Upload
others
View
4
Download
0
Embed Size (px)
Citation preview
X x x x B
X x x x
+ +
- - R
ฟิสิกส์อะตอม
1. ในการทดลองวดัอตัราสว่นประจุตอ่มวล (q/m) ของอนุภาครังสีแคโทด โดยวธีิของทอมสัน พบวา่
เมือ่ใชส้นามแมเ่หล็กซ่ึงมคีวามเข้ม B รังสีแคโทดจะเบ่ียงเบนไปเป็นทางโคง้ ซ่ึงมีรัศม ี R ตอ่มาเมือ่
ใสส่นามไฟฟ้าเขา้ไป โดยท าให้เกดิความตา่งศกัย์ V ระหวา่งแผน่โลหะ 2 แผน่ซ่ึงวางหา่งกนัเป็น
ระยะ d รังสีแคโทดจะเดินทางเป็นเส้นตรงโดยไมเ่กดิการเบ่ียงเบน อตัราสว่นของประจุตอ่มวลของ
อนุภาครังสีแคโทดจะมคีา่เป็นเทา่ไร
1. 𝑉
𝐵𝑑𝑅 2.
𝑉
𝐵2𝑑𝑅 3.
𝐵𝑑𝑅
𝑉 4.
𝐵2𝑑𝑅
𝑉
2. ในการทดลองหลอดรังสีแคโทด หากสนามแมเ่หล็ก B มคีา่เป็น 0.25 x 103 เทสลา ท าให้รังสีเบนลง
ดงัรูป โดยมรัีศมคีวามโคง้เป็น R ถา้ผา่นกระแสไฟฟ้าเพื่อท าให้เกดิความตา่งศกัย์ไฟฟ้าระหวา่ง
แผน่โลหะ 45 โวลต์ ท าให้รังสีแคโทดพุง่เป็นเส้นตรงไมเ่บ่ียงเบน จงหวา่ คา่ R จะเป็นเทา่ไร
ก าหนดให้ระยะหา่งระหวา่งแผน่โลหะเป็น 1 เซนติเมตร และคา่ 𝑒
m มคีา่เทา่กบั 1.8 x 1011 คลูอมบ์/
กโิลกรัม
3. ในการวดัความเร็วของอนุภาครังสีแคโทด จากการทดลองของทอมสันเพื่อหาอตัราส่วน q/m นั้น
พบวา่ถา้ใชส้นามเมเ่หล็กซ่ึงมคีวามเข้ม 3x 10-3 เทสลา และสนามไฟฟ้าในทิศตั้งฉากกบั
สนามแมเ่หล็กซ่ึงเกดิจากการตอ่แผน่โลหะขนานกนัสองแผน่ซ่ึงมรีะยะหา่งกนั 1 เซนติเมตร เขา้กบั
ความตา่งศกัย์ไฟฟ้า 600โวลต์ แลว้อนุภาครังสีแคโทดสามารถเคล่ือนท่ีไดใ้นแนวเส้นตรง ความเร็ว
ของอนุภาคดงักลา่วน้ีจะมคีา่เทา่ไร
1. 0.5 x 10-7 เมตรตอ่วนิาที 2. 0.5 x 10-5 เมตรตอ่วนิาที
3. 2 x 105 เมตรตอ่วนิาที 4. 2 x 107 เมตรตอ่วนิาที
1. 0.04 เมตร
2. 0.08 เมตร
3. 0.1 เมตร
4. 0.4 เมตา
2
2
1
3
+ + + + + +
- - - - - - -
4. ถา้สังเกตเห็นวา่รัศมคีวามโคง้ของทางวิง่ของอิเล็กตรอนท่ีมปีระจุ e มวล m ในสนามเมเ่หล็ก B ดงั
ท่ีเห็นในหลอดตาแมววา่มคีา่เป็น R แสดงวา่อิเล็กตรอนนั้นวย่ิงดว้ยอตัราเร็วเทา่ไร
1. 𝑒𝐵
mR 2.
𝑒𝑅
mB 3.
