบสถ์มีเทวรูปพระพิฆเณศวร๕องค์ล้วนทำด้วยหิน ๓. สถานพระนารายณ์ (โบสถ์ริม) ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนมีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลังการก่อสร้างทำเช่นเดียวกับสถานพระพิฆเณศวร ภายในโบสถ์ประดิษฐานพระนารายณ์ทำด้วยสำริด ตรงกลางโบสถ์มีเสาลักษณะคล้ายเสาชิงช้าขนาดย่อม สำหรับประกอบพิธีช้าหงส์สูง๒.๕๐เมตรเรียกว่า“เสาหงส์”

Page 61: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

177

บริเวณลานเทวสถานด้านหน้าประตูทางเข้ามีเทวาลัยขนาดเล็กประดิษฐานพระพรหมตั้งอยู่กลางบ่อน้ำสร้างเมื่อพ.ศ.๒๕๑๔ เทวสถานได้ขึ้นทะเบียนเป็น “โบราณวัตถุสถาน”สำคัญของชาติ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๖๖ ตอนที่ ๖๔ วันที่ ๒ พฤศจิกายนพ.ศ.๒๔๙๒หน้า๕๒๘๑ลำดับที่ ๑๑ระบุว่า เทวสถานเป็น “โบราณวัตถุสถาน”สำคัญของชาติประกาศณวันที่๑๘พฤศจิกายนพ.ศ.๒๔๙๒เสาชิงช้า สร้างขึ้นพร้อมเทวสถาน อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโบสถ์พราหมณ์ บริเวณหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร ใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ในพระราชพิธีตรียัมปวาย พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้สร้างขึ้นตรงหน้าเทวสถาน เมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรงพ.ศ.๒๓๒๗ต่อมาสร้างโรงก๊าด(โรงเก็บน้ำมันก๊าด)ขึ้นณที่นั้นจึงย้ายเสาชิงช้ามาณที่ตั้งปัจจุบัน การสร้างเสาชิงช้าขึ้นก็เพื่อจะรักษาธรรมเนียมการสร้างพระนครตามอย่างโบราณไว้โดยถือคติว่าจะทำให้พระนครมีความมั่นคงแข็งแรงดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ในเวลาต่อมาไม้เสาชิงช้าคู่นี้เก่ามาก จึงมีการปฎิสังขรณ์เสาชิงช้าขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อพ.ศ. ๒๔๖๓ โดยบริษัทหลุยต์ ที โอโนเวนส์ จำกัด และสร้างเสร็จเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายนพ.ศ. ๒๔๖๓ ครั้น พ.ศ. ๒๔๙๐ เกิดไฟไหม้เสาชิงช้าเนื่องจากไฟจากธูปได้ตกลงไปในรอยแตกรัฐบาลครั้งนั้นดำริจะรื้อ แต่เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยจึงได้ระงับไว้ และมีคำสั่งให้เทศบาลนครกรุงเทพซ่อมกระจังไว้ชั่วคราว กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่๖๖ตอนที่๖๔วันที่๒๒พฤศจิกายนพ.ศ.๒๔๙๒หน้า๕๒๘๑ลำดับที่๑๐ระบุว่าเป็น“โบราณวัตถุสถาน”สำคัญของชาติประกาศณวันที่๑๘พฤศจิกายนพ.ศ.๒๔๙๒ พ.ศ.๒๕๐๒กระจังที่เป็นลวดลายผุลงได้เปลี่ยนใหม่และทาสีและพ.ศ.๒๕๑๓สภาพเสาชิงช้าชำรุดทรุดโทรมมากต้องเปลี่ยนเสาใหม่เพื่อให้มั่นคงแข็งแรงโดยรักษาลักษณะเดิมไว้ทุกประการและได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่๒๙มิถุนายนพ.ศ.๒๕๑๕ ปีพ.ศ.๒๕๕๐นายอภิรักษ์โกษะโยธินผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเห็นว่าเสาชิงช้า ซึ่งเป็นโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองนับตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์มาจนถึงปัจจุบันหากรวมอายุตั้งแต่เริ่มสร้างในปีพ.ศ.๒๓๒๗จนถึงขณะนี้รวมอายุได้ประมาณ๒๒๓ปีสภาพเดิมชำรุดทรุดโทรมอย่างมาก สมควรที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์เสาชิงช้าครั้งใหญ่ จึงได้ประชุมคณะกรรมการบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้ากรุงเทพมหานคร และมีการศึกษาประวัติของเสาชิงช้าอย่างจริงจังจากนั้นได้เริ่มลงมือจัดหาไม้สักขนาดใหญ่๒ต้นจากจังหวัดแพร่เพื่อนำมาทำเป็นเสาประธานส่วนที่โคนเสาทั้งสองเป็นเสากลมขนาดกลางขนาบข้างเรียกว่า เสาตะเกียบยอด

Page 62: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

178

เสาแกะสลักลวดลายงดงาม มีความสูงจากฐานถึงยอด๒๑.๑๕เมตร หลังจากได้บูรณะเสร็จสมบูรณ์แล้วคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมเพื่อเตรียมการจัดการฉลองเสาชิงช้าใหม่ และได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล เชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้ าอยู่ หั ว เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีฉลองซึ่งได้มีหนังสือจากราชเลขาธิการว่าทรงกำหนดจะเสด็จฯ ในวันพุธที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐เวลา ๑๗ นาฬิกา งานเฉลิมฉลองกำหนด ๓ วันคือระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐มีรายละเอียดการจัดงานดังนี้ วันอังคารที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นวันสุกดิบตามประเพณีไทย ซึ่งเป็นการเตรียมการจัดงาน จัดรถรางนำเที่ยว และพิธีเจริญพุทธมนต์ (สวดมนต์เย็น) วันพุธที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นพิธีฉลองเสาชิงช้า เพื่อความเป็นสิริมงคลช่วงเช้ามีพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ๘๑ รูป และสวดชุมนุมเทวดา เวลา ๑๗ นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีฉลองเสาชิงช้า มีกิจกรรมแสง สี เสียงและนิทรรศการประวัติเสาชิงช้า มหรสพเฉลิมฉลอง และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น โขน ละคร ลิเก ลำตัด เป็นต้น วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นการเฉลิมฉลองต่อเนื่อง โดยมีการเสวนาเรื่องความสำคัญ ความเป็นมาของเสาชิงช้า ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ภาคเช้า และการมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดภาพถ่ายเสาชิงช้า มีรถรางนำเที่ยว และภาคค่ำ มีการแสดงมหรสพเฉลิมฉลอง พิธีสำคัญของศาสนา พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีสองพิธีต่อเนื่องกันคือ พระราชพิธีพืชมงคล เป็นพิธีสงฆ์ ประกอบพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามส่วนพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีพราหมณ์ประกอบพิธีที่มณฑลท้องสนามหลวงแต่เดิมมีเแต่พิธีพราหมณ์มาเริ่มมีพิธีสงฆ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย เป็นสองพิธีต่อกันคือพิธีตรียัมปวายกับพิธีตรีปวายกระทำในเดือนยี่ของทุกปีเป็นเวลา๑๕วันตลอดเวลาดังกล่าวมีการอ่านโศลกสรรเสริญและถวายโภชนาหารแด่เทพเจ้า พิธีนี้เกี่ยวเนื่องกับพิธีแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีขอพรให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์เป็นต้นฤดูการเพาะปลูก

