Upload
robert-amsterdam
View
45.820
Download
11
Embed Size (px)
DESCRIPTION
คำร้องเพื่อขอให้มีการสอบสวนสถานการณ์เกี่ยวกับการกระทำอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในราชอาณาจักรไทย
Citation preview
1
คำร้องเพื ่อขอให้ม ีการสอบสวน
สถานการณ์เก ี ่ยวก ับการกระทำอันเป ็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ในราชอาณาจักรไทย
ยื่นโดย
สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ด ัมแอนด์เพรอฟฟ์
ในนาม
แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
ต่อ
สำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ
กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์
31 มกราคม พ .ศ . 2553
2
สารบัญ
1. บทนำ 6
2. เหตุการณ์อันนำไปสู่รัฐประหารปี พ.ศ. 2549 10
การขึ้นสู่อำนาจของทักษิณ ชินวัตร 11
เหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 12
กฎเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 12
นโยบายทำลายการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงโดยทางก
าร
14
3. การสังหารหมู่กรุงเทพมหานคร 16
3.1 การทำลายประชาธิปไตยโดยอภิสิทธ์ 16
3.2 เหตุการณ์ประชาชนลุกฮือในวันสงกรานต์ 18
3.3 การสังหารหมู่ปี 2553 20
3.4 การบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉิน 21
พรบ.ความมั่งคงภายในราชอาณาจักร 57
พรก.ฉุกเฉิน 58
3.5 ยุทธศาสตร์การสร้างความตึงเครียด 61
4. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 69
4.1 องค์ประกอบทั่วไป 70
การสังหาร 71
3
การคุมขังและการลิดรอนเสรีภาพทางร่างกายอย่างร้ายแรงใ
นลักษณะอื่น
73
การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมลักษณะอื่น 75
การคุกคามทางการเมือง 81
4.2 องค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรม 82
การทำร้ายจะต้องเป็นการกระทำ “มุ่งโดยตรงต่อพลเรือนโดยรวม”
82
เป็นการกระทำผ่านนโยบายรัฐหรือองค์กร
83
การกระทำที่ระบุนี้เป็นการกระทำที่อาจถือเป็น”การทำร้ายอย่างกว้างขวางหรือเป็นระบบ
84
ความสัมพันธ์ของการกระทำแต่ละกรรมและการทำร้าย
85
เจตนาหรือการรับรู้ 86
4.3 ความรับผิดทางอาญา 86
ความรับผิดชอบทางอาญาของบุคคล
87
การรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา
90
การเทียบเคียงกับกรณีของไทย
91
4
5. เขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ 93
5.1 การร้องทุกข์โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 94
สิทธิของคณะมนตรีความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับธรรมนูญของศาลอาญาระหว่างประเทศ
95
ข้อกำหนด
95
บรรทัดฐาน
96
เทียบเคียงกับคดีในปัจจุบัน
96
5.2 เขตอำนาจเหนือบุคคล 97
สถานการณ์ในอดีต
97
กฏการคุ้มกันจากการรับโทษ
97
เทียบเคียงกับคดีในปัจจุบัน
97
5.3 สรุป 98
6. หลักเกณฑ์การรับพิจารณาคดี 98
6.1 ความร้ายแรงแห่งคดี 99
5
6.2 ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาคดี เมื่อรัฐล้มเหลวในการดำเนินการดังกล่าว
99
“หยุดนิ่ง” หรือ “ไม่เต็มใจ”
99
หลักการไม่พิจารณาคดีซ้ำ
100
6.3 ปรับใช้กับสถานการณ์ไทย 101
ประวัติความเป็นมาของการละเว้นโทษ
102
การขาดความเป็นอิสระของระบบตุลาการ 104
กรมสอบสวนคดีพิเศษ
105
การดำเนินคดีกับคนเสื้อแดง
110
สร้างความซับซ้อนโดยใช้กระบวการ “ปรองดองสมานฉันท์”
112
6.4 สรุป 115
7. หนทางบรรเทาทุกข์ 115
อ้างอิง 117
ภาคผนวก
บทนำ
6
วันที่ 11 มีนาคม 2553 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (“นปช.”) หรือ “เสื้อแดง” มากกว่าหนึ่งแสนคนจากทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมสมทบการชุมนุมกับชาวกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนหลายหมื่นคนในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประ
วัติศาสตร์ของประเทศไทย กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกการชุมนุมครั้งนี้ว่าเป็น “การต่อสู้เพื่อต่อต้านเผด็จการครั้งสุดท้าย” ปฎิญานว่าจะไม่ยุติการชุมนุมจนกว่านายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะยอม “ยุบสภา” “คืนอำนาจให้กับประชาชน” และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ สองเดือนหลังจากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงยังคงปักหลักอยู่หลังแนวค่ายผู้ชุมนุมที่สร้างขึ้นในพื้นที่ยุ