𝑒
mR2B2 4. 𝑒𝐵𝑅
m
5. ในการทดลองหลอดตาแมวพบวา่ ความเร็วของอนุภาครังสีแคโทดมีคา่เทา่กบั 9 x 107 เมตร/วนิาที
เมือ่น าขดลวดโซลินอยด์ท่ีท าให้เกดิสนามแมเ่หล็ก 0.1 เทสลา ครอบลงบนหลอดตาแมว จงหาวา่
รังสีแคโทดจะวิง่เป็นเส้นโคง้ดว้ยรัศมเีทา่ไร(ก าหนดคา่ e/m ของอนุภาครังสีแคโทด = 1.8 x 1011
c/kg)
1. 0.05 เซนติเมตร 2. 0.5 เซนติเมตร 3. 2.5 เซนติเมตร 4. 5 เซนติเมตร
6. ในการทดลองวดัอตัราสว่นประจุตอ่มวลของอิเล็กตรอน โดยวธีิของทอมสันโดยคร้ังแรกให้รังสี
แคโทดเกดิการเบ่ียงเบนในสนามแมเ่หล็ก แตเ่มือ่ใสส่นามไฟฟ้าเขา้ไปเพื่อหักลา้งการเบ่ียงเบนของ
รังสีแคโทดกลบัปรากฏวา่ รังสีแคโทดกลบัเบ่ียงเบนมากย่ิง ข้ึน ผูท้ าการทดลองควรจะท าอยา่งไร
1. ลดความเขม้ของสนามแมเ่หล็ก
2. ลดความเขม้ของสนามไฟฟ้า
3. เพิ่มความเขม้ของสนามไฟฟ้า
4. กลบัทิศทางของสนามไฟฟ้า
7. จากผลการทดลองเมือ่พน่ละอองน ้ ามนัในทิศตั้งฉากกบัสนามไฟฟ้าระหวา่งแผน่ตัวน าคูข่นาน ดงั
รูป พบวา่ละอองน ้ ามนัสว่นมากเคล่ือนท่ีโคง้ลงมเีพียงบางส่วนท่ีเคล่ือนท่ีโคง้ข้ึนและบางส่วน
เคล่ือนท่ีไปในทิศเดิมสมมติวา่ละอองน ้ ามนัหยดหน่ึงมสีภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า ละอองน ้ ามนัหยด
นั้นจะเคล่ือนท่ีในเส้นทางใดเพราะเหตุใด
1. เส้นทาง 1 เพราะวา่แรงทางไฟฟ้ามากกวา่แรงโน้มถว่ง
2. เส้นทาง 2 เพราะวา่แรงทางไฟฟ้าเทา่กบัแรงโน้มถว่ง
3. เส้นทาง 3 เพราะวา่แรงทางไฟฟ้าน้อยกวา่แรงโน้มถว่ง
4. เส้นทาง 3 เพราะวา่มเีฉพาะแรงโน้มถว่ง
8. ในการทดลองหยดน ้ ามนัของมลิลิแกนพบวา่ ถา้ตอ้งการให้หยดน ้ ามนัซ่ึงมมีวล m และมอิีเล็กตรอน
เกาะติดอยู ่n ตวั ลอยน่ิงอยูร่ะหวา่งแผน่โลหะ 2 แผน่ ซ่ึงขนานหา่งกนัเป็นระยะทาง d และมคีวาม
ตา่งศกัย์เป็น V ประจุของอิเล็กตรอนท่ีค านวณได้จากการทดลองน้ี จะมคีา่เป็นเทา่ไร
1. 𝑚𝑔𝑑
𝑛𝑉 2.
𝑚𝑔𝑉
𝑛𝑑 3.
𝑛𝑚𝑔𝑑
𝑉 4.
𝑛𝑚𝑔𝑉
𝑑
3
9. หยดน ้ ามนัมมีวล 1.92 x 10-30 กโิลกรัม และมอิีเล็กตรอนอิสระอยูจ่ านวนหน่ึงลอยน่ิงอยูร่ะหวา่ง
แผน่ตวัน าขนานท่ีมสีนามไฟฟ้าความเข้ม 6 x 10-14 นิวตนั/คลูอมบ์ ทิศแนวด่ิง จะมอิีเล็กตรอนอิสระ
กีต่วัอยูบ่นหยดน ้ ามนัดงักลา่ว ก าหนดให้ประจุของอิเล็กตรอนเป็น -1.6 x 10-19 คลูอมบ์
10. ในการทดลองของมลิลิแกน เมือ่ท าให้หยดน ้ ามนัมวล 1.6 x 10-14 กโิลกรัม ลอยหยุดน่ิงระหวา่งแผน่
โลหะขนานซ่ึงวางหา่งกนั 1 เซนติเมตร โดยแผน่บนมศีกัย์ไฟฟ้าสูงกวา่แผน่ลา่งเทา่กบั 392 โวลต์
ถา้ความเรง่เน่ืองจากแรงดึงดูดของโลกเทา่กบั 9.8 เมตร/วนิาที2 และอิเล็กตรอนมปีระจุ 1.6 x 10-19 คู
ลอมบ์ จงค านวณหาวา่หยดน ้ ามนัน้ีมอิีเล็กตรอนอิสระแฝงอยูก่ีต่ ัว
1. 25 2. 50 3. 250 4. 500
11. ในการทดลองเร่ืองหยดน ้ ามนัของมลิลิแกน ถา้ใชค้วามตา่งศกัย์ไฟฟ้า 100 โวลท์ หยดน ้ ามนัมมีวล
8x 10-16 กโิลกรัม ระยะระหวา่งแผน่ขั้วโลหะเทา่กบั 0.8 เซนติเมตร ท าให้หยดน ้ ามนัอยูน่ิ่ง หยด
น ้ ามนัไดรั้บอิเล็กตรอนกีต่ัว
1. 1 ตวั 2. 2 ตวั 3. 4 ตวั 4. 8 ตวั
12. ในการทดลองหยดน ้ ามนัของมลิลิแกนนั้น พบวา่เมือ่เพิ่มคา่ความตา่งศักย์จนถึงคา่สูงสุดของ