เสาชิงช้า

Page 63: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

179

ส่วนพิธีตรียัมปวาย เป็นพิธีที่ทำหลังจากการเก็บเกี่ยวแล้ว พราหมณ์จึงจัดของถวายเป็นการระลึกถึงเทพเจ้าที่กรุณาให้พืชพันธุ์แก่มนุษย์พิธีนี้จะมีพิธีโล้ชิงช้ารวมอยู่ด้วยหมายถึงการหยั่งความมั่นคงของแผ่นดิน และเป็นการเสริมสร้างให้แผ่นดินมีความมั่นคงยิ่งขึ้น เป็นคติแต่โบราณ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระราชพิธีสถาปนาพระเจ้าแผ่นดินขึ้นเป็นสมมติเทพปกครองแผ่นดิน เป็นใหญ่ในทิศทั้งแปดและเป็นการประกาศให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน ตามคติพราหมณ์จะทำพิธีอัญเชิญเทพเจ้า เพื่อทำการสถาปนาให้พระมหากษัตริย์ขึ้นเป็นสมมติเทพดำรงธรรมสิบประการปกครองประเทศด้วยความร่มเย็น พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นพิธีสาบานตนในการรับราชการว่าจะซื่อตรงต่อแผ่นดินและปกป้องชาติบ้านเมืองให้เกิดความสงบสุข โดยบรรดาข้าราชการจะต้องดื่มน้ำสาบานตน จำเพาะพระพักตร์พระมหากษัตริย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง โดยพราหมณ์จะทำพิธีเสกน้ำสาบานนี้แล้วนำพระแสง(ศาสตราวุธ)ต่างๆของพระมหากษัตริย์ลงชุบในน้ำที่เสกนั้นเพื่อหมายให้ผู้ที่ ไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดินจะต้องได้รับโทษต่างๆนานา ปัจจุบัน จะประกอบพระราชพิธีนี้รวมกับการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีศักดิ์รามาธิบดีเฉพาะบุคคลที่ ได้รับพระราชทานเท่านั้นด้านการปกครอง เทวสถานเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ขึ้นกับสำนักพระราชวัง ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ให้ประกอบพระราชพิธีสำหรับพระราชสำนักโดยมีตำแหน่งหัวหน้าพราหมณ์หรือพระครูพราหมณ์จะต้องได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นพราหมณ์ประกอบพระราชพิธีการบริหารงาน ประธานพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงานของสำนักพราหมณ์โดยได้จัดแบ่งภารกิจเป็น๓ด้าน ๑. งานในหน้าที่คือประกอบพิธีสำหรับพระราชสำนักตามหมาย ๒.งานด้านเผยแพร่ศาสนาแก่ประชาชน ๓. งานด้านสังคมสงเคราะห์การติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ดังนี้ ที่อยู่ สำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง โบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้าเขตพระนครกรุงเทพฯ๑๐๒๐๐โทรศัพท์๐๒๒๒๒๖๙๕๑โทรสาร๐๒๒๒๔๑๒๑๑

Page 64: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

180

ความเป็นมาของสมาคมฮินดูธรรมสภา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ราวปีพ.ศ.๒๓๘๑ได้มีพราหมณ์ชาวภารตจากอุตตรประเทศ(เผ่าทมิฬ)เดินทางมาสู่ประเทศไทยโดยทางเรือบ้างได้ขึ้นบกที่แหลมมลายู ที่เกาะภูเก็ต นครศรีธรรมราช และจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยบ้างนำสินค้ามาขาย และมีกลุ่มหนึ่งได้เดินทางขึ้นสู่เมืองหลวงเริ่มประกอบกิจการค้าและหาเลี้ยงชีพตามความรู้ของตน เมื่อปีกุนพ.ศ.๒๔๑๘รัชกาลที่๕ได้เสด็จประพาสประเทศอินเดียและได้เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยในปีเดียวกัน พระองค์ ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ได้เคยทรงปฏิสันถารกับชาวอินเดีย (เผ่าทมิฬ)และตรัสว่าหากชาวอินเดียมีความประสงค์จะได้ที่ดินเพื่อใช้สร้างสาธารณะประโยชน์แล้วพระองค์จะพระราชทานให้แต่ปรากฏว่ามิได้มีชาวอินเดียผู้ใดนำเรื่องนี้มาพิจารณาจะเป็นด้วยเหตุผลอันใดก็ยากที่จะทราบได้ ปี พ.ศ. ๒๔๒๒ ชาวอินเดียที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งมาจากภาคใต้ของประเทศอินเดีย (เผ่าทมิฬ) ได้เริ่มทยอยเข้าสู่เมืองหลวงบางกอก เป็นระลอก ๆ เพื่อตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลวงและบ้างก็แต่งงานอยู่กินกับคนไทยชาวพื้นเมืองและไทยเชื้อสายมอญปรากฏหลักฐานว่ามีชาวอินเดียผู้หนึ่งได้ซื้อที่ดินไว้ที่หัวลำโพง สร้างเทวสถานเป็นเนื้อที่กว้างใหญ่ ไพศาล และเป็นบุคคลแรกที่จัดหาซื้อที่ดินไว้ ในเมืองหลวง ด้วยความร่วมมือของชาวอินเดีย แต่เนื่องจากเป็นระยะเวลานานเกือบร้อยปีมาแล้ว จึงยากที่จะทราบได้ว่า ที่ดินดังกล่าวนั้นได้ถ่ายเทไปเป็นของผู้ใด ทราบแต่เพียงจากปากคำของท่านผู้สูงอายุว่า ในระยะเวลาเดียวกันนั้น คงมีแต่ศาลาเล็กๆของเจ้าแม่ศรีมหาอุมาเทวีอยู่ใต้ต้นสะเดา ในไร่อ้อยริมทางสีลม(ปัจจุบันคือเนื้อที่บริเวณวัดพระศรีมหาอุมาเทวีด้านหลังวัด) ศาลาจ้าวแม่ศรีมหาอุมาเทวีนี้ เดิมชื่อว่า ศาลาศรีมารีอัมมัน เป็นที่เคารพบูชาของชาวอินเดีย ชาวไทย และชาวจีนในยุคนั้น ทั้งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มชาวอินเดียทมิฬ (ทางภาคใต้ของประเทศอินเดีย) ศาลเจ้าแม่นี้มีความศักสิทธิ์เป็นที่เลื่องลือกันมาในสมัยนั้น ต่างพากันมากราบไหว้บูชากันเป็นประจำ ปีพ.ศ.๒๔๕๔ชาวอินเดียทมิฬที่ ได้ตั้งรกรากอยู่ในย่านสีลมมีความเห็นว่าศาลเจ้าแม่มีความศักสิทธิ์เป็นที่เคารพสักการบูชาของชนในท้องที่และต่างตำบล จึงพร้อมใจกันสร้างเทวาลัยขึ้น และนำองค์เจ้าแม่มาประดิษฐานเป็นพระประธาน และนำองค์เทวะต่างๆมาจากประเทศอินเดีย ก่อสร้างเพิ่มเติม ต่อมาได้กลายเป็นที่ชุมนุนของชาวอินเดียผู้เดินทางมาจากที่ต่างๆ ชาวบ้านจึงขนานนามวัดนี้ว่า “วัดแขกสีลม” และได้มีการจัดงานเทศกาลประจำปีนับแต่นั้นเป็นต้นมา ปีพ.ศ.๒๔๕๘ชาวอินเดียทมิฬได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์วัดซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “ผู้ใหญ่วัด”จดทะเบียนเป็นมูลนิธิ “วัดพระศรีมหามารีอัมมัน” เมื่อวันที่๘

