Upload
others
View
9
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
1สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
บทคัดย่อ ตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่สำคัญ ได้แก่ 1) รายได้ประชาชาติ
ที่แท้จริง คือผลรวมของมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นได้ภายในประเทศ
ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยใช้ราคาปีฐานเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ2)อัตราการเจริญเติบโต
อย่างแท้จริงทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเกิดจากประเทศนั้น ๆ มีการเพิ่มประสิทธิภาพของปัจจัยการ
ผลิต รวมไปถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 3) รายได้ประชาชาติต่อหนึ่งหน่วยประชากร
แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการครองชีพของตัวแทนประชากรในประเทศต่าง ๆ 4) มูลค่าส่งออก
เป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการค้าระหว่างประเทศ5)ดัชนีการพัฒนามนุษย์แสดง
ถึงความสนใจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของรัฐบาล6) ผลสัมฤทธิ์ทางเทคโนโลยี เป็นการ
แสดงออกถึงศักยภาพในการผลิตสินค้าและบริการ 7) หนี้สาธารณะ เป็นการพิจารณาหนี้
ภายในประเทศ และต่างประเทศที่รัฐบาลสร้างขึ้น ซึ่งเป็นการพิจารณานโยบายของภาครัฐ
ตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ Indicators of competitiveness of the country
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประภัสสร คำสวัสดิ์* Asst.Prof. Praphatsorn Cumsawat
*ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยศรีปทุมวิทยาเขตชลบุรี
2 สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
8)หนี้ต่างประเทศหมายถึงภาระการชำระคืนหนี้ต่างประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง9)การกระจาย
รายได้ของครัวเรือน เพื่อพิจารณาความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ของภาคครัวเรือน พิจารณา
จากสัมประสิทธิ์จีนีซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้10)เส้นความยากจน
คือเครื่องมือในการกำหนดเกณฑ์ความต้องการขั้นพื้นฐานขั้นต่ำของบุคคล 11) ดัชนีบิ๊กแม็ค
เป็นการเปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อของสินค้าพื้นฐานในแต่ละประเทศ
ประเทศไทยถูกจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันที่36จากทั้งหมด133ประเทศ
สาเหตุที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันต่ำลง ได้แก่ ปัญหาความมั่นคงของรัฐบาล ปัญหา
ความไม่มั่นคงในนโยบาย ความไม่มีประสิทธิภาพต่อระบบบริหารงานราชการ การคอร์รัปชั่น
และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
คำสำคัญ:การแข่งขัน,เศรษฐกิจ
ABSTRACT
Indicatorsofcompetitivenessofthecountryare1.Realgrossdomesticproduct(Real
GDP)orthesumofvalueoffinalgoodsandservicesproducedwithinacountry inany
periodoftimeusingbaseyearasthebasisforpricecalculations.2.Rateofrealeconomic
growthcausedbythatcountrywithenhancementfactorsofproductionincludingtechnological
progress. 3. National income per unit of population or GDP per capita demonstrating the
standardoflivingoftherepresentativepopulationinvariouscountries.4.Theexportearningis
a number indicating the ability of trade. 5. Human development index (HDI) indicating an
interest in human resource development of the government. 6. Technological achievement
displayingthepotentialproductiongoodsandservices.7.Publicdebt,referringtodomesticand
foreign debt government created which is the policy of the government. 8. Foreign debt,
referring to theburdenof repaymentof foreigndebtover time.9.Distributionofhousehold
incomebasedonGINIindextotheinequalityofhouseholdincome.10.Povertylinedetermining
thethresholdofminimumbasicneedsofindividuals.11.BigMacindexcomparinginflation
ratesofbasicgoodsineachcountry.
Thailand ranked36of 133countries incomptitiveness.Thedecline in thedegreeof
competitivenesswasduetoinsecurityproblemsofgovernmentandpoliciesandinefficientpublic
administrationsystem,corruption,andaccesstofinancialcapital.
Keywords:competitiveness.economy.
3สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ความนำ บนเวทีเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการแข่งขัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงขีดความ
สามารถและผลประกอบการในประเทศต่อการสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การ
ประกอบกิจการประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงย่อมมีระดับความสามารถในการ
ผลิต (productivity) ที่สูง ทำให้สามารถรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่าง
ยั่งยืน หน่วยงานที่มีหน้าที่ประเมินขีดความสามารถการแข่งขัน และจัดอันดับความสามารถใน
การแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ได้แก่ เวิลด์อีโคนอมิคฟอรัม (World Economic Forum –
WEF)ซึ่งเป็นผู้เสนอรายงานนี้ตั้งแต่ปี1979
สำหรับการจัดอันดับในปี 2009-2010 มีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการจัดอันดับ 133
ประเทศโดยมีประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันมากที่สุด10อันดับแรกดังต่อไปนี้
อันดับที่1สวิตเซอร์แลนด์ 5.60(คะแนนเต็ม7)
อันดับที่2สหรัฐอเมริกา 5.59
อันดับที่3สิงคโปร์ 5.55
อันดับที่4สวีเดน 5.51
อันดับที่5เดนมาร์ก 5.46
อันดับที่6ฟินแลนด์ 5.43
อันดับที่7เยอรมัน 5.37
อันดับที่8ญี่ปุ่น 5.37
อันดับที่9แคนาดา 5.33
และอันดับที่10เนเธอร์แลนด์ 5.32
โดยที่ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่36(foodindustrythailand.com,2011,p.1)
ตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญได้แก่(nationmaster.com,2011,p.1)
1. รายได้ประชาชาติที่แท้จริง (real GDP)รายได้ประชาชาติเป็นตัวเลขที่ใช้วัดกิจกรรม
ทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะเวลา 1 ปี โดยมีที่มาจาก 3 แหล่ง (หรือ 3 ความหมาย)
ด้วยกันคือ (วันรักษ์ มิ่งมณีนาคิน และคณะ, 2536, หน้า 145) 1) รายได้ประชาชาติ
หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการที่ระบบเศรษฐกิจผลิตขึ้นมาในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
เรียกว่าเป็นการคำนวณรายได้ประชาชาติทางด้านผลผลิตมวลรวมซึ่งจะคำนวณมาจากสาขาการ
ผลิต 11สาขาที่สำคัญ ได้แก่ สาขาเกษตรสาขาเหมืองแร่ สาขาอุตสาหกรรมสาขาก่อสร้าง
สาขาไฟฟ้าและประปา สาขาการคมนาคมและการขนส่ง สาขาการค้าส่งและค้าปลีก สาขาการ
ธนาคารประกันภัยและอสังหาริมทรัพย์สาขาที่อยู่อาศัยสาขาการบริหารราชการและป้องกัน
ประเทศและสุดท้ายสาขาการบริการ2)หมายถึงผลรวมของรายได้ประเภทต่างๆที่บุคคล
4 สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจได้รับในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่งในฐานะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต
ที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการนำเอาผลตอบแทนจากการใช้
ปัจจัยการผลิต อันได้แก่ ค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไร ของคนทั้งประเทศ ในระยะเวลา
1 ปีมารวมกัน เรียกว่าเป็นการคำนวณหารายได้ประชาชาติทางด้านรายได้มวลรวม และ 3)
รายได้ประชาชาติ หมายถึง ผลรวมของค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่บุคคลต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจได้
จ่ายไปในการซื้อสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในรอบระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ถือว่าเป็นการคำนวณ
หารายได้ประชาชาติด้านรายจ่ายมวลรวมโดยแท้จริงแล้วคำว่ารายได้ประชาชาติมีอยู่ด้วยกัน
6ชนิดแต่ที่มักจะคุ้นเคยกันได้แก่ตัวดัชนีที่เรียกว่าGDP
คำว่า GDP หรือ Gross Domestic Product ภาษาไทยใช้คำว่า ผลิตภัณฑ์ภายใน
ประเทศเบื้องต้น ซึ่งหมายถึง มูลค่ารวมของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่คิดในราคาตลาดโดย
เฉพาะที่ผลิตขึ้นภายในประเทศภายในรอบระยะเวลา1ปีก่อนหักค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน
อันเนื่องมาจากการผลิตสินค้าและบริการขึ้นมา
คำถามที่ตามมา คือ การคำนวณหาค่าของ GDP ซึ่งคำนวณจากสินค้าและบริการ
ทั้งหมดที่ระบบเศรษฐกิจหนึ่ง(หรืออาจกล่าวได้ว่าประเทศหนึ่ง)ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามผลิต
ขึ้นมาได้ในรอบระยะเวลา1ปีใช่หรือไม่