เคร่ืองมอืแลว้ ไมส่ามารถท าให้หยดน ้ ามนัหยุดน่ิงหรือเคล่ือนท่ีในทิศตรงขา้มกบัเมือ่ยงัไมใ่ห้คา่
ความตา่งศกัย์ แสดงวา่
1. หยดน ้ ามนัมมีวลมากเกนิไป
2. หยดน ้ ามนัมปีระจุชนิดท่ีท าให้แรงเน่ืองจากสนามไฟฟ้ามทิีศทางเดียวกบัแรงโน้มถว่งวของ
โลก
3. สนามไฟฟ้ามคีา่น้อยเกนิไป
4. ถูกทุกขอ้
13. การท่ีรัทเธอร์ฟอร์ดท าการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาไปยงัแผน่ทองค าบาง ๆ แลว้พบวา่โครงสร้าง
ของอะตอมไมเ่ป็นไปตามแบบของทอมสัน เน่ืองจากรัทเธอร์ฟอร์ดพบวา่
1. อนุภาคแอลฟาเกอืบทั้งหมดเบนไปจากแนวเดิมเป็นมุมใด ๆ และบางทีมกีารสะทอ้นกลบั
2. อนุภาคแอลฟาเบนไปจากแนวเดิมทุกทิศทางเทา่ ๆ กนั
3. อนุภาคแอลฟาทั้งหมดวิง่ทะลุฟ่านแผน่ทองไปในแนวเกอืบเป็นเส้นตรง
4. อนุภาคแอลฟาบางสว่นเบนไปจากแนวเดิมเป็นมุมใด ๆ ทั้งท่ีสว่นใหญผ่า่นไปในแนวตรง
4
x
D
เกรตติง
หลอดบรรจุกาซ
ไม้เมตร x
O A B C
เกรตติง
14. เมือ่อนุภาคแอลฟาวิง่ตรงเขา้สูนิ่วเคลียส อนุภาคแอลฟานั้นจะหยุดกต็อ่เมือ่อนุภาคนั้น
1. มพีลงังานรวมเป็นศูนย์ 2. กระทบผิวนิวเคลียส
3. กระทบกบัอิเล็กตรอนในช ั้นใดช ั้นหน่ึง 4. มพีลงังานศกัย์เทา่กบัพลงังานจลน์เดิม
15. อนุภาคแอลฟา มวล 6.4x 10-27 กโิลกรัม มปีระจุ +2e เร่ิมตน้มคีวามเร็ว 2x 107 เมตรตอ่วนิาที วิง่ตรง
เขา้หานิวเคลียสของทองค าซ่ึงมปีระจุ + 79e จงหาวา่นุภาคแอลฟาน้ีจะเขา้ใกลนิ้วเคลียสของทองค า
ไดม้ากท่ีสุดเทา่ไร
16. ในการวดัความยาวคล่ืนสเปคตรัมของโฮโดรเจน โดยใชเ้กรตติงขนาด 5000 เส้น/เซนติเมตร
ปรากฏวา่วดัมมุท่ีสเปคตรัมเส้นหน่ึงท ากบัแนวเส้นตั้งฉากจากเกรตติงไปยงัหลอดสเปคตรัมได ้ 19º
ความยาวคล่ืนของสเปคตรัมส้ันน้ีเทา่กบักีน่าโนเมตร (ก าหนดให้ sin = 0.326)
1. 412 2. 434 3. 486 4. 652
17. จากการทดลองเพื่อศึกษาสเปคตรัมของกา๊ซไฮโดรเจน โดยใชเ้กรตติงซ่ึงมจี านวนขอ่ง/เซนติเมตร
เทา่กบั 4500 ดงัรูป พบวา่เมือ่ระยะ D เทา่กบั 1 เมตร จะมแีถบสวา่งสีเดียวกนับนไมเ้มตรหา่งจากจุด
O ทั้งทางดา้นซา้ยและดา้นขวาเทา่กนัคือ 0.3 เมตร จงหาวา่แถบสวา่งนั้นมคีวามยาวคล่ืนประมาณ
เทา่ไร
18. ในการทดลองเกีย่วกบั สเปคตรัมของโฮโดรเจนโดยมองผา่นเกตรริงมเีส้นสเปคตรัม 3 เส้นท่ี
มองเห็นไดม้คีวามยาวคล่ืน 434 , 486 และ 656 นาโนเมตร สเปคตรัมท่ีถูกต้อง ตอ้งอยูท่ี่ต าแหนง่
ตามขอ้ใด
1. 464 2. 565
3. 632 3. 667
1. A 656 , B 486
2. A 656 , C 486
3. B 486 , C 656
4. A 656 , C 434
5
19. ถา้รัศมขีองโดรเจนอะตอมเมื่อภาวะปกติคือ R อะตอมไฮโดรเจนน้ีสามารถมีรัศมเีป็นคา่ตอ่ไปน้ีได ้
ยกเวน้ขอ้ใด
1. 4 R 2. 8 R 3. 9 R 4. 16 R
20. จากโครงสร้างของอะตอมไฮโดรเจนตามทฤษฏีของบอร์ อิเล็กตรอนท่ีอยูใ่นวงโคจรท่ี 3 จะมรัีศมี
ของวงโคจรเป็นกีเ่ทา่ของอิเล็กตรอนท่ีอยูใ่นวงโคจรท่ี 2
1. 4
9 2.
2
3 3.
3
2 4.
9
4
21. ส าหรับอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนตามทฤษฏีของบอร์ คา่พลงังานจลน์เป็นกีเ่ทา่ของพลงั
ศกัย์ไฟฟ้า
1. 1 2. 2 3. 1
2 4.