๒. สมาคมฮินดูธรรมสภา

Page 65: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

181

พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๕๘คณะกรรมการได้รื้อฟื้นประเพณีดั้งเดิมของชาวภารต โดยจัดให้มีการประกอบพิธีกรรมในวันสำคัญทางศาสนาที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดคือ ริเริ่มให้มีการจัดงานแห่เป็นประเพณีประจำปี โดยมีการเข้าทรงเจ้าอัญเชิญเทวะต่าง ๆ ออกแห่ มีการทำบุญเลี้ยงอาหาร แจกขนม ในเทศกาลอันควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานเทศกาล “ดูเซร่า” หรือ”เนาวราตร” จะมีการเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริกเป็นที่ เลื่ องลือไปทั่ ว เมืองไทยว่า“งานแห่เจ้าแม่กาลี วัดแขกสีลม” และในปีเดียวกันนี้ ชาวอินเดียทมิฬก็ ได้ร่วมมือกันซื้อที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ที่ เลขที่ ๕๐ ซอยวัดปรกแขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวากรุงเทพมหานครจัดตั้งเป็นสมาคมฮินดูธรรมสภาขึ้น และได้จดทะเบียนสำนักงานใหญ่ของสมาคม ต่อมาเมื่อศาสนิกชนชาวอินเดียทมิฬเพิ่มจำนวนมากขึ้น และสถานที่ในบริเวณวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก) ไม่สามารถขยายออกตามจำนวนศาสนิกชนได้ ก็จำเป็นต้องหาสถานที่ใหม่สำหรับประกอบกิจทางศาสนา จึงได้เรี่ยไรเงินจัดสร้างวัดวิษณุในที่ที่จัดตั้งสมาคมฮินดูธรรมสภาในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ และได้อัญเชิญเทวรูปต่าง ๆ มาจากประเทศอินเดีย และทำพิธีประดิษฐานเทวรูปและได้ทำพิธีเปิดในปีพ.ศ.๒๔๖๔แล้วตั้งชื่อเต็มว่า“สมาคมฮินดูธรรมสภา(วัดวิษณุ)” เมื่อวันที่๒๒กุมภาพันธ์พ.ศ.๒๕๐๙เวลา๑๑นาฬิกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯออกรับพันเอกปิ่นมุทุกันต์อธิบดีกรมการศาสนาซึ่งนำบัญฑิตวิทยาธรสุกุลประธานปุชารีวัดวิษณุและคณะเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร เนื่องในโอกาสที่ประกอบพิธีบูชาตามลัทธิของศาสนาพราหมณ์ฮินดูณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ มีการฉลองครบรอบ ๔๐๐ ปี หนังสือรามจริตมานัสของท่านตุลสีทาสซึ่งศาสตราจารย์สุกิจนิมมานเหมินทร์เป็นประธานกรรมการและรับหน้าที่ทำพิธีเปิดงานแทนนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย และเปิดงานในฐานะเป็นประธานเปิดงานด้วยโดยมีบัญฑิตวิทยาธรณะสุกลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงผลิตอาวุธในคณะรัฐบาลกลางของอินเดียซึ่งเป็นประธานกรรมการจัดงานฉลองครบรอบ๔๐๐ปี หนังสือรามจริตมานัสของท่านตุลสีทาสได้มาร่วมงานและประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ตึกที่ทำการสมาคมฮินดูธรรมสภาด้วย