คำตอบที่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่สินค้าและบริการทุกชนิดที่ถูกผลิตขึ้นจะถูกนำมานับเป็น
ตัวเลขรายได้ประชาชาติในปีนั้น เพียงแต่สินค้าและบริการที่จะนำมาคำนวณรายได้ประชาชาติ
นั้น จะนับจากสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย หรือที่ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Final Product ซึ่ง
หมายถึง สินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นมาแล้วถูกนำไปใช้ในการบริโภค ไม่ใช่สินค้าที่ถูกนำไปใช้
เป็นปัจจัยการผลิตของหน่วยผลิตอื่น ๆ อีกในช่วงที่พิจารณา ในที่นี้สินค้าขั้นสุดท้ายจะนับรวม
ไปถึงยอดของสินค้าคงเหลือด้วย แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้ว คำนวณหาได้ยาก โดยเฉพาะ
ประเทศด้อยพัฒนา เพราะไม่อาจจำแนกได้อย่างชัดเจนว่าสินค้าใดเป็นผลิตผลขั้นสุดท้ายที่
ผู้บริโภคซื้อไปแล้วนำไปอุปโภคโดยตรง หรือเป็นสินค้าที่เป็นผลิตผลซึ่งอยู่ในระหว่างการผลิต
เป็นสินค้าที่จะนำไปผลิตหรือขายต่อ ดังนั้นการเก็บตัวเลขรายได้ประชาชาติเฉพาะในส่วนของ
สินค้าขั้นสุดท้ายจึงทำได้ยาก และจะเกิดปัญหาที่เรียกว่าการนับซ้ำ จะทำให้ยอดตัวเลขรายได้
ประชาชาติสูงเกินกว่าความเป็นจริง ในทางปฏิบัติแล้ว การคำนวณหาตัวเลขรายได้ประชาชาติ
จะคำนวณจากผลผลิตเพิ่ม หรือมูลค่าเพิ่ม (value added) ที่เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการผลิต
ในแต่ละขั้นตอนโดยการหาผลรวมของมูลค่าที่เพิ่มจากการผลิตในแต่ละขั้นเพื่อขจัดปัญหาการ
นับซ้ำในผลผลิตที่ต้องผ่านการผลิตหลายขั้นตอน พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้เพื่อทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับการหาค่าGDPสมมติว่าในระบบเศรษฐกิจมีหน่วยผลิตอยู่4แบบได้แก่ธุรกิจผลิต
เหล็กธุรกิจผลิตสินค้าทุน(เครื่องจักร)ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ธุรกิจผลิตยางรถยนต์
5สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
และธุรกิจผลิตรถยนต์ แล้วขายให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย หรือภาคครัวเรือน พิจารณาจาก
ตารางที่1การคำนวณหาค่าGDPในระบบเศรษฐกิจดังตารางที่1
ตารางที่1การคำนวณหาค่าGDP
สมมติว่าธุรกิจเหล็กผลิตเหล็กมูลค่า320,000บาทส่วนหนึ่ง(80,000บาท)แบ่งขาย
ให้กับธุรกิจผลิตเครื่องจักรและอีกสามส่วน (240,000 บาท) ขายให้กับธุรกิจผลิตรถยนต์
ถ้าธุรกิจเหล็กนำเหล็กมาจากเหมืองแร่ของตนเอง (คือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตด้วย) ดังนั้น
เงินจำนวนทั้งสิ้น 320,000 บาท จะเป็นมูลค่าเพิ่มหรือผลผลิตสุทธิของธุรกิจเหล็ก รายรับ
จำนวนดังกล่าวจะถูกจ่ายออกไปเป็นค่าจ้างและค่าเช่า หรือเป็นกำไรที่เหลือที่เกิดขึ้นของภาค
ครัวเรือนดังนั้นในสองแถวบนของช่องที่(7)จะมีค่าเท่ากับ320,000บาทหน่วยธุรกิจจะจ่าย
เงินจำนวน 320,000 บาท เพื่อซื้อเหล็ก แต่เหล็กมิใช่การใช้จ่ายสำหรับสินค้าขั้นสุดท้าย
แต่เหล็กถือว่าเป็นสินค้าขั้นกลางซึ่งจะนำมาใช้ในขั้นต่อไปของกระบวนการผลิต
ธุรกิจผลิตเครื่องจักรจ่ายเงิน80,000บาทเป็นค่าเหล็ก(วัตถุดิบในการผลิต)และขาย
เครื่องจักรให้กับธุรกิจผลิตรถยนต์ในราคา 160,000 บาท มูลค่าเพิ่มของเครื่องจักรจะเท่ากับ
160,000บาทหักออกด้วย80,000บาทเป็นค่าสินค้าขั้นกลางในการผลิต(ซึ่งก็คือค่าเหล็ก)
(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7)
สินค้า ผู้ขาย ผู้ซื้อ ราคาสินค้า มูลค่าเพิ่ม สินค้าขั้นสุดท้ายรายไดจ้ากการ
(หน่วย:บาท) ใช้ปัจจัยการผลิต
เหล็ก ธุรกิจเหล็ก ธุรกิจผลิต 80,000 80,000 - 80,000
เครื่องจักร
เหล็ก ธุรกิจเหล็ก ธรุกจิรถยนต์240,000 240,000 - 240,000
เครื่อง ธุรกิจผลิต ธรุกจิรถยนต์ 160,000 80,000 160,000 80,000
จักร เครื่องจักร
ยาง ธุรกิจผลิต ธรุกจิรถยนต์40,00040,000 - 40,000
รถยนต์ ยางรถยนต์
รถยนต์ ธุรกิจรถยนต์ ภาคครวัเรอืน 400,000120,000400,000 120,000
มูลค่าการค้ารวม 920,000
GDP 560,000 560,000 560,000
6 สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
รายได้สุทธิจะเท่ากับ80,000บาทซึ่งเป็นรายได้(ทางตรง)หรือกำไร(ทางอ้อม)ของภาค
ครัวเรือน
ในขณะที่ธุรกิจผลิตรถยนต์ได้นำเครื่องจักรมาใช้เป็นสินค้าขั้นสุดท้ายในลักษณะของ