1
4
22. อะตอมของธาตุชนิดหน่ึง มอิีเล็กตรอนโคจรรอบ ๆ นิวเคลียส 1 ตวั พลงังานของอะตอม ณ สถานะ
หน่ึงเป็น -10.4 eV ดงันั้นคา่พลงังานจลน์และพลงังานศกัย์ไฟฟ้าของอิเล็กตรอนนั้นจะเป็นเทา่ไร
ตามล าดบั
1. 0 , -10.4 eV 2. -10.4 eV , 0
3. 10.4 eV , -20.8 eV 4. สรุปไมไ่ด ้
23. ตามแบบจ าลองของอะตอมไฮโดรเจนของบอร์ ถา้ให้รัศมวีงโคจรในสุดของอิเล็กตรอนเป็น r1 = a
และพลงังานศกัยืของอิเล็กตรอนในวงโคจรในสุดเป็น A ผลตา่งของพลงังานจลน์ของอิเล็กตรอน
ในวงโคจร n = 2 และ n = 4 จะมขีนาดเป็นตามขอ้ใด
1. 3
32 A 2.
3
16 A 3.
3
8 A 4.
1
8 A
24. เมือ่อิเล็กตรอนของไฮโดรเจนเปล่ียนจากระดับพลงังาน n = 4 เป็นระดบัพลงังาน n = 2 จะให้แสง
สีน ้ าเงิน ถา้อิเล็กตรอนเปล่ียนระดบัพลงังานจาก n = 5 ไปยงั n = 2 จะให้แสงสีใด
1. มว่ง 2. เขียว 3. เหลือง 4. แดง
25. จากการวเิคราะห์สเปคตรัมของธาตุไฮโดรเจน พบวา่ชดุความถ่ีของเส้นสเปคตรัมในชว่งท่ีสามารถ
มองเห็นไดด้ว้ยตาเปลา่นั้นมชีื่อเรียกวา่อะไร
1. Lyman series 2. Balmer series
3. Paschen series 4. Brackett series
6
0
-4 eV
-11 eV
-20 eV
26. สเปคตรัมเส้นสวา่งของอะตอมไฮโดรเจน เส้นสวา่งล าดบัแรกท่ีเราเห็นชดัเจนมคีวามยาวคล่ืนมาก
ท่ีสุดคือ 656 นาโนเมตร ในอนุกรมของบลัเมอร์เส้นสวา่งล าดับท่ีสองจะมีความยาวคล่ืนประมาณ
เทา่ไร (ตอบในหนว่ยนาโนเมตร)
27. ในอนุกรมมลัเมอร์ เส้นสเปคตรัมของอะตอมไฮโดรเจนเส้นแรกคือ 657 นาโนเมตร อยากทราบ
วา่โฟตอนท่ีจะท าให้อิเล็กตรอนของอะตอมไฮโดรเจนจากสถานะ n = 2 หลุดออกจากอะตอมได้
พอดีมคีา่ความยาวคล่ืนกีน่าโนเมตร
28. พลงังานต ่าสุดของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนคือ -13.6 eV ถา้อิเล็กตรอนเปล่ียนสถานะจาก
n = 3 ไปสูส่ถานะ n = 2 จะให้แสงท่ีมพีลงังานควอนตมัเทา่ใด
29. อะตอมไฮโดรเจนเมือ่เปล่ียนระดบัพลงังานจากสถานะ n = 3 สูสถานะพื้นจะให้โฟตอนมพีลงังาน
19.34 x 10-19 จูล และเมือ่เปล่ียนสถานะจาก = 2 สูส่ถานะพื้นจะให้โฟตอนพลงังาน16.33 x 10-19
จูล ถา้ตอ้งการกระตุน้ให้อะตอมไฮโดรเจนให้เปล่ียนระดับพลงังานจากสถานะ n = 2 ไปยงัสานะ n
= 3 จะตอ้งใชแ้สงความถ่ีเทา่ใด
1. 4.5 x 1014 Hz 2. 5.4 x 1014 Hz 3. 3.0 x 1015 Hz 4. 5.4 x 1015 Hz
30. ในการกระตุน้ให้อะตอมของไฮโดรเจนท่ีมรีะดับพลงังานต ่าสุด ( -13.6 eV) ไปอยูท่ี่ระดบัพลงังาน
n = 4 สเปคตรัมเสันท่ีมคีวามยาวคล่ืนส้ันท่ีสุดจะมพีลงังานเทา่ไร
1. 0.66 eV 2. 0.85 eV 3. 10.20 eV 4. 12.75 eV
31. อะตอมของกาซชนิดหน่ึง เมือ่ให้รับการกระตุน้จากพลงังานภายนอก า 16 eV จะท าให้อยูใ่นสภาวะ
ถูกกระตุน้ท่ีสอง สภาวะพื้นมคีา่พลงังานเทา่ไรในหนว่ย eV
32. สมมติวา่แผนภาพแสดงระดบัพลงังานของอะตอมชนิดหน่ึงเป็นดงัรูป ให้หาคา่ความยาวคล่ืนของ
คล่ืนแมเ่หล็กไฟฟ้าท่ีจะท าให้อะตอมในสถานะพื้นฐานแตกตัวเป็นไอออนไดพ้อดี
33. อิเล็กตรอนอนุภาคหน่ึงมพีลงังานจลน์เทา่กบั 4 eV ถูกจบัไวด้ว้ยโมเลกลุท่ีเป็นไอออน ถา้
อิเล็กตรอนหลงัถูกจบัอยูใ่นระดบัพลงังาน -4 อิเล็กตรอนโวลท์ ในกระบวนการน้ีจะมรัีงสีความยาว
คล่ืนกีน่าโนเมตรปลอ่ยออกมา
1. 62 nm
2. 100 nm
3. 210 nm
4. 310 nm
7
34. จากการทดลองของฟรังค์และเฮริตซ์พบวา่ ศกัย์กระตุน้ (Excitation Potention) ของอะตอมของไอ
ปรอทมคีา่เป็น 4.9 , 6.7 , 10.4 , ..... โวลต์ ถา้ให้อิเล็กตรอนท่ีอยูใ่นสถานะถูกกระตุน้ในระดบัท่ี
สอง(Second excited State) ลงลดมาสูสถานะถูกกระตุน้ระดบัแรก (First excited state) โฟตอนท่ี