ทธศาสตร์และเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญใจอยู่กลางกรุงเทพฯ การแสดงพลังทางการเมืองครั้งใหญ่เป็น ความพยายามของคนไทยที่จะต่อสู้กับการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างต่อ
เนื่อง สิทธิดังกล่าวคือสิทธิในการกำหนดทางเลือกของตนผ่านการเลือกตั้งอย่างแท้จริงที่ดำรงอยู่บนฐานของเจตจำนงของประชาชน
การโจมตีระบอบประชาธิปไตยเริ่มขึ้นด้วยการวางแผนและการลงมือทำรัฐประหาร ในเดือนกันยายน 2549 ด้วยความร่วมมือของสมาชิกในคณะองคมนตรี ผู้บัญชาการทหารของไทยทำการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งชนะการเลือกตั้งมาถึง 3 สมัยติดต่อกัน คือในปี 2544, 2548 และ 2549 ระบอบที่การรัฐประหารตั้งขึ้นได้เข้าควบคุมหน่วยงาน ต่างๆ ของรัฐบาล ยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของแกนนำพรรคเป็นเวลา 5 ปี เมื่อพรรคการเมืองที่สืบทอดจากพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2550 ได้ก็กลับถูกศาลเฉพาะกิจ อันประกอบไปด้วยผู้พิพากษาที่แต่งตั้งโดยผู้ทำการรัฐประหารตัดสินให้ยุบพรรคพร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของแกนนำพรรคเป็นเวลา 5 ปี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพียงเพราะว่าพรรคการเมืองต่างๆ
7
ที่ชนะการเลือกตั้งในช่วงที่มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยไปทั้งหมดสี่ครั้งก่อนนั้นถูกบังคับให้ยุบสภาอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย การทำรัฐประหารในปี 2549 ถือเป็นการเริ่มต้นในการพยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจของชนชั้นสูงที่เป็นกลุ่มนายทุนเก่า นายทหารระดับสูง ข้าราชการระดับสูง และกลุ่มองคมนตรี – กลุ่มคนที่ในคำร้องนี้จะอ้างถึงโดยรวมว่า “กลุ่มอำนาจเก่า” การฟื้นฟูระบบการปกครองเก่าของไทยนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย การบังคับการเลือกตั้งที่มีมาจนถึงปัจจุบันที่สำคัญ ท้าทายทางประวัติศาสตร์ของอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่า ต่อมาก็เอารูปแบบของนโยบายร่วมกันที่ เรียกร้องอะไรที่ไม่มากไปกว่าการทำลายการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังทำอยู่ในขณะนี้
โดยแท้จริงแล้ว ตามรายละเอียดด้านล่าง หลังจากการรัฐประหารในปี 2549 เกือบจะทันทีที่ผู้นำทางการทหารและผู้นำทางการเมืองภายในกลุ่มอำนาจเก่าเห็นพ้องต้องกันว่าคนเสื้อแดงจะลุกขึ้นต่อต้านเผด็จการทหารและรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่กำหนดให้กับคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลุ่มอำนาจเก่าวางแผนและดำเนินการวิธีการตอบโต้ทางทหารโดยการเตรียมมาตรการในการปราบปรามการที่รุนแรงต่อการชุมนุมเคลื่อนไหว ภายใต้การกำกับของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผู้ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็น ผู้บัญชาการทหาร กองทัพบกไทยฝึกซ้อมการปฎิบัติภารกิจโดยจำลองการฝึกซ้อมจากเหตุการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พวกเขารวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการปฎิบัติการลับ ซึ่งรวมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจำนวน 150 คนที่มีความชำนาญมากที่สุด เชียวชาญการใช้ปืนสไนเปอร์และพลแม่นปืนต่างๆ ที่มาจากค่ายทหารทุกแห่ง กลุ่มคนเหล่านี้กลายมาเป็นกลุ่มคนที่รู้จักในชื่อเรียกว่า"มือที่สาม" และ "ชายชุดดำ" ที่ลึกลับ กลุ่มคนที่นายกรัฐมนตรีกล่าวโทษซ้ำ ๆ ว่าเป็นกลุ่มคนที่ก่อความรุนแรงในปี 2553 -‐-‐ เรื่องราวเหล่านี้ประติดประต่อกันเพื่อสร้างความเข้าใจผิด ๆ ที่ว่าคนเสื้อแดงเป็นอันตราย และเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
8