สินค้าทุนของตน มูลค่า 160,000 บาท ดังแสดงไว้ในช่องที่ (6) เช่นเดียวกับธุรกิจเหล็ก
ธุรกิจผลิตยางรถยนต์ ผลิตสินค้าขั้นกลางคือยางรถยนต์ สมมติว่าในกรณีนี้ ธุรกิจผลิตยาง
รถยนต์ใช้วัตถุดิบของตนเองในการผลิต มูลค่าของสินค้า 40,000 บาท จะถือเป็นมูลค่าเพิ่ม
และเปลี่ยนเป็นรายได้ของภาคครัวเรือน (แต่ถ้าธุรกิจผลิตยางรถยนต์ต้องซื้อวัตถุดิบ (ยาง
พารา) มาจากบริษัทที่ผลิตยางในประเทศจะต้องมีการหักมูลค่าของยางที่เป็นวัตถุดิบที่ซื้อมา
ออกจากมูลค่าของยางรถยนต์ที่ผลิตได้ เพื่อให้ได้มูลค่าเพิ่มของสินค้า และต้องมีการเพิ่มเนื้อที่
แถวในตารางขึ้นให้กับกิจกรรมธุรกิจผลิตยางพาราในการคำนวณด้วย)
ในส่วนสุดท้ายธุรกิจผลิตรถยนต์จ่ายเงิน80,000บาทเป็นค่าเหล็กและ40,000บาท
เป็นค่ายางรถยนต์ ทั้งสองส่วนถือเป็นสินค้าขั้นกลางที่เป็นส่วนประกอบในการผลิตรถยนต์
ธุรกิจผลิตรถยนต์ขายรถยนต์ราคา 400,000 บาท ดังนั้นในการคำนวณจะต้องหัก 280,000
บาท (ค่าเหล็ก และค่ายางรถยนต์) ออกจากมูลค่าของรถยนต์จำนวน 400,000 บาท เป็น
มูลค่าเพิ่มของการผลิตรถยนต์และเป็นรายได้สุทธิที่จ่ายให้กับภาคครัวเรือนสำหรับการใช้ปัจจัย
การผลิต หรือในรูปของกำไร ท้ายที่สุด มูลค่าของรถยนต์ที่เท่ากับ 400,000 บาท จะเป็น
มูลค่าของสินค้าขั้นสุดท้ายที่ส่งมอบแก่ภาคครัวเรือน (และถือเป็นมูลค่าของการใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ของภาคครัวเรือนเช่นเดียวกัน)
ในตารางที่ 1 ในวงเล็บ(4)แสดงให้เห็นมูลค่าเบื้องต้น(thegrossvalue)ของสินค้า
ทั้งหมดเท่ากับ 920,000 บาท ซึ่งจะเห็นว่าเป็นมูลค่าที่สูงเกินจริง เมื่อพิจารณาว่าในระบบ
มีสินค้าขั้นสุดท้ายเพียงสองชนิดคือรถยนต์และเครื่องจักรที่เป็นสินค้าทุนของธุรกิจผลิตรถยนต์
จะเห็นว่ามูลค่า 240,000 บาท ที่ธุรกิจเหล็กได้รับจากการขายเหล็กให้กับธุรกิจผลิตรถยนต์
ได้ถูกรวมไว้แล้วในมูลค่าของรถยนต์การนับ240,000บาทเข้าไปด้วยจึงถือว่าเป็นการนับซ้ำ
ในวงเล็บที่ (5) แสดงให้เห็นถึงมูลค่าเพิ่มของแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต 560,000
บาท จึงเป็นมูลค่าของผลผลิตที่แท้จริงในระบบเศรษฐกิจโดยแต่ละหน่วยธุรกิจจะจ่ายผล
ตอบแทน (หรือรายได้สุทธิ) ให้กับภาคครัวเรือน ทั้งทางตรงโดยการนำปัจจัยการผลิตมาใช้
หรือทางอ้อมผ่านทางกำไรภาคครัวเรือนจึงได้รับรายได้รวมเท่ากับ560,000บาทในวงเล็บที่
(7) จะเห็นว่าถ้าเรารวมผลตอบแทนจากการใช้ปัจจัยการผลิตและกำไรให้กับภาคครัวเรือนแล้ว
ค่าที่ได้ก็จะเท่ากับ GDP เช่นกัน ดังที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นว่า ผลลัพธ์ของ GDP จะเท่ากันไม่ว่า
จะหาในกรณีของมูลค่าเพิ่มหรือหาจากสินค้าขั้นสุดท้าย ในกรณีนี้ภาคครัวเรือนจะซื้อรถยนต์
และธุรกิจผลิตรถยนต์ทำการซื้อเครื่องจักรเพื่อที่จะนำมาผลิตรถยนต์
7สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในแง่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว อาจกล่าวได้ว่า
กิจกรรมใดก็ตามที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว กิจกรรมนั้นได้ก่อให้เกิดผลผลิตใหม่ขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
กิจกรรมนั้นจะถูกนับรวมอยู่ในบัญชีรายได้ประชาชาติแต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจใดก็ตามถึงแม้
จะมีมูลค่าเป็นจำนวนเงินมหาศาล แต่ถ้ากิจกรรมนั้นมิได้ก่อให้เกิดผลผลิตใหม่ขึ้นในระบบ
เศรษฐกิจ เราจะไม่นำตัวเลขเหล่านั้นมาพิจารณาในบัญชีรายได้ประชาชาติ ยกตัวอย่างเช่น
(กฤติยาตติรังสรรค์สุข, 2545,หน้า 146-148)การซื้อขายหุ้นออกใหม่ กิจกรรมนี้จะไม่ถูก
นับรวมอยู่ในบัญชีรายได้ประชาชาติ เพียงเพราะเป็นการโอนเงินจากผู้ซื้อหุ้นออกใหม่ไปยัง
บริษัทที่นำหุ้นออกขายยังไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดผลผลิตขึ้นมา(แต่ถ้าบริษัทที่ออกหุ้นใหม่นำเงิน
ที่ขายหุ้นได้ไปลงทุนซื้อเครื่องมือเครื่องจักรเครื่องใช้สำนักงานตัวเลขจะถูกนับรวมอยู่ในบัญชี
รายได้ประชาชาติด้านรายจ่าย) หรือแม้กระทั่งการถูกลอตเตอรี่รางวัลใดก็ตาม เราถือเป็น
ค่าใช้จ่ายเงินโอนซึ่งผู้รับเงินได้รับเปล่าๆโดยไม่ได้ให้ผลผลิตสินค้าและบริการตอบแทนจึงไม่นับ
รวมอยู่ในบัญชีรายได้ประชาชาติ
นอกจากที่จะพิจารณาถึงผลผลิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะต้องเกิดขึ้นจริงแล้ว การ
เคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ก็มีผลต่อการแสดง
ศักยภาพที่แท้จริงในการผลิตสินค้าและบริการด้วยเช่นเดียวกัน พิจารณาตารางที่ 2 รายได้
ประชาชาติที่เป็นตัวเงินต่อไปนี้(กฤตยาตติรังสรรค์สุข,2545,หน้า39-40)
ตารางที่2รายได้ประชาชาติที่เป็นตัวเงิน
สมมติให้การผลิตสินค้าชนิดหนึ่งของประเทศหนึ่ง ในแต่ละปีผลิตได้ ปีที่ 1 จำนวน 20
หน่วยปีที่2จำนวน20หน่วยส่วนในปีที่3ประเทศนี้ผลิตได้30หน่วยขณะที่ราคาสินค้า
ในปีที่1,2และ3เป็น10,12และ15หน่วยตามลำดับรายได้ประชาชาติจะเกิดขึ้นจาก
ผลคูณของราคาสินค้าและปริมาณสินค้าที่ผลิตในปีเดียวกัน เรียกรายได้ประชาชาติที่คิดจาก
ราคาสินค้าณเวลานั้นๆว่ารายได้ประชาชาติที่เป็นตัวเงิน(moneyGDP)ซึ่งจะได้เท่ากับ
200,240และ450หน่วยตามลำดับ
ปี ราคาสินค้า ปริมาณสินค้า รายได้ที่เป็นตัวเงิน
(P) (Q) MoneyGDP(PxQ)
1 10 20 200
2 12 20 240
3 15 30 450
8 สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ถ้าตัวเลขรายได้ประชาชาติแสดงถึงศักยภาพที่แท้จริงในการผลิตสินค้าและบริการของ
ประเทศสามารถตอบได้อย่างมั่นใจหรือไม่ว่า ในปีที่ 2ประเทศนี้มีศักยภาพในการผลิตสินค้า
มากกว่าปีที่1เมื่อพิจารณาจากตัวเลขรายได้ประชาชาติที่เพิ่มขึ้นเปรียบเทียบกัน
คำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้อยู่ที่ โดยแท้จริงแล้วประเทศนี้มีศักยภาพในการผลิตสินค้า
ในปีที่1เท่ากันกับปีที่2(ไม่เป็นไปตามย่อหน้าข้างต้น)สาเหตุก็เพราะถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะ
เห็นว่าในปีที่ 1 และ ปีที่ 2 ประเทศนี้ผลิตสินค้าได้จำนวนเท่ากันคือ 20 หน่วย แต่การที่
ตัวเลขรายได้ประชาชาติไม่เท่ากันนั้นมีสาเหตุมาจากราคาสินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นซึ่ง
โดยแท้จริงแล้ว ราคาสินค้าหรือแม้กระทั่งราคาของปัจจัยการผลิต มิได้เป็นตัวบ่งบอกถึงการมี
ศักยภาพในการผลิตที่ดีขึ้นหรือต่ำลง ปัจจัยที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการผลิตก็คือ ปริมาณ
สินค้าที่ถูกสร้างขึ้นนั่นเอง (ซึ่งส่งผลมาจากการมีปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้น หรือเทคโนโลยีการ
ผลิตที่ดีขึ้น)
ดังนั้นในการคำนวณหาตัวเลขรายได้ประชาชาติที่ถูกต้องและเหมาะสมในการนำไป
พิจารณาจึงจำเป็นที่จะต้องกำจัดภาวะเงินเฟ้อออกเสียก่อนเพราะอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมาะสม
หรือผิดไปจากความเป็นจริง เนื่องจากค่าของราคาไม่คงที่ ซึ่งในการคำนวณรายได้ประชาชาติที่
ไม่นำการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าในแต่ละช่วงระยะเวลามาพิจารณานี้ เราเรียกว่าการหา
รายได้ประชาชาติที่แท้จริงคำนวณได้จากสูตร(ประภัสสรคำสวัสดิ์,2552,หน้า49-51)
รายได้ประชาชาติที่แท้จริงRealGDP = รายได้ประชาชาติที่เป็นตัวเงิน
ดัชนีราคา
ดังนั้น รายได้ประชาชาติที่แท้จริง ก็คือผลรวมของมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
ที่ผลิตขึ้นได้ภายในประเทศในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยใช้ราคาในปีฐานเป็นเกณฑ์ในการ
คำนวณซึ่งจะขจัดความแตกต่างระหว่างปีต่าง ๆ อันเกิดจากการมีเหตุการณ์ผิดปกติจนทำให้
ราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดปกติ รายได้ประชาชาติที่แท้จริงเป็นการวัด
มูลค่าของผลผลิตสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายของปีต่างๆโดยการปรับราคาของปีต่างๆให้มา
อยู่ในระดับเดียวกันกับราคาของปีฐานซึ่งเป็นปีที่มีเหตุการณ์ปกติ
2. อัตราการเจริญเติบโตอย่างแท้จริงทางเศรษฐกิจ (real growth rate) ในทาง
เศรษฐศาสตร์พิจารณาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหนึ่งประเทศใด จะเกิดขึ้น
จากประเทศนั้น ๆมีการเพิ่มประสิทธิผลของปัจจัยการผลิต (ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน แรงงานทุน
หรือ ความสามารถของผู้ประกอบการ) รวมไปถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ประเทศนั้น
มีมากกว่าประเทศอื่น ๆ ปัจจัยทั้งสองนี้จะก่อให้เกิดผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมที่เคยผลิตได้
(หรืออาจก่อให้เกิดผลผลิตชนิดใหม่ๆ)ดังนั้นจะเห็นว่าการวัดความเจริญเติบโตอย่างแท้จริง
9สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
สำหรับประเทศไทยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด10อันดับแรกได้แก่
1.เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ
2.รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ
3.อัญมณีและเครื่องประดับ
4.น้ำมันสำเร็จรูป
5.แผงวงจรไฟฟ้า
6.ยางพารา
7.ข้าว
8.เม็ดพลาสติก
9.เหล็กเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
10.ผลิตภัณฑ์ยาง
3. ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (human development index หรือ HDI) เป็นการ
พิจารณาศักยภาพของประชาชนในประเทศ (หรืออาจจะมองถึงความสนใจในการพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์ของรัฐบาลว่าใส่ใจมากหรือน้อยเพียงใด) เป็นดัชนีการวัดและเปรียบเทียบ
ความยากจน การรู้หนังสือ การศึกษา อายุขัย การคลอดบุตร และปัจจัยอื่น ๆ ของประเทศ
ต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นวิธีการวัดความอยู่ดีกินดีตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและ
เยาวชน นักเศรษฐศาสตร์ใช้ดัชนีการพัฒนามนุษย์ขององค์การสหประชาชาตินี้ในการระบุว่า
ประเทศใดประเทศหนึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศ
พัฒนาน้อยที่สุดดัชนีดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นมาในปีค.ศ.1990ดัชนีการพัฒนามนุษย์วัดความ
สำเร็จโดยเฉลี่ยของแต่ละประเทศในการพัฒนามนุษย์3ด้านหลักๆได้แก่
1.การมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีซึ่งวัดได้จากอายุขัย
2.ความรู้ ซึ่งวัดได้จากการรู้หนังสือ (มีน้ำหนักเป็น 2 ใน 3 ส่วน) และอัตราส่วน
การเขา้เรยีนสทุธทิีร่วมกนัทัง้ระดบัประถมมธัยมและอดุมศกึษา(มนีำ้หนกัเปน็1ใน3สว่น)
3.มาตรฐานคุณภาพชีวิต ซึ่งวัดได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (gross
domestic product - GDP) ต่อหัวและความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (purchasing power
parity-PPP)
ในแต่ละปี รัฐสมาชิกองค์การสหประชาชาติจะถูกจัดอันดับตามดัชนีนี้ ประเทศที่ได้รับ
การจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ มักจะโฆษณาผลการจัดอันดับดังกล่าว เพื่อที่จะดึงดูดให้บุคลากรที่มี
ความสามารถอพยพเข้ามาในประเทศของตนมากขึ้น (เพื่อเป็นทรัพยากรมนุษย์ในทาง
เศรษฐกิจ) หรือเพื่อที่จะลดแรงจูงใจในการอพยพย้ายออก อย่างไรก็ดี องค์การสหประชาชาติ
10 สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ยังมีวิธีการวัดความยากจนในแต่ละประเทศอีกด้วยโดยการใช้ดัชนีความยากจนมนุษย์(human
povertyindex)โดยที่ประเทศที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์มากที่สุดคือนอร์เวย์0.971และน้อย
ที่สุดคือไนเจอร์0.340อยู่ที่อันดับ181ส่วนประเทศไทย0.783อยู่ที่อันดับ87ประเทศใน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีHDIมากที่สุดคือสิงคโปร์0.944อยู่ที่อันดับ23
4. ผลสัมฤทธิ์ทางเทคโนโลยี (technological achievement) เป็นการแสดงออกถึง
ศักยภาพในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราความเจริญเติบโตในระบบเศรษฐกิจ
โดยปกติประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะมีตัวเลขนี้อยู่ในเกณฑ์สูง เช่น ในปี 2008
สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 0.73 (เต็ม 1.00) ญี่ปุ่น 0.70ขณะที่ประเทศไทยตัวเลขผลสัมฤทธิ์
ทางเทคโนโลยีอยู่ที่0.34(nationmaster.com,2011,p.1)
5. หนี้สาธารณะ (public debt) เป็นหนี้สินที่รัฐบาลสร้างขึ้น โดยเป็นการพิจารณาหนี้
ภายในประเทศและหนี้ต่างประเทศ ซึ่งเป็นการพิจารณานโยบายของภาครัฐ ตามความหมาย
หนี้สาธารณะ จำกัดความโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะกระทรวงการคลัง (2011, หน้า
1-2) หมายถึง การกู้ยืมเงินของรัฐบาลเมื่อรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย จึงจำเป็นต้อง
กู้เงินมาใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาการที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ
ก่อหนี้สาธารณะมีวัตถุประสงค์ดังนี้
1) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อภาวะเศรษฐกิจเกิดปัญหา
เช่นเกิดภาวะเงินเฟ้อหรือการว่างงานที่มากเกินไป