ถูกปลอ่ยออกมา จะมพีลงังานท่ีอิเล็กตรอนโวลต์
1. 1.8 2. 3.7 3. 4.9 4. 6.7
35. ซีเซียมมรีะดบัพลงังานระดบัแรกของสถานะกระตุน้สูงกวา่พลงังานระดบัพื้นอยู ่ 1.38 eV ถา้ให้
อิเล็กตรอนพลงังาน 1 eV วิง่เขา้ชนซีเซียมจะให้ผลตามขอ้ใด
1. จะไมม่อีะตอมซีเซียมอยูส่ถานะกระตุน้เลย
2. จะมจี านวนอะตอมซีเซียมบางส่วนในสถานะกระตุน้
3. อะตอมซีเซียมท่ีกระตุน้จะมพีลงังาน 0.38 eV
4. อะตอมซีเซียมท่ีกระตุน้จะมพีลงังาน 2.38 eV
36. ถา้พลงังานกระตุน้ล าดบัแรกของไอปรอทคือ 4.9 eV จงหาวา่จะตอ้วใชค้วามตา่งศกัย์ไฟฟ้ากี่โวลท์
เรง่อิเล็กตรอนเพื่อให้เขา้ชนอะตอมปรอท แลว้หลงัชนอิเล็กตรอนมคีวามเร็ว 2x 105 เมตร/วนิาที
37. เรง่อิเล็กตรอนดว้ยความตา่งศกัย์ 10 โวลท์ ให้เขา้ชนกบัอะตอมตวัหน่ึง หลงัชนแลว้อะตอมนั้น
ปลอ่ยคล่ืนท่ีมคีวามยาวคล่ืน 150 นาโนเมตร ออกมา จงหาวา่หลงัชนนั้นอิเล็กตรอนคงเหลือ
พลงังานอยูอี่กเทา่ไร
1. 2.8 x 10-19 จูล 2. 10 x 10-19 จูล 3. 13.2 x 10-19 จูล 4. 16 x 10-19 จูล
38. หลอดรังสีเอกซืหลอดหน่ึงมคีวามตา่งศกัย์ระหวา่งขั้วแอโนดและแคโทด 11,000 โวลท์ จงหาวา่
รังสีเอกซ์ท่ีผลิตไดจ้ะมีความยาวคล่ืนส้ันท่ีสุดเทา่ไร
39. อิเล็กตรอนถูกเรง่ในหลอดโทรทศัน์ดว้ยความตา่งศักย์ประมาณ 10,000 โวลท์ เมือ่อิเล็กตรอน
กระทบจอโทรทศัน์ คล่ืนแมเ่หล็กไฟฟ้าท่ีแผจ่ากจอโทรทัศน์มีความยาวคล่ืนได้ส้ันท่ีสุดเทา่ไร
1. 4.1 x 10-9 เมตร 2. 12 x 10-10 เมตร 3. 8.0 x 109 เมตร 4. 2.4 x 1018 เมตร
40. เมือ่ผา่นรังสีเอกซ์เขา้ไปในบริเวณสนามแมเ่หล็ก หรือสนามไฟฟ้าแลว้ รังสีเอกซ์
1. ไมม่กีารเบ่ียงเบนในทิศทางใด ๆ ในสนามนั้น ๆ
2. เบ่ียงเบนเขา้หาขั้วบวกของสนามแมเ่หล็กหรือสนามไฟฟ้านั้น
3. เบ่ียงเบนเขา้หาขั้วลบของสนามแมเ่หล็กหรือสนามไฟฟ้านั้น
4. มกีารเคล่ือนท่ีเป็นรูปคล่ืนไซน์
8
41. รังสีเอ็กซ์เมือ่ถูกยิงผา่นกอ้นผลึก ซ่ึงอะตอมมกีารจดัเรียงตัวอยา่งเป็นระเบียบ ท าให้เกดิการ
เล้ียวเบนของรังสีเอ็กซ์อยา่งมรีะเบียบ และน ามาภถึงการค านวณหาระยะระหวา่งอะตอมได ้ ทั้งน้ี
เน่ืองจาก
1. รังสีเอ็กซ์เป็นคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟ้าท่ีมีความถ่ีสูงในชว่ง 1016 – 1022 เฮิรตซ์ จึงมพีลงังานสูงพอท า
ให้เกดิการเล้ียวเบน
2. รังสีเอ็กซ์มคีวามยาวคลฃ่ืนประมาณ 10-10 เมตร ซ่ึงใกลเ้คียงกบัขนาดระยะหา่งระหวา่งแถว
อะตอมในผลึก
3. รังสีเอ็กซ์ถูกสร้างข้ึนจากการเปล่ียนแปลงความเร็วของอิเล็กตรอนเมื่อผา่นอะตอมของเป้า
โลหะ
4. รังสีเอกซ์สามารถเคล่ือนท่ีทะลุผา่นส่ิงกีดขวางไมว่า่จะหนาหรือบางได ้
42. ระดบัพลงังานช ั้นในของอิเล็กตรอนในเป้าของหลอดรังบสีเอ็กซ์ เทา่กบั -1.1 x 10-14 จูล ถา้
อิเล็กตรอนน้ีถูกชนหลุดออกไป จะเกดิรังสีเอ็กซ์เฉพาะตวัมคีวามยาวคล่ืน 2.0 x 10-11 เมตร รังสี
เอ็กซ์เฉพาะตวัน้ีเกดิจากอิเล็กตรอนท่ีอยูใ่นระดับพลงังานกท่ีจูล ก าหนดให้คา่คงตงัของพลงัค์
เทา่กบั 6.6 x 10-34 จูลวนิาที ความเร็วแสงในสุญญากาศเทา่กบั 3.0 x 108 เมตรตอ่วนิาที
1. 1.1 x 10-15 จูล 2. 9.9 x 10-15 จูล
3. -1.1 x 10-15 จูล 4. -9.9 x 10-15 จูล
43. ขอ้ความตอ่ไปน้ีข้อใดถูกต้อง
ก. ล ารังสีแคโทดคือล าอนุภาคอิเล็กตรอน
ข. รังสีเอ็กซ์ตอ่เน่ือนและรังสีเอ็กซ์เฉพาะตวัตา่งเป็นคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟ้า
ค. ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกแสดงคุณสมบติัแบบคล่ืน
1. ก. และ ข. 2. ก. และ ค.