Page 66: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

182

หลังจากที่ศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ ได้ถึงแก่อสัญกรรม ทางสมาคมได้พิจารณา และลงมติว่า อาคารตึกที่ทำการสมาคมฮินดูธรรมสภานี้จักอุทิศกุศลผลบุญให้แก่วิญญาณและเพื่อเป็นที่ระลึกแด่ ศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินทร์ จึงได้ขนานนามอาคารนี้ว่า“Dr.SukicheMemorialBhavan” ศาสนสถานที่สำคัญ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่๒ถนนปั้นแขวงสีลมเขตบางรักกรุงเทพมหานคร ราวปี พ.ศ. ๒๓๘๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีพราหมณ์ชาวภารตจากอุตตรประเทศ(อินเดียเผ่าทมิฬ)เดินทางมาสู่ประเทศไทยขึ้นบกทางจังหวัดภาคใต้และมีกลุ่มหนึ่งได้เดินทางขึ้นสู่เมืองหลวงเริ่มประกอบกิจการค้าและหาเลี้ยงชีพตามความรู้ของตน ต่อมาได้จัดสร้างวัดพระศรีมหาอุมาเทวี(วัดแขก) ขึ้น เพื่อเป็นที่เคารพบูชา ภายในเทวาลัย ประดิษฐานเทวรูปต่างๆอาทิ ๑. พระพิฆเนศวร เรียกกันโดยย่อว่าพระพิฆเนศ มีศีรษะเป็นช้าง ได้รับการยกย่องว่าเป็นจอมเทพผู้มีปัญญาเลิศ ไม่ว่าจะประกอบพิธีใด ๆ จะต้องบูชาพระพิฆเนศก่อนเพื่อขอพรและเป็นการคารวะในฐานะพระบรมครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ความสำเร็จแห่งกิจการงานทั้งปวง ๒.เจ้าแม่ศรีมหาอุมาเทวีมีกายปรากฏ๓รูปคือรูปหนึ่งเป็นผู้มีความสุขุมเมตตารูปหนึ่งเป็นผู้มีความเก่งกล้าในการรณรงค์สงคราม และปราบปรามเหล่าศัตรูได้ทั่วทิศ รูปหนึ่งเป็นผู้มีความเหี้ยมดุร้ายเมื่อยามพิโรธในยามวิกาล ๓. พระขันธกุมารชาวบ้านเรียกกันว่า“พระนกยูง”พระองค์ทรงเป็นนักรบผู้เกรียงไกรชอบแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีผู้นิยมบูชาเพื่อขอพลังแห่งจิตและความแข็งแกร่งในการปฏิบัติงาน ๔.พระกฤษณะมีพระปรีชาชาญในการเจรจาพาทีนิยมขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล ๕. หลวงพ่อพระพุทธศรีชินราชบ้างเรียกกันว่า“หลวงพ่อชินราชวัดแขก” วัดวิษณุ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อศาสนิกชนชาวอินเดียทมิฬในประเทศไทยเพิ่มจำนวนมากขึ้นและสถานที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก) ซึ่งเป็นที่ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ ไม่สามารถขยายออกตามจำนวนศาสนิกชนได้ ชาวอินเดียทมิฬจึงได้เรี่ยไรเงินจัดซื้อที่ดินเลขที่ ๕๐ ซอยวัดปรก แขวงทุ่งวัดดอนเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และได้สร้างเทพาลัยวัดวิษณุขึ้นในที่เดียวกันกับที่ตั้งสมาคมฮินดูธรรมสภาเมื่อปีพ.ศ.๒๔๖๓ภายในประดิษฐานเทวรูปต่างๆเพื่อบูชาสักการะ อาทิ พระราม พระศิวลิงค์ พระนารายณ์ พระพิฆเนศวร พระกฤษณะพระหนุมานพระคเณศ

Page 67: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

183

การบริหารงาน สมาคมฮินดูธรรมสภาจัดตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์ดังนี้ ๑. เผยแพร่และส่งเสริมศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ๒.สร้างและส่งเสริมมิตรภาพกับศาสนาอื่นๆ ๓. ร่วมมือกับกรมการศาสนาและปฏิบัติตามนโยบายและโครงการของรัฐบาลไทย สมาคมฮินดูธรรมสภามีนายกสมาคมฮินดูธรรมสภาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการบริหารงานรับผิดชอบการดำเนินงานของสมาคมมีผู้เผยแพร่ศาสนาจำนวน๑๑คนการติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ดังนี้ ที่อยู่ สมาคมฮินดูธรรมสภา เลขที่ ๕๐ ซอยวัดปรก แขวงทุ่งวัดดอน เขตยานนาวากรุงเทพฯ๑๐๑๒๐โทรศัพท์๐๒๒๒๑๓๘๔๐โทรสาร๐๒๖๓๓๘๔๕๔

Page 68: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

184

ความเป็นมาของสมาคมฮินดูสมาช ศาสนิกชนชาวปัญจาบแบ่งออกเป็นสองพวกคือซิกข์และพราหมณ์ฮินดูได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๕ และได้ใช้สถานที่ร่วมกันในการปฎิบัติศาสนกิจ ที่บ้านบริเวณหลังวังบูรพา ต่อมาเมื่อมีจำนวนคนมากขึ้นจึงแยกกัน โดยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ในวันเทศกาลวิชัยทศมี อันเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนิกชนฮินดูได้พร้อมใจกันจัดตั้งสมาคมขึ้นสมาคมหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกในสมัยนั้นว่า“ฮินดูสภา”สมาคมนี้ตั้งอยู่ณอาคารเล็กๆแห่งหนึ่งในบริเวณหลังวังบูรพา ประธานคนแรกคือ นายลาลา ชคัตราม ปาวา ต่อมาเมื่อเดือนเมษายนพ.ศ. ๒๔๙๓ ก็ได้เปลี่ยนมาเป็น “ฮินดูสมาช” และย้ายมาอยู่อาคารสามชั้น เลขที่ ๑๓๖/๑-๒ถนนศิริพงษ์เสาชิงช้าแขวงสำราญราษฎร์เขตพระนครกรุงเทพมหานครศาสนสถานที่สำคัญ เทพมณเฑียร เมื่อศาสนิกชนฮินดูในประเทศไทยได้ก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมสิ้นสุดลงแล้ว ได้มีความพยายามที่จะสร้าง “เทพมณเฑียร” โดยมีความคิดว่าสร้างให้ใหญ่โตและงดงามสมเกียรติ จึงได้เปิดบัญชีรับบริจาคเงินจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วไปมีการเรี่ยไรและรวบรวมเงินซึ่งได้รับความร่วมมือร่วมใจเป็นอย่างดีจากพี่น้องชาวอินเดียที่อยู่ในพระนครและในส่วนภูมิภาคหรือแม้ที่อยู่ในต่างประเทศก็ตาม และก่อสร้างได้แล้วเสร็จ เมื่อมีเทพมณเฑียรแล้วได้อัญเชิญพุทธปฏิมา และเทวปฏิมาที่ชาวฮินดูทั่วไปสักการะจากประเทศอินเดียมาประดิษฐานไว้ภายในเทพมณเฑียรแห่งนี้ อาทิ พระนารายณ์ และพระแม่ลักษมี พระรามและภควดีสีดา พระกฤษณะและพระนางราธาพระพุทธเจ้าอวตารปางที่๙แห่งพระวิษณุพระศิวะพระแม่ทุรคาพระพิฆเนศวรพระหนุมานพระแม่สตีหรือราณีสตีเทวี