ตามที่กล่าวไว้ข้างบน แน่นอนที่สุดว่า ทันทีหลังจากเหตุการรัฐประหารในปี 2549 นักการเมืองและผู้นำทหารคนสำคัญจากกลุ่มอำมาตย์ลงความเห็นว่าคนเสื้อแดงจะลุกฮือประท้วงรัฐบาลทหารและรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งซึ่งเป็นรัฐบาลที่กลุ่มอำมาตย์เลือกขึ้นมา กลุ่มอำมาตย์จึงวางแผนในการใช้กำลังทหารตระเตรียมการกดขี่โดยใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา-‐ซึ่งภายหลังถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก-‐กองทัพไทยซ้อมรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมโดยใช้เหตุการณ์จตุรัสเทียนอันเหมินเป็นแบบอย่าง พวกเขารวบรวมทีมผู้เชียวชาญในการปฏิบัติการลับ รวมถึงกลุ่มพลซุ่มยิงและนักแม่นปืนได้ได้รับการฝึกฝนอย่างดีและชำนาญทั้ง 150 คน จากทหารในหน่วยต่างๆ กลุ่มชายเหล่านี้ต่อมารู้จักกันในนาม “มือที่สาม” หรือ “กลุ่มชายชุดดำ” ปริศนา กลุ่มคนที่นายกรัฐมนตรีมักจะหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างบ่อยครั้งในปี 2553-‐เรื่องราวถูกประติดประต่อเพื่อสร้างภาพหลอกๆว่าคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มที่เป็นภัยและอันตรายต่อสถาบันกษัตริย์
การชุมนุมของคนเสื้อแดงดำเนินมาจนถึงวันที่ 66 ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เมื่อรถหุ้มเกราะบดขยี้แนวกั้นที่ทำขึ้นชั่วคราวรอบสี่แยกราชประสงค์ในกรุงเทพฯ และทะลวงค่ายชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งนี่เป็นแผนปฎิบัติการสลายการชุมนุมครั้งที่ 2 ของทางกองทัพบก หลายสับปดาห์ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 10 เมษายน กองกำลังทหารพยายามสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าฯ การปฎิบัติการทหารยามค่ำคืนที่ตามมาทันที – นำโดยกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ภายใต้คำสั่งของพลเอก ประยุทธ – ทำให้มีผู้เสียชีวิต 27ราย รวมทั้งทหารจำนวนหยิบมือหนึ่งที่เสียสละชีวิตเพื่อให้เป็นข้ออ้างในการเปิดฉากยิงพลเรือนที่ปราศจากอาวุธเป็นพันๆ คนที่รวมตัวกันอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและบริเวณสี่แยกคอกวัว
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 55 รายจากการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ ระหว่างวันที่ 13 และ 19 พฤษภาคม ทางทิศใต้ของราชประสงค์ กองพันทหารม้าที่ 2 นำโดยพลตรี สุรศักดิ์ บุญศิริ รับคำสั่งภายใต้ผู้บัญชาการทหาร อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตั้งเขตการใช้กระสุนจริงตรงถนนรามา 4
9
โดยมีคำสั่งด้วยวาจาให้ยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว ทหารเหล่านี้ยังได้รับคำสั่งให้ป้องกันมิให้มีภาพถ่ายการสังหาร (ซึ่งนำไปสู่การระบุเป้านักข่าว) และป้องกันมิให้มีการเคลื่อนย้ายศพผู้เสียชีวิต (ซึ่งนำไปสู่การระบุเป้าบุคคลากรทางการแพทย์) คำสั่งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก "การปฎิบัติการข่าวกรอง"ของกองทัพที่ให้ทหารแฝงตัวเป็นคนขับรถพยาบาลขับรถรับศพไปยังโรงพยาบาล 2 แห่งที่ได้มีการนัดแนะกันเอาไว้ เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการเผาศพเพื่อทำลายหลักฐานที่จะใช้ในการเอาความผิด กองพลทหารราบที่ 1 ภายใต้คำสั่งของพลตรี กัมปนาท รุดดิษฐ์ ได้รับคำสั่งเดียวกันนี้ในการปฎืบัติภารกิจในพื้นที่ดินแดงและราชปรารภพื้นที่ทางตอนเหนือของราชประสงค์
วันที่ 13 พฤษภาคม หนึ่งในพลซุ่มยิงที่ปฎิบัติภารกิจลับของกองทัพบได้ยิงกระสุนลึกลับที่สังหารพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล (รู้จักในชื่อ เสธ.แดง) ในขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์สดกับนักข่าวจาก New York Times
วันที่ 19 พฤษภาคม กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พร้อมการสนับสนุนจากกรมรบพิเศษที่ 3 บุกทลายแนวกั้นของคนเสื้อแดงเพื่อสังหารกลุ่มแกนนำตามคำสั่งที่ได้รับ อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวภายกองทัพบกได้แจ้งรายละเอียดของคำสั่งนี้ต่อแกนนำคนเสื้อแดงทันเวลาที่แกนนำจะเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการประกาศยอมแพ้ ได้มีผู้ชุมนุมมากกว่าพันคนหลบเข้าไปอยู่ใกล้ๆ กับวัดปทุมวนาราม ที่ๆ ผู้ชุมนุมที่หนีออกจากบริเวณราชประสงค์เห็นว่าปลอดภัย แต่พลซุ่มยิงที่อยู่รางรถไฟฟ้ายิงสังหารพลเรือนที่ปราศจากอาวุธจำนวนทั้งสิ้น ๖ ศพ เป็นอาสาสมัครพยาบาล 3 ศพ ในช่วงเย็นของวันที่ 19 พฤษภาคม
ต่อมาผู้นำกองทัพได้หาที่ซ่อนปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AK-‐47 และระเบิดต่างๆ ได้ภายในวัดและภายในสวนลุมพินี ซึ่งพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำกองทัพบก ได้แสดงให้เห็นในการแถลงข่าวที่เรียกว่าเป็น "การค้นพบ"
นับถึงเวลาที่ทหารได้เข้าเคลียร์พื้นที่ราชประสงค