3. ข. และ ค. 4. ก. เทา่นั้น
44. พลงังานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
1. ไมข้ึ่นกบัความเข้มของแสงท่ีมาตกกระทบ
2. ข้ึนกบัก าลงัหน่ึงของความเขม้ของแสงท่ีมาตกกระทบ
3. ข้ึนกบัก าลงัสองของความเข้มของแสงท่ีมาตกกระทบ
4. ข้ึนกบัรากท่ีสองของความเข้มของแสงท่ีมาตกกระทบ
9
45. จากการศึกษาปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก สรุปไดว้า่
1. เมือ่แสงมคีวามถ่ีเทา่กบัความถ่ีขีดเร่ิม ตกกระทบผิวโลหะจะไมม่ีอิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะ
2. แสงท่ีมคีวามถ่ีคา่เดียวตกกระทบผิวโลหะตา่งชนิดกนั จะให้โฟโตอิเล็กตรอนท่ีมพีลงังานจลน์
สูงสุดเทา่กนั
3. เมือ่เพิ่มความเขม้แสงท่ีตกกระทบผิวโลหะ กระแสโฟโตอิเล็กตรอนจะมคีา่เพิ่มข้ึน
4. เมือ่เพิ่มความเขม้แสงท่ีตกกระทบผิวโลหะ จ านวนโฟโตอิเล็กตรอนจะเทา่เดิมแตม่พีลงังาน
สูงข้ึน
46. จงหาความยาวคล่ืนของแสงท่ีโฟตอนของมนัมพีลงังาน เทา่กบั 1.5 eV ให้ตอบในหนว่ยนาโนเมตร
47. จากปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตริก เมือ่ให้แสงท่ีมพีลงังาน 4.00 eV ตกกระทบโลหะชนิดหน่ึง
ปรากฏวา่ตอ้งให้ความตา่งศักย์ระหวา่งแคโทดกลับแอโสนดในการหยุดยั้งโฟโตอิเล็กตรอนเทา่กบั
0.65 V ถา้ให้แสงท่ีมพีลงังาน 5.00 eV ตกกระทบโลหะชนิดเดียวกนั จะตอ้งใชค้วามตา่งศกัย์
หยุดยั้งกีโ่วลท์
48. ในปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ถา้ให้แสงท่ีมคีวามถ่ี 8x 1014 เฮิรตซ์ ตกกระทบโลหะชนิดหน่ึง
ปรากฏวา่ตอ้งใชค้วามตา่งศกัย์ในการหยุดยั้งโฟโตอิเล็กตรอนท่ีหลุดออกมา 1.3 โวลท์ จงหาคา่
พลงังานยึดเหน่ียวของโลหะท่ีใชใ้นการทดลองน้ี
1. 0 eV 2. 2 eV 3. 2.5 eV 4. 4.3 eV
49. เมือ่ให้แสงท่ีมคีวามถ่ีคา่หน่ึงตกกระทบลงบนผิวของทองค า ซ่ึงมคีา่พลงังานยึดเหน่ียว 4.8
อิเล็กตรอนโวลท์ แลว้ท าให้เกดิโฟโตอิเล็กตรอน และเมือ่ใชค้วามตา่งศกัย์หยุดยั้งเทา่กบั 8.4 โวลท์
จะไมม่กีระแสไหล จงหาคา่ความถ่ีของแสงท่ีใช ้
1. 0.5 x 1034 เฮิรตซ์ 2. 2.0 x 1034 เฮิรตซ์
3. 0.9 x 1015 เฮิรตซ์ 4. 3.2 x 1015 เฮิรตซ์
50. ฟังกช์นังาน W ของโลหะชนิดหน่ึง มคีา่ 2.3 eV เมือ่ฉายแสงไปยงัโลหะดงักลา่ว แสงท่ีใชต้อ้งมี
ความยาวคล่ืนน้อยท่ีสุดกีน่าโนเมตร จึงจะท าให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาจากผิวโลหดงักลา่ว โดย
ก าหนดให้คา่ hc = 1242 eV-nm
1. 400 2. 450 3. 540 4. 600
51. โลหะชนิดหน่ึงมคีา่พลงังานยุดเหน่ียวเทา่กบั 2.0 อิเล็กตรอนโวลท์ ถา้มแีสงท่ีมคีวามยาวคล่ืน 100
nm มากระทบ พลงังานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนท่ีออกมาจะเป็นกี่อิเล็กตรอนโวลท์
1. 6.4 eV 2. 10.4 eV 3. 14.4 eV 4. 18.4 eV