๓. สมาคมฮินดูสมาช

Page 69: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

185

งานเทศกาล ในบรรดางานเทศกาลหรืองานนักขัตฤกษ์ของสังคมฮินดู มีอยู่สองงานซึ่งนับว่าเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างกว้างขวางที่สุดได้แก่“วิชัยทศมี”และงาน“ชนมาษฏมี”ประชาชนเฉลิมฉลอง“วิชัยทศมี”เพราะถือกันว่าเป็นวันที่พระรามรบศึกชนะทศกัณฐ์หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นวันที่ธรรมะชนะอธรรมเพราะเชื่อกันว่าพระรามเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะในทำนองเดียวกับที่เชื่อว่าทศกัณฐ์เป็นสัญลักษณ์ของอธรรม ส่วน “ชนมาษฏมี” เป็นวันเกิดของพระกฤษณะซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ประชาชนเคารพบูชากันทั่วประเทศอินเดีย งานเทศกาล หรืองานนักขัตฤกษ์ของทั้งสองวาระนี้ ศาสนิกชนฮินดููได้ ให้ความสำคัญและจัดเฉลิมฉลองอย่างครึกครื้นทุกปีการบริหารงาน นายกสมาคมฮินดูสมาชเป็นหัวหน้าคณะกรรมการบริหารสมาคม รับผิดชอบการดำเนินงานของสมาคม มีผู้เผยแพร่ศาสนา จำนวน ๙ คน คณะกรรมการบริหารได้แบ่งการบริหารงานเป็น๖หน่วย ๑. ฝ่ายเทพมณเฑียร มีหน้าที่เผยแพร่ศาสนา จัดให้มีการบูชากราบไหว้ พิธีบูชายัญอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาศึกษาหาความรู้จากเทพมณเฑียร ๒.ฝ่ายวัฒนธรรมและศิลปะ มีหน้าที่ให้ความร่วมมือในกิจการด้านวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศาสนาฮินดู จัดหานักแสดงปาฐกถา นักเผยแพร่วัฒนธรรมจากประเทศอินเดียมาแสดงในประเทศไทย จัดการแสดงละครที่มีเนื้อหาสาระทางศาสนา นาฏศิลป์ ดนตรีให้ความช่วยเหลือร่วมมือแก่นักศึกษาไทยที่ประสงค์จะเดินทางไปยังประเทศอินเดียจัดพิมพ์หนังสือหรือเอกสารเกี่ยวกับสมาคม ตลอดจนบทความที่เป็นประโยชน์แก่ความสัมพันธ์ด้านศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินเดีย ๓. ฝ่ายการศึกษาและโรงเรียนได้ตั้งโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๒มีชื่อว่าโรงเรียน“บาตรวิทยาลัย”ต่อมาเปลี่ยนเป็น“ภารตวิทยาลัย” ๔. ฝ่ายกองทุนสงเคราะห์จัดให้เงินช่วยเหลือแก่บรรดาสมาชิกของสมาคม ๕. ฝ่ายกิจกรรมของสมาคม ให้ความร่วมมือในกิจการด้านส่งเสริมภราดรภาพแก่สมาชิก ๖. ฝ่ายบรรเทาสาธารณภัยให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์สมาชิกผู้ประสบภัย

Page 70: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

186

โดยหลักใหญ่ กิจการของสมาคมฮินดูสมาชจะยึดมั่นอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และกิจกรรมที่สำคัญประการหนึ่งของสมาคมซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติกันในตอนต้น ๆคือ นัดชุมนุมกันในเวลากลางคืนของทุกวันจันทร์ นอกจากสวดมนต์ และขับร้องเพลงถวายพระเป็นเจ้าแล้วก็มีการอ่านและบรรยายความหมายของคำสอนในคัมภีร์ภควัทคีตาบางครั้งก็มีการอ่านบทความอันว่าด้วยเรื่องราวทางศาสนาหรือวัฒนธรรมนอกจากนี้หากมีอาคันตุกะผู้ทรงวิทยาคุณเดินทางจากประเทศอินเดียมาถึงทางสมาคมก็เชื้อเชิญให้มาแสดงปาฐกถาให้ที่ชุมนุมฟังพร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วย กิจการของสมาคมได้ขยายตัวขึ้นเป็นลำดับ จนต้องเพิ่มอาคารที่ทำการให้กว้างขวางออกไปอีกถึง๓คูหาซึ่งอยู่ติดๆกันและได้ตั้งโรงเรียนขึ้นเมื่อวันที่๕ธันวาคมพ.ศ.๒๔๘๒มีชื่อว่าโรงเรียนภารตวิทยาลัยสอนภาษาฮินดูและภาษาอังกฤษให้แก่เยาวชนอินเดียเป็นพิเศษในเวลากลางคืน นอกจากนี้สมาคมได้มีส่วนร่วมกับรัฐบาลและประชาชนไทยในการดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์อาทิได้จัดงานแสดงวิวัฒนาการทางศาสนาร่วมกับกรมการศาสนาเป็นต้นการติดต่อประสานงาน สามารถติดต่อได้ดังนี้ ที่อยู่สมาคมฮินดูสมาช เลขที่ ๑๓๖/๑-๒ ถนนศิริพงษ์ เสาชิงช้า แขวงสำราญราษฎร์เขตพระนครกรุงเทพฯ๑๐๒๐๐ โทรศัพท์๐๒๒๒๑๔๓๖๐ โทรสาร๐๒๒๒๑๔๓๖๐