2) เพื่ อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายนอกประเทศ อันเนื่ องมาจาก
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศเกิดการขาดดุล
3) เพื่อใช้จ่ายในกิจการฉุกเฉินหรือรายจ่ายที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากรายจ่ายตาม
ปกติเช่นการกู้ยืมเพื่อใช้จ่ายในการสงครามการบูรณะฟื้นฟูประเทศหลังเกิดภัยทางธรรมชาติ
ต่างๆเป็นต้น
4) เพื่อชดเชยงบประมาณที่ขาดดุล เมื่อรัฐบาลเก็บรายได้จากภาษีอากร การขาย
สิ่งของและบริการและจากรัฐพาณิชย์มีจำนวนไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในงบประมาณ
5)เพื่อใช้ในการลงทุนตามโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
6) เพื่อนำมาหมุนเวียนใช้หนี้เก่า ในกรณีที่เมื่อถึงกำหนดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
หากรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้สินรัฐบาลอาจใช้วิธีการกู้ยืมหนี้ใหม่เพื่อมาชำระหนี้
เก่า
6. หนี้ต่างประเทศ หมายถึง ยอดคงค้างหนี้สินส่วนที่มิใช่ทุนเรือนหุ้นที่ผู้มีถิ่นฐานใน
ประเทศก่อขึ้นกับผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศทั้งหนี้สินที่มีดอกเบี้ยหรือไม่มีดอกเบี้ยโดยมีภาระ
11สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ผูกพันที่จะต้องชำระหนี้เงินต้น โดยรวมหนี้สินทุกสกุลเงินและทุกประเภทของการกู้ยืม โดยที่
ภาระหนี้ต่างประเทศ หมายถึง ภาระการชำระคืนหนี้ต่างประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ประกอบ
ด้วยเงินต้นของหนี้สินระยะยาวที่ครบกำหนดชำระคืนและดอกเบี้ยทั้งระยะสั้นและระยะยาว
7. การกระจายรายได้ของครัวเรือนพิจารณาจากGINIIndexเป็นดัชนีที่ใช้วัดความ
ไม่เท่าเทียมกันของการกระจายรายได้ของภาคครัวเรือน สัมประสิทธิ์จีนี หรือ GINI Index
เป็นวิธีวัดการกระจายของข้อมูลทางสถิติอย่างหนึ่งที่นิยมใช้เป็นตัวบ่งชี้ความเหลื่อมล้ำของการ
กระจายรายได้หรือการกระจายความร่ำรวยถูกพัฒนาขึ้นโดยนักสถิติชาวอิตาลีชื่อคอร์ราโดจินี
สัมประสิทธิ์จีนี ถูกนิยามให้เป็นอัตราส่วนซึ่งมีค่าระหว่าง 0 และ 1 สัมประสิทธิ์จีนีที่ต่ำจะ
แสดงถึงความเท่าเทียมกันในการกระจายรายได้ หากค่านี้สูงขึ้นจะบ่งชี้ถึงการกระจายรายได้ที่
เหลื่อมล้ำกันมากขึ้นสัมประสิทธิ์จีนีที่เท่ากับ0หมายถึงความเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์(ทุก
คนมีรายได้เท่ากัน) และ 1 หมายถึงความเหลื่อมล้ำอย่างสมบูรณ์ (มีคนที่มีรายได้เพียงคน
เดียว ส่วนคนที่เหลือไม่มีรายได้เลย) การคำนวณสัมประสิทธิ์จีนีอยู่บนสมมติฐานว่าไม่มีใครมี
รายได้ต่ำกว่าศูนย์
8. เส้นความยากจน (poverty line)คือ เครื่องมือในการกำหนดเกณฑ์ความต้องการ
ขั้นพื้นฐานขั้นต่ำของบุคคลถ้าบุคคลใดมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนก็พิจารณาได้ว่าบุคคลนั้น
เป็นคนจน ในปี 2008 ประเทศที่มีประชากรต่ำกว่าเส้นความยากจนมากที่สุด คือ ประเทศ
ไลบีเรียประมาณ80%(จำนวนคนที่ต่ำกว่าเส้นความยากจนคือจำนวนคนจนหรือบุคคลที่
มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน)ส่วนประเทศไทยอยู่ที่อันดับ127(ประมาณ10%)
9. ดัชนีบิ๊กแม็ค (big mac index) เป็นการพิจารณาราคาของแฮมเบอร์เกอร์ประเภท
บิ๊กแม็คของประเทศต่างๆในรูปของU.S.dollarsซึ่งจะบ่งบอกถึงระดับราคาสินค้าชนิดเดียวกัน
ในแต่ละประเทศหรืออาจหมายถึงอำนาจซื้อของประชาชนในแต่ละประเทศอาจกล่าวได้ว่าเป็น
การมองอัตราเงินเฟ้ออย่างง่ายๆโดยในปี2008ประเทศไอซ์แลนด์ขายบิ๊กแม็คในราคา6.67
ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับ 2 ประเทศนอร์เวย์ 6.06 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในขณะที่
ประเทศไทยขายบิ๊กแม็คเมื่อเทียบเป็นราคาเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแล้วอยู่ที่ 1.51 ดอลลาร์
สหรัฐอเมริกา ซึ่งหมายความว่า ถ้าชาวไอซ์แลนด์มาซื้อแฮมเบอร์เกอร์บิ๊กแม็คในประเทศไทย
เขาสามารถซื้อได้ถึง4ชิ้นครึ่ง(เมื่อเทียบกับที่ซื้อในประเทศของตนเอง)
ความสามารถในการแข่งขันของไทย(foodindustrythailand.com,2554,หน้า1)ไทย
ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 36 ตกลงมาสองอันดับจากปีที่แล้วเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกซบเซา
ประกอบกับปัญหาทางการเมือง เกิดเหตุการณ์ไม่สงบภายในประเทศ จึงส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจของประเทศซึ่งคาดว่าจะลดลงร้อยละ 3-4 ในปี 2009 ปัจจัยที่จะก่อให้เกิดปัญหา
มากที่สุดต่อการทำธุรกิจในประเทศไทย ได้แก่ ประการที่หนึ่ง ปัญหาด้านความมั่นคงของ
12 สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
รัฐบาลและความเสี่ยงต่อการเกิดรัฐประหาร ประการที่สอง ความไม่มั่นคงในนโยบาย
ประการที่สามความไม่มีประสิทธิภาพต่อระบบบริหารงานราชการประการที่สี่ การคอร์รัปชั่น
และประการสุดท้าย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน จะเห็นว่าปัญหาส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับสถาบัน
และการบริหารงานส่วนของราชการทั้งสิ้น ซึ่งถ้าต้องการให้ประเทศเพิ่มระดับความสามารถใน
การแข่งขันให้สูงขึ้น มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทุกฝ่ายควรจะหันหน้ามา
ร่วมมือกัน
สรุป ดัชนีวัดความสามารถในการแข่งขันของไทยที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ประชาชาติที่แท้จริง
อัตราความเจริญเติบโตที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจ รายได้ประชาชาติต่อหนึ่งหน่วยประชากร
มูลค่าการส่งออกดัชนีการพัฒนามนุษย์ผลสัมฤทธิ์ทางเทคโนโลยีหนี้สาธารณะหนี้ภายนอก
จำนวนประชากรที่ต่ำกว่าเส้นความยากจนและดัชนีบิ๊กแม็ค
ปัญหาที่ทำให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันต่ำลง ได้แก่ ปัญหาความมั่นคงของ
รัฐบาล ปัญหาความไม่มั่นคงในนโยบาย ความไม่มีประสิทธิภาพต่อระบบบริหารงานราชการ
การคอร์รัปชั่นและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ข้อเสนอแนะ จากดัชนีวัดความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญข้างต้น จะเห็นได้ว่า การที่จะทำให้
ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ให้สูงขึ้นได้นั้น
ประการสำคัญอยู่ที่การพัฒนาศักยภาพทางด้านการผลิตให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
การค้นคว้าและการสร้างเทคโนโลยีทางการผลิตใหม่ ๆ การส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศ
มีระดับความรู้ที่สูงขึ้น ตลอดจนปัจจัยทางด้านการเมือง ความสามัคคีของประชาชนในชาติ
การไม่แตกเป็นฝักฝ่าย และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ รวมไปถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเอง
ที่จะต้องมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ตัวเลขดัชนีในแต่ละหัวข้อ
เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะสะท้อนไปถึงความสามารถในการแข่งขันของไทยที่จะอยู่ในอันดับที่สูงขึ้น
เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงการค้าของโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
บรรณานุกรม กระทรวงการคลัง.(2554).หนี้สาธารณะ(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก:http://www.mof.go.th/
pdmo/Publicdebt.pdf[2554,3มกราคม].
กฤตยาตติรังสรรค์สุข.(2545).เฉลยข้อสอบ วิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคเบื้องต้น (ศ.212/
214) ของปี พ.ศ. 2534-2544.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
13สหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี ปีที่1ฉบับที่3กุมภาพันธ์2554-พฤษภาคม2554ISSN2228-8007
ประภัสสรคำสวัสดิ์.(2552).มูลฐานเศรษฐศาสตร์ ทฤษฎีและนโยบาย เล่ม 1.ชลบุรี:
มหาวิทยาลัยศรีปทุมวิทยาเขตชลบุรี.
วันรักษ์มิ่งมณีนาคินและคณะ.(2536).พจนานุกรมศัพท์เศรษฐศาสตร์กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
foodindustrythailand.com.(2011).ความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก(Online).
เข้าถึงได้จาก: http://www.foodindustrythailand.com/v17/index.php?option=
com_content&view=article%id[2554,2กุมภาพันธ์].
nationmaster.com.(2011).Thai Economy stats(Online).Available:
http://www.nationmaster.com/country/th-thailand/eco-ecnonmy[2011,February2].
____ .(2011).Economy Statistics>Technological achievement (most recent) by
country (Online). Available: http://www.nationmaster.com/graph/eco_tce_ach-
economy-Technological-achievement[2011,February2].