10
52. เมือ่ฉายรังสีอลัตราไวโอเลตท่ีมีความยาวคล่ืน 400 นาโนเมตร ไปท่ีผิวโลหะชนิดหน่ีงท่ีมคีา่
พลงังานยึดเหน่ียวเทา่กบั 1.8 อิเล็กตรอนโวลท์ โฟโตอิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะจะมพีลงังาน
จลน์เทา่ไร
1. 0 eV 2. 0.5 eV 3. 1.3 eV 4. 1.8 eV
53. แสงมคีวามยาวคล่ืน 180 นาโนเมตร ตกกระทบผิวโลหะทองแดงซ่ึงมคีา่พลงังานยึดเหนย่วของ
ทองแดงเทา่กบั 3.2 อิเล็กตรอนโวลท์ จงหาคา่พลงังานจลน์สูงสุดของอิเล็กตรอนท่ีหลุดจาก
ผิวทองแดง ก าหนดให้ อตัราความเร็วของแสงเทา่กบั 3 x 108 เมตรตอ่วนิาที และคา่นิจของพลงัค์
เทา่กบั 6.6 x 10-34 จูลวนิาที
1. 2.8 x 10-19 จูล 2. 3.2 X 10-19 จูล
3. 5.9 x 10-19 จูล 4. 6.6 x 10-19 จูล
54. ไฮโดรเจนท่ีสถานะพื้นฐาน (Ground State) ดูดกลืนโฟตอนซ่ึงมพีลงังาน 20 อิเล็กตรอนโวลท์แลว้
แตกตวัเป็นอิออน อิเล็กตรอนท่ีหลุดออกมาจะมพีลงังานจลน์เป็นกีอิ่เล็กตรอนโวลท์
1. 0 2. 6.4 3. 13.6 4. 20
55. ส าหรับผิวโลหะหน่ึงพบวา่ ความยาวคล่ืนขีดเร่ิมของแสงส าหรับผิวโลหะน้ีมคีา่เทา่กบั 3.1 x 10-7
เมตร ดงันั้นความตา่งศกัย์ไฟฟ้าหยุดยั้งเมือ่แสงมคีวามยาวคล่ืน 2.0 x 10-7 เมตร มาตกกระทบมคีา่
เทา่กบักีโ่วลท์
56. ในการทดลองเร่ืองปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตริก ให้แสงซ่ึงมคีวามยาวคล่ืน 4 x 10-7 เมตรตกกระทบ
ผิวโลหะ ซ่ึงถา้ตอ้งการจะให้อิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะไดน้ั้น จะตอ้งใชพ้ลงังานอยา่งน้องท่ีสุด
เทา่กบั 3.2 x 10-19 จูล ความตา่งศกัย์หยุดยั้ง(Stopping Potential) จะมคีา่เทา่ไร
1. 1.09 โวลท์ 2. 2.09 โวลท์ 3. 3.09 โวลท์ 4. 4.09 โวลท์
57. ในการทดลองปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กตริก เมือ่เขียนกราฟระหวา่งความตา่งศักย์ท่ีหยุดโฟโต
อิเล็กตรอนกบัความยาวคล่ืนท่ีส้ันท่ีสุดของแสง ถา้พลงังานท่ีตอ้งใชใ้นการท าให้อิเล็กตรอนหลุด
ออกจากผิวโลหะเทา่กบั 3 อิเล็กตรอนโวลท์ เส้นกราฟควรตดัแกนความยาวคล่ืนท่ีส้ันท่ีสุดของแสง
ท่ีคา่กีน่าโนเมตร
1. 410 2. 615 3. 820 4. 1025
58. นัยน์ตามนุษย์สามารถรับคล่ืนแมเ่หล็กไฟฟ้าพลงังาน 10 -18 จูลได ้ถา้คล่ืนแมเ่หล็กไฟฟ้าท่ีพลงังานน้ี
มคีวามยาวคล่ืน 6 x 10-7 เมตร โฟตอนท่ีนัยน์ตารับไดม้จี านวนกี่ตวั
1. 1 โฟตอน 2. 2 โฟตอน 3. 3 โฟตอน 4. 4 โฟตอน
11
59. เมือ่แสงท่ีมคีา่ความยาวคล่ืน λ0 = 170 nm ตกลงบนโลหะท่ีมคีา่พลงังานท่ีโลหะยึดอิเล็กตรอนไว ้
(W) = 2.2 eV จะเกดิโฟโตอิเล็กตรอนท่ีมคีวามเร็วคา่หน่ึง ถา้ตอ้งการให้เกดิโฟโตอิเล็กตรอนน้ีเป็น
จ านวนมากกวา่เดิมควรจะ
1. เพิ่มคา่ความยาวคล่ืน 2. ลดคา่ความยาวคล่ืน
3. เพิ่มคา่ความเขม้ 4. ขอ้ ข. และ ค.