Page 71: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

๕ ศาสนาซิกข ์

Page 72: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

188

คุรุดวารา พาหุรัด กรุงเทพมหานคร

Page 73: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

189

ความเป็นมา กลุ่มชนที่นับถือศาสนาซิกข์ ได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย และมีความใกล้ชิดกับชาวไทยมานานสมควร ศาสนิกชนที่นับถือศาสนาซิกข์ จะเรียกว่า “ชาวซิกข์” หรือ “สิกข์” ตามภาษาไทย“สิกข์” เป็นศัพท์ภาษาบาลีคือสิกขาซึ่งตรงกับคำว่า“ศึกษา”ความหมายก็คือผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์จะทำตนเป็นศิษย์ที่ดีโดยศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน และปฏิบัติตามหลักของศาสโนวาทของพระศาสดาเสมือนศิษย์ทำตามคำสั่งสอนของครู ในประเทศไทยแต่เดิมผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์จะเป็นชาวอินเดียที่มาจากแคว้นปัญจาบซึ่งเป็นรัฐหนึ่งที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียติดกับรัฐแคชเมียร์ และประเทศอัฟริกานิสถาน ปัญจาบเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศอินเดีย ภาษาที่ชาวซิกข์ใช้พูดเป็นภาษาปัญจาบีแต่ชาวไทยซิกข์รุ่นใหม่จะถนัดในการใช้ภาษาไทยมากกว่าในอดีต ชาวซิกข์คนแรกที่เดินทางมาประเทศไทยมีอาชีพเป็นพ่อค้า ค้าขายสินค้าต่าง ๆ มีนามว่านายกิรปารามมาดานเป็นพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายไปมาระหว่างประเทศในประมาณปีพ.ศ.๒๔๒๗ท่านได้เดินทางไปประเทศอัฟริกานิสถานเพื่อหาสินค้าที่พอจะนำมาขายได้ เมื่อหาสินค้าได้แล้วก็เดินทางกลับประเทศบ้านเกิด สินค้าที่ซื้อมาครั้งนั้นมีม้าพันธุ์ดีรวมอยู่ด้วยหลายตัว เมื่อจัดการขายสินค้าหมดแล้วก็เดินทางไปใหม่ คราวนี้ ได้แวะผ่านมาที่ประเทศสยามโดยได้นำม้าพันธุ์ดี เหล่านั้นมาด้วย ได้มาพำนักอาศัยอยู่ ในพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับความอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง ภายหลังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าจึงได้ทำการกราบบังคมทูลเกล้าถวายอาชาตัวโปรดนั้นแก่พระองค์ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในโอกาสที่ ได้มาอาศัยอยู่ในพระบรมโพธิสมภารด้วยความสุขร่มเย็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นในความจงรักภักดีของนายกิรปารามชาวซิกข์ผู้นี้ยิ่งนักพระองค์จึงประทานช้างให้๑เชือกตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในระหว่างเดินทางกลับเป็นการตอบแทนน้ำใจพ่อค้าชาวซิกข์เมื่อถวายอาชาแล้วแต่กลับได้รับช้างและข้าวของแพรพรรณก็รับใส่เกล้าใส่กระหม่อม กราบถวายบังคมทูลลากลับแคว้นปัญจาบประเทศอินเดียอีกวาระหนึ่งท่านกิรปารามมาดานคิดรำพึงถึงของขวัญที่ ได้รับพระราชทานมาว่า สูงเกินค่ามากยิ่ง ควรจะเก็บรักษาหรือนำไปใช้เป็นประโยชน์ให้สมพระเกียรติแห่งพระเจ้ากรุงสยาม จึงตัดสินใจนำพลายเชือกนั้นไปถวายให้แก่พระราชาแห่งแคว้นแคชเมียร์และยัมมู พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่ตนเดินทางไปค้าขายที่ประเทศสยามให้ฟังทุกประการ

ศาสนาซิกข์

Page 74: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

190

ว่าได้รับความสุขสบายจากพี่น้องประชาชนชาวสยาม มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองด้วยทศพิธราชธรรมจนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของประชาชนประชาชนได้ขนานนามพระองค์ว่าปิยมหาราชพระราชาแห่งแคว้นแคชเมียร์และยัมมูทรงพอพระทัยยิ่ง ทรงรับช้างดังกล่าวที่ ได้รับพระราชทานจากพระเจ้ากรุงสยามขึ้นระวางเป็นราชพาหนะต่อไปพร้อมทั้งมอบแก้วแหวนเงินทองให้นายกิรปาราม มาดาน เป็นรางวัล ชาวซิกข์ผู้นี้พอถวายช้างแล้ว ก็รีบเดินทางกลับบ้านเกิดณแคว้นปัญจาบอีกครั้งแต่คราวนี้ท่านรวบรวมเงินทองพร้อมทั้งชักชวนเพื่อนพ้องให้ไปตั้งหลักฐานอาศัยอยู่ในพระบรมโพธิสมภารตลอดไป ไม่ช้าไม่นานผู้คนชาวซิกข์ที่ท่านชวนมาก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ หลังจากที่ชาวซิกข์ได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพเป็นจำนวนมากขึ้น จึงนำไปสู่การมีศาสนสถานแห่งแรกของชาวซิกข์ในกรุงเทพ โดยตั้งอยู่บริเวณถนนบ้านหม้อ เหตุที่ชาวซิกข์ต้องมีศาสนสถานขึ้นเพื่อประกอบกิจกรรมทางศาสนานั้น เนื่องจากว่าในสังคมของชาวซิกข์ คำสอนทางศาสนามุ่งเน้นถึงความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือกันภายในชุมชน นอกจากนั้นในศาสนวินัยของซิกข์ยังระบุว่าในที่ใดซึ่งมีชาวซิกข์มากกว่าสองครอบครัวมาอยู่ร่วมกัน ที่นั้นควรมีสถานที่เพื่อประกอบกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน แต่ศาสนสถานของชาวซิกข์ไม่มีความจำเป็นต้องก่อสร้างในรูปลักษณะที่เป็นศาสนสถานถาวร ถ้ายังไม่มีปัจจัยที่จะก่อสร้าง ชาวซิกข์สามารถใช้สถานที่ใดๆก็ได้เป็นศาสนสถาน แต่บริเวณนั้นต้องสะอาดและมีที่ประดิษฐานพระมหาคัมภีร์ศรีคุรุครันถ์ซาฮิบที่สมพระเกียรติ ซึ่งเป็นพระศาสดานิรันดร์กาลของซิกข์ โดยที่ประดิษฐานพระมหาคัมภีร์จะสร้างเป็นบัลลังก์หรือยกพื้นสูงกว่าบริเวณที่นั่งชุมนุมเจริญธรรมโดยรอบเหนือแท่นต้องมีผ้าคล้ายฉัตรดาดอยู่เบื้องบน บริเวณใดที่มีพระมหาคัมภีร์ศรีคุรุครันถ์ซาฮิบทรงประทับอยู่บริเวณนั้นถือได้ว่าเป็นศาสนสถานของชาวซิกข์ มีหลักฐานปรากฏจากเรื่องราวที่ ได้มีการทำบันทึกถึงศาสนสถานแห่งแรกไว้ว่า เมื่อชาวซิกข์เข้ามาอยู่มากขึ้นศาสนสถานแห่งแรกจึงถูกกำหนดขึ้นกล่าวคือศาสนิกชนชาวซิกข์ได้เช่าบ้านเรือนไม้๑คูหาที่บริเวณบ้านหม้อในปีพ.ศ.๒๔๕๕โดยขอเช่าจากเจ้าของบ้านด้วยค่าเช่าเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ตกแต่งให้เหมาะสม และสามารถดำเนินศาสนกิจได้ในไม่ช้า แต่เนื่องจากยังไม่มีความสะดวกในการประกอบศาสนกิจอย่างเต็มที่ทุกวันตามที่ต้องการศาสนิกชนจึงประกอบศาสนกิจกันเองอาทิตย์ละ๑ครั้ง ต่อมาเมื่อสังคมซิกข์เติบโตขึ้น ศาสนิกชนก็ได้ย้ายจากที่เดิมมาเช่าบ้านหลังใหญ่กว่าเดิมและทำสัญญาเช่าระยะยาวกว่าเดิม ณ หัวมุมถนนพาหุรัดและถนนจักรเพชรปัจจุบัน หลังจากตกแต่งแก้ไขจนสามารถประกอบศาสนกิจได้แล้ว ก็พร้อมใจกันอัญเชิญพระมหาคัมภีร์ศรีคุรุครันถ์ซาฮิบมาประดิษฐานและเจริญธรรมศาสนกิจเป็นประจำทุกวันไม่มีวันหยุด นับตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๕๖เป็นต้นมาเป็นเวลาหลายปี

Page 75: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

191

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ชาวซิกข์ ได้รวบรวมเงินเพื่อซื้อที่ดินผืนหนึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยเงินจำนวน๑๖,๒๐๐บาทและออกแบบแปลนก่อสร้างเป็นตึกสามชั้นครึ่งด้วยจำนวนเงินอีกประมาณ๒๕,๐๐๐บาทเป็นศาสนสถานถาวรใช้ชื่อว่า“ศาสนสถานสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา” ต่อมาได้เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา ทางพันธมิตรได้พยายามทิ้งระเบิดเพื่อทำลายโรงไฟฟ้าวัดเลียบ และบางส่วนของสะพานพุทธยอดฟ้า เนื่องจากศาสนสถานคุรุดวาราแห่งนี้อยู่ใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าในสมัยนั้น ทำให้กองทัพอากาศของพันธมิตรทิ้งระเบิดขนาด๑,๐๐๐ ปอนด์พลาดมาตกกลางตัวตึกถึง ๒ ลูก ด้วยน้ำหนักของลูกระเบิดเจาะเพดานดาดฟ้าลงมาถึงชั้นล่าง ๒ ชั้น ด้วยพระบารมีขององค์พระศาสดาศรีคุรุครันถ์ซาฮิบที่ทรงประทับเป็นศูนย์จิตใจของชาวซิกข์ที่มาหลบซ่อนอยู่ในตัวอาคารศาสนสถานนับพันคนขณะนั้น ปรากฏว่าระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลนั้น เป็นระเบิดด้านทั้งสองลูก ท่ามกลางความประหลาดใจของศาสนิกชน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางทหารได้มากู้ระเบิดกลับไป แต่แรงสั่นสะเทือนของลูกระเบิดจำนวนหนึ่งที่ทำลายบ้านเรือนราษฎรในบริเวณหลังโรงไฟฟ้าวัดเลียบ ทำให้ตัวตึกร้าวเสียหายไปบางส่วน ไม่สามารถประกอบศาสนกิจเจริญธรรมได้ จึงได้หยุดการประกอบศาสนกิจชั่วคราว แล้วย้ายไปสร้างเป็นโรงเรือนไม้หลังคาสังกะสีเป็นการชั่วคราว ณ บริเวณโรงเรียนซิกข์วิทยาลัย ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้ก่อสร้างแต่อย่างใด หลังจากได้ปฏิสังขรณ์มาระยะเวลาหนึ่งศาสนสถานคุรุดวาราก็คืนสภาพดีดังเดิม และศาสนิกชนใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจมาจวบจนปีพ.ศ.๒๕๒๔

Page 76: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

192

การตั้งหลักแหล่งของชาวซิกข์มักจะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันเป็นกลุ่ม ดังจะเห็นได้จากการรวมกลุ่มกันบริเวณบ้านหม้อในระยะแรก และต่อมาเมื่อมีการสร้างคุรุดวาราในบริเวณถนนพาหุรัดและถนนจักรเพชร ทำให้ชุมชนซิกข์เคลื่อนย้ายมาอยู่รอบบริเวณคุรุดวารามากขึ้นแทน ต่อมาเมื่อสมาชิกของชุมชนชาวซิกข์เพิ่มขึ้นมากมาย จนสถานที่ในศาสนสถานเก่าไม่สามารถรองรับเหล่าศาสนิกชนได้ ทางสมาคมศรีคุรุสิงห์สภาจึงได้มีมติให้ดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานใหม่บนพื้นที่เดิมที่มีขนาดประมาณ ๓๖๐ ตารางวา และย้ายโรงเรียนซิกข์วิทยาลัยซึ่งเดิมอยู่ในบริเวณเดียวกันตรงข้ามกับคุรุดวาราไปที่สำโรงเหนือจังหวัดสมุทรปราการแล้วลงมือสร้างโรงเรียนแห่งใหม่บนพื้นที่ ๗ ไร่ ๒ งาน มีจำนวนห้องเรียน ๔๐ ห้อง ในปีพ.ศ. ๒๕๒๔ ปัจจุบันมีนักเรียนเข้าเรียนประมาณ ๗๐๐ คน เป็นลูกหลานชาวทหารเรือและประชาชนในบริเวณใกล้เคียงนั้น มีการมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีแต่ไร้ทุนทรัพย์ทุกปีการศึกษาจำนวนมากได้รับเกียรติเป็นโรงเรียนดีเด่นประจำจังหวัดสมุทรปราการหลายปี ในช่วงเวลาห้าสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ชาวซิกข์และศาสนสถานคุรุดวาราแห่งนี้ ได้รับเกียรติและมีโอกาสได้ต้อนรับบุคคลสำคัญทั้งจากต่างประเทศและในประเทศมากมาย อีกทั้งได้ร่วมในการจัดงานเฉลิมฉลองต่างๆ งานที่สมควรจะนำมากล่าวคืองานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระปฐมบรมศาสดาศรีคุรุนานักเดวครบ๕๐๐ปีซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่๑๘พฤศจิกายนพ.ศ.๒๕๑๒ณโรงละครแห่งชาติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานในพิธี รวมทั้งตัวแทนองค์การศาสนาต่างๆทุกศาสนาในประเทศไทยได้ให้เกียรติมาร่วมในงานฉลองครั้งนี้

Page 77: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

193

กรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, คณะ. การปฏิรูป

การศึกษาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในโอกาส

ที่วันพระราชสมภพครบ ๑๕๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๖ ; กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว,

๒๕๔๗.

การศาสนา, กรม. กฐินพระราชทาน กรมการศาสนา พุทธศักราช ๒๕๑๖, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา,

๒๕๑๖.

การศาสนา, กรม. กฐินพระราชทาน กรมการศาสนา พุทธศักราช ๒๕๑๘, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา,

๒๕๑๘.

การศาสนา, กรม. ใบลาน ฉบับพิเศษ ครบรอบ ๖๐ ปี กรมการศาสนา, กรุงเทพฯ : โรงพิพม์การศาสนา,

๒๕๔๔.

การศาสนา, กรม. ประวัติพระพุทธศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ภาค ๒, โรงพิมพ์การศาสนา,

พ.ศ. ๒๕๒๕.

การศาสนา, กรม. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับงานพระพุทธศาสนา, กรมการศาสนา

กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.), ๒๕๔๘.

.วันศาสนูปถัมภ์ ครั้งที่ ๓๗, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๔.

.ศาสนาอิสลามในประเทศไทย, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๔๕.

.เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับองค์การศาสนาต่าง ๆ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา.

ข่าวกรองแห่งชาติ, สำนัก. ทศพิธราชธรรม, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ๒๕๕๐.

คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สำนักงาน. ๙ แผ่นดินของการปฏิรูประบบราชการ, กรุงเทพฯ :

บริษัท วิชั่น แอนด์ มีเดีย จำกัด, ๒๕๕๐.

จดหมายเหตุรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ

หม่อมเจ้าชัชวลิต เกษมสันต์, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๗.

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ใต้ร่มพระบารมีพระบรมธรรมิกมหาราชา เฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมหามงคล

ฉลองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐.

ที่ระลึกพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓, กรุงเทพฯ :

สำนักพิมพ์ร่มธรรม, ๒๕๕๐.

ธำรงศักดิ์ อายุวัฒนะ, นาย. ประวัติกรมการศาสนา และการพระศาสนาในประเทศไทย ที่ระลึกในงาน

พระกฐินพระราชทาน, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๑๖.

ประชุมประกาศตราประจำตำแหน่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพฯ :

โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๖.

ปัญญา ปญฺญาวุฑฺโฒ, พระมหา, ผศ. พระอัจฉริยภาพ รัชกาลที่ ๔ ที่ระลึกในวโรกาส แห่งวันราชสมภพ

ครบ ๒๐๐ ปี, กรุงเทพฯ : หจก.จงเจริญการพิมพ์, ๒๕๔๗.

พระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระปิยมหาราชที่ทรงมีต่อกองทัพเรือ, กรุงเทพฯ : กองโรงพิมพ์

กรมสารบรรณทหารเรือ, ๒๕๔๗.

บรรณานุกรม

Page 78: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร

194

พระธรรมทูตไปต่างประเทศ รุ่นที่ ๑๔, สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ (ธ) มหาวิทยาลัย

มหามกุฎราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร, หจก. ยูไนเต็ด โปรดักชั่น เพรส จก. : สมุทรสาคร

๒๕๕๐.

พระราชกรณียกิจ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ในการทรงอุปถัมภ์ศาสนาคริสต์

ในประเทศไทย จัดพิมพ์ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์

การศาสนา,๒๕๒๙.

มานพ รักการเรียน, ผศ. พระอัจฉริยภาพ รัชกาลที่ ๔ ที่ระลึกในวโรกาสแห่งวันพระราชสมภพ ครบ ๒๐๐ ปี,

กรุงเทพฯ : หจก. จงเจริญการพิมพ์, ๒๕๔๗.

รวมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔, กรุงเทพฯ :

องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๘.

วุฒิชัย มูลศิลป์ และคณะ, พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์, อัลฟ่า มิเล็นเนียม.

วัฒนธรรม, กระทรวง. พระอัจริยภาพด้านอักษรศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ ไทย, กรุงเทพฯ : ๒๕๕๑.

ศิลปากร, กรม. จดหมายเหตุงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาส

ที่วันพระบรมราชสมภพครบ ๑๕๐ ปี, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๗.

ศิลปากร, กรม. นามานุกรมขนบประเพณีไทย หมวดประเพณีราษฎร์ เล่ม ๒, กรุงเทพฯ : บริษัท แอดวานซ์

วิชั่น เซอร์วิส จำกัด, ๒๕๕๐.

ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศโฆษาธิบดี,

กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๔๘.

ศิลปากร, กรม. บรรณานุกรมและสาระสังเขปพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,

กรุงเทพฯ : บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๔๘.

ศิลปากร, กรม. สมเด็จพระปิยมหาราช พระผู้พระราชทานกำเนิดพิพิธภัณฑสถานเพื่อประชา, กรุงเทพฯ :

บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ จำกัด (๑๙๗๗), ๒๕๔๗.

ศิลปากร, กรม. ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับจารึกพ่อขุนรามคำแหง, กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗)

จำกัด, ๒๕๔๗

หนังสือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น แปลและบทสวดมนต์พิเศษ วัดอินทารามวรวิหาร, พิมพ์ครั้งที่ ๔ ฉบับพิเศษ

(คู่มือส่งเสริมเพื่อการปฏิบัติธรรม ถวายเป็นพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ

๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๖).

อนุกรรมการเฉพาะกิจจัดทำหนังสือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในคณะกรรมการ

เอกลักษณ์ของชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, คณะ. พลังแห่งแผ่นดิน นวมินทรมหาราชา,

กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๔๘.

อนุสรณ์ ๓๐ ปี สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย.

๙๒ ปี กระทรวงศึกษาธิการ ๑ เมษายน ๒๕๒๗, หนังสือที่ระลึก.

Page 79: ภาคที่ ๓...ภาคท ๓ ๑ พระพ ทธศาสนา ๑ พระพ ทธศาสนา 120 พระพ ทธมหามณ ร ตนปฏ มากร