4
"ETV ติวเขม"วิชาชีววิทยา : ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที1) 1 รายการที10 ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที1) วิทยากร .สมาน แกวไวยุทธ คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 1. อวัยวะใดใน 4 อวัยวะตอไปนี้ที่มิไดอยูในระบบภูมิคุมกัน 1. มาม (Spleen) 2. ตับ (Liver) 3. ตอมไทมัส (Thymus gland) 4. ตอมน้ําเหลือง (Lymph nodes) 2. เมื่อเชื้อจุลินทรียสามารถเขาสูกระแสโลหิตของคนไดแลว รางกายมีขั้นตอนที่จะตอตานเชื้อโรคไดดังนี1. เซลลเม็ดเลือดขาวที่อยูในบริเวณนั้นจะสรางแอนติบอดีขึ้นทําลายเชื้อโรค 2. เชื้อโรคจะมีสมบัติเปนแอนติเจน กระตุนลิมโฟไซตชนิดที่ใหสรางแอนติบอดี 3. เซลลเมมมอรี (Memory cell) ทําหนาที่จดจําแอนติเจนนั้นไว เพื่อเปนกระบวนการในการปอง กันรางกายหากถูกบุกรุกดวยเชื้อโรคเดิมอีก 4. ถูกทุกขอ 3. ลักษณะของภูมิคุมกันกอเอง (Active immunity) เปนดังขอใด 1. รางกายสรางขึ้นมาเอง เกิดอยางรวดเร็ว และปรากฏผลชั่วระยะสั้นๆ 2. รางกายไมไดสรางขึ้นมาเอง แตเกิดผลทันที อายุทํางานนาน 3. รางกายไมไดสรางขึ้นมาเอง เกิดผลชา แตอายุสั้น 4. รางกายสรางขึ้นมาเอง เกิดชา แตปรากฏผลการทํางานยาวนาน 4. อวัยวะน้ําเหลืองในขอใด พบทั้งลิมโฟไซต และเม็ดเลือดแดงจํานวนมาก ขณะที่อวัยวะน้ําเหลืองอื่นๆ พบเฉพาะลิมโฟไซตเทานั้น 1. มาม 2. ตอมทอนซิล 3. ตอมไทมัส 4. ตอมน้ําเหลืองที่ผนังลําไส

10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)

  • Upload
    -

  • View
    5.931

  • Download
    4

Embed Size (px)

DESCRIPTION

 

Citation preview

Page 1: 10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)

"ETV ติวเขม"วิชาชีววิทยา : ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที่ 1) 1

รายการที่ 10ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที่ 1)

วิทยากร อ.สมาน แกวไวยุทธคณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร

1. อวัยวะใดใน 4 อวัยวะตอไปนี้ที่มิไดอยูในระบบภูมิคุมกัน1. มาม (Spleen) 2. ตับ (Liver)3. ตอมไทมัส (Thymus gland) 4. ตอมน้ําเหลือง (Lymph nodes)

2. เมื่อเชื้อจุลินทรียสามารถเขาสูกระแสโลหิตของคนไดแลว รางกายมีข้ันตอนที่จะตอตานเชื้อโรคไดดังนี้1. เซลลเม็ดเลือดขาวที่อยูในบริเวณนั้นจะสรางแอนติบอดีข้ึนทําลายเชื้อโรค2. เชื้อโรคจะมีสมบัติเปนแอนติเจน กระตุนลิมโฟไซตชนิดที่ใหสรางแอนติบอดี3. เซลลเมมมอรี (Memory cell) ทําหนาที่จดจําแอนติเจนนั้นไว เพื่อเปนกระบวนการในการปอง

กันรางกายหากถูกบุกรุกดวยเชื้อโรคเดิมอีก4. ถูกทุกขอ

3. ลักษณะของภูมิคุมกันกอเอง (Active immunity) เปนดังขอใด1. รางกายสรางขึ้นมาเอง เกิดอยางรวดเร็ว และปรากฏผลชั่วระยะสั้นๆ2. รางกายไมไดสรางขึ้นมาเอง แตเกิดผลทันที อายุทํางานนาน3. รางกายไมไดสรางขึ้นมาเอง เกิดผลชา แตอายุส้ัน4. รางกายสรางขึ้นมาเอง เกิดชา แตปรากฏผลการทํางานยาวนาน

4. อวัยวะน้ําเหลืองในขอใด พบทั้งลิมโฟไซต และเม็ดเลือดแดงจํานวนมาก ขณะที่อวัยวะน้ําเหลืองอื่นๆพบเฉพาะลิมโฟไซตเทานั้น

1. มาม 2. ตอมทอนซิล3. ตอมไทมัส 4. ตอมน้ําเหลืองที่ผนังลําไส

Page 2: 10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)

"ETV ติวเขม"วิชาชีววิทยา : ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที่ 1) 2

5. ขอความตอไปนี้ ขอใดไมถูกตอง1. ทรอมบินเปนเอนไซมกระตุนปฏิกิริยาที่ทําใหเกิดรางแหโปรตีน2. แมที่มีหมูเลือด Rh+ จะทําใหลูกในครรภเปนอันตรายถึงชีวิตได3. กลุมเม็ดเลือดขาวมีนิวเคลียสเปนหลายพูถูกสรางจากไขกระดูก4. วัคซีนคือเชื้อโรคที่หมดฤทธิ์แลว นํามากระตุนรางกายใหสรางแอนติบอดีข้ึน6. ในทอน้ําเหลืองมีความดันต่ํา การที่น้ําเหลืองในทอไหลในทิศทางเขาสูหัวใจ เปนเพราะเหตุผลในขอ

ใดมากที่สุด1. ภายในทอน้ําเหลืองมีล้ินคั่น2. การคลายตัวของหัวใจเปนจังหวะ3. น้ําเหลือง ซึมผานเขาสูทอน้ําเหลืองฝอยเรื่อยๆ4. การหดตวัของกลามเนื้อรางกายรอบทอน้ําเหลือง

7. ไวรัสชนิด HIV สามารถทําใหเกิดโรคเอดส (AIDS) ในคนไดโดยทําลายเซลลในขอใด1. Helper T cells 2. B-Lymphocytes3. T-Lymphocytes 4. เม็ดเลือดขาว

8. เม็ดเลือดขาวพวกใดเกี่ยวของกับการสราง Antibody1. Neutrophil 2. Monoclyte3. Lymphocyte 4. Basophil

9. เม็ดเลือดขาวพวกใดทําลายแบคทีเรียไดดีมาก1. Monocyte และ Neutrophil 2. Lymphoayte และ Basophil3. Basophil และ Eosinophil 4. Monocyte และ Basophil

10. เม็ดเลือดขาวชนิดใด ที่มีจํานวนเพิ่มสูงขึ้นกวาปกติในเลือดของคนที่มีไขพยาธิจํานวนมากในอุจจาระ1. โมโนไซต 2. บาโซฟล3. อีโอซิโนฟล 4. นิวโทรฟล

Page 3: 10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)

"ETV ติวเขม"วิชาชีววิทยา : ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที่ 1) 3

11. เด็กชายสมชายเคยเปนโรคคางทูมมากอน แมจะเลนคลุกคลีกับเพื่อนที่เปนโรคคางทูม สมชายก็ไมเปนโรคนี้อีก แสดงวาสมชายมีการสรางภูมิคุมกันแบบใด

ก. ภูมิคุมกันโดยกําเนิด ข. ภูมิคุมกันจําเพาะค. ภูมิคุมกันกอเอง ง. ภูมิคุมกันรับมา1. ก และ ค 2. ก และ ง3. ข และ ค 4. ข และ ง

12. เมื่อมีส่ิงแปลกปลอมเชนเชื้อโรคหรือสารเปนพิษเขาสูรางกายโดยปกติแลว1. เม็ดเลือดแดงจะสราง Antibody ข้ึนภายในน้ําเลือด2. จํานวนเม็ดเลือดขาวจะลดลง3. Blood platelet จะไปทําลายสิ่งแปลกปลอมและรวมในการสราง Antibody4. เม็ดเลือดขาวจะทําลายสิ่งแปลกปลอมและรวมในการสราง Antibody

13. นักเรียนผูหนึ่งถูกตะปูตํา ทําใหเกิดโรคบาดทะยัก อาการนาวิตก นักเรียนผูนี้ควรไดรับการรักษาโดยการให

1. วัคซีน 2. เซรุม3. ทอกซอยด 4. แอนติเจน

14. การใชสีไรตสเตน (Wright's stain) ยอมสไลดในการทํา Blood smear จะทําให1. เห็นเซลลเลือดไดชัดเจนขึ้น2. เห็นนิวเคลียสของ Erythrocyte บางเซลล3. เห็นนิวเคลียสของ Leucocyte ไดชัดเจน4. ศึกษารายละเอียดภายในเซลลไดชัดเจน

15. รอบตัวเรานี้มีเชื้อโรคอยูเปนจํานวนมาก แตเรามักจะไมเปนโรค แมวาจะไดรับเชื้อเหลานี้เปนเพราะ1. เชื้อโรคสวนมากไมทําใหเกิดโรค2. เราสามารถปองกันเชื้อโรคได โดยการฉีดวัคซีน3. รางกายมี Antibody อยูเปนจํานวนมาก และสามารถตอตานเชื้อโรคได4. เมื่อเชื้อโรคเขาสูรางกายจํานวนนอยๆ ไมสามารถแบงตัวเพิ่มจํานวนใหมากพอที่จะเกิดโรคได

Page 4: 10แบบทดสอบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ตอนที่ 1)

"ETV ติวเขม"วิชาชีววิทยา : ภูมิคุมกันของรางกาย (ตอนที่ 1) 4

16. ระบบทอน้ําเหลืองจะทําหนาที่ทําลายเชื้อโรคที่เขาสูรางกายโดยวิธี1. Phagocytosis และ Plasmolysis2. Phagocytosis และ Antibodies3. Antibodies movement และ Phagocytosis4. Haemolysis และสราง Antigen

17. การใหทารกดื่มน้ํานมมารดา ทารกจะไดรับภูมิคุมกันชนิด1. ภูมิคุมกันกอเอง 2. ภูมิคุมกันรับมา3. ภูมิคุมกันกอเองและภูมิคุมกันรับมา 4. ไมไดภูมิคุมกันแตไดรับสารอาหาร

18. การฉีดทอกซอยดเพื่อปองกันโรคคอตีบ ทําใหเกิดภูมิคุมกันเปนอยางไร1. เกิดเร็ว อายุส้ัน 2. เกิดเร็ว อายุยาว3. เกิดชา อายุส้ัน 4. เกิดชา อายุยาว

19. ถาทั้งสองภาพเปนเม็ดเลือดคน

(1) (2)

1. (1) คือเม็ดเลือดขาวทําลายเชื้อโรคโดยฟาโกไซโตซิส (2) เม็ดเลือดแดงสรางขึ้นใหมๆ2. (1) เม็ดเลือดแดงสรางขึ้นใหมๆ (2) เม็ดเลือดแดงในน้ําเลือด3. (1) เม็ดเลือดขาวที่สรางแอนติบอดี (2) เม็ดเลือดแดงสรางขึ้นใหม ๆ4. (1) เม็ดเลือดแดงในน้ําเลือด (2) เม็ดเลือดแดงสรางขึ้นใหม ๆ

20. สารแอนติบอดี ซึ่งสรางโดยเมด็เลือดขาวจะมีการลําเลียงไปยังสวนตางๆ ของรางกายโดย1. ระบบหมุนเวียนเลือด 2. ระบบหมุนเวียนน้ําเหลือง3. ซึมผานเนื้อเยื่อ 4. ซึมผานไปกับของเหลวระหวางเซลล

นิวเคลียส