60. รถคนัหน่ึงมมีวล 1,000 กโิลกรัม แลน่ดว้ยความเร็ว 72 กโิลเมตร/วนิาที ถา้คิดวา่รถยนต์คนัน้ีเป็น
คล่ืนจะมคีวามยาวคล่ืน เดอ บรอยด์ เทา่ไร
1. 0.92 x 10-38 เมตร 2. 3.3 x 10-38 เมตร
3. 0.33 x 10-38 เมตร 4. 1.1 x 10-38 เมตร
61. เมือ่ความเร็วของอิเล็กตรอนเพิ่มข้ึน 4 เทา่ ความยาวคล่ืนของ เดอ บรอยด์ จะมคีา่เป็นกีเ่ทา่ของความ
ยาวคล่ืนเดิม
1. 0.25 2. 0.5 3. เทา่เดิม 4. 2
62. จงหาความยาวคล่ืนของอิเล็กตรอน ซ่ึงเคล่ือนท่ีดว้ยพลงังานจลน์ 5 อิเล็กตรอนโวลท์ มวล
อิเล็กตรอนคือ 9.1 x 10-31 กโิลกรัม
1. 0.55 nm 2. 0.85 nm 3. 0.95 nm 4. 1.10 nm
63. ตามสมมติฐานของเดอ บรอยด์ อนุภาคนา่จะแสดงสมบติัของคล่ืนได ้ ดงันั้นรังสีเบตา(ซ่ึงมปีระจุ
และมวลเทา่กบัอิเล็กตรอน) ท่ีมพีลงังาน 858.50 keV นา่จะมคีวามยาวคล่ืนเทา่กบัเทา่ไร
1. 1.326 x 10-12 เมตร 2. 1.441 x 10-12 เมตร
3. 2.306 x 10-28 เมตร 4. 2.306 x 1032 เมตร
64. อนุภาคชนิดหน่ึงมมีวล 3.2 x 10-27 กโิลกรัม ประพฤติตนเป็นคล่ืนท่ีมพีลงังาน 1 เมกะอิเล็กตรอน
โวลท์ ความยาวคล่ืนของอนุภาคน้ีเทา่กบักีเ่มตร
1. 2.0 x 10-31 เมตร 2. 8.3 x 10-24 เมตร
3. 2.1 x 10-14 เมตร 4. 1.2 x 10-12 เมตร
65. ความยาวคล่ืนเดอ บรอยล์ ของอิเล็กตรอนเทา่กบั 0.10 นาโนเมตร พลงังานจลน์ของอิเล็กตรอนมคีา่
เทา่ไร
1. 2.4 x 10-17 j 2. 4.8 x 10-17 j
2. 2.0 x 10-16 j 4. 1.0 x 10-15 j
12
66. อนุภาคมวล m มพีลงังานจลน์เพิ่มข้ึนเป็น 4 เทา่ของพลงังานจลน์เดิม ความยาวคล่ืนเดอ บรอยด์ของ
อนุภาคน้ีในคร้ังหลงัจะเป็นกีเ่ทา่ของความยาวคล่ืน เดอ บรอย์คร้ังแรก
1. 1
2 เทา่ 2. 2 เทา่ 3. 4 เทา่ 4. 8 เทา่
67. ถา้มวลของอนุภาค A เป็นคร่ึงหน่ึงของมวลอนุภาค B เมือ่อนุภาคทั้งสองมพีลงังานเทา่กนัอนุภาค A
จะประพฤติตวัเป็นคล่ืนท่ีมีความยาวคล่ืนเป็นกีเ่ทา่ของอนุภาค B
1. 1
2 2.
1
√2 3. √2 4. 2
68. ไฮโดรเจนไอออน (H+) และฮีเลียมไอออน (He+) ถูกเรง่ดว้ยสนามไฟฟ้า 106 โวลท์ ไฮโดรเจน
ไอออนจะมคีวามยาวคล่ืน เดอ บรอยด์ เป็นกีเ่ทา่ของฮีเลียมไอออน
1. √2 เทา่ 2. 1
2 เทา่
3. 2 เทา่ 4. 4 เทา่
69. ไฮโดรเจนอะตอมอยูใ่นสถานะกระตุน้มพีลงังานเทา่กบั – 0.9 x 10-19 j คา่ความยาวคล่ืนเดอ บรอยด์
ของอิเล็กตรอนในอะตอมน้ีคือข้อใด
1. 1.6 x 10-9 m 2. 2.2 x 10-6 m
3. 3.2 x 10-9 m 4. 2.5 x 10-10 m
70. หลกัความไมแ่นน่อนของไฮเซนเบอร์ก กลา่ววา่ ผลคณูระหวา่งความไมแ่นน่อนทางต าแหนง่กบั
ความไมแ่นน่อนทางโมเมนตัม จะมคีา่อยา่งไร
1. น้อยกวา่คา่นิจของพลงัค์หารดว้ย 2π
2. เทา่กบัคา่นิจของพลงัค์หารดว้ย 2π
3. มากกวา่คา่นิจของพลงัค์หารดว้ย 2π
4. มากกวา่หรือเทา่กบัคา่นิจของพลงัค์หารด้วย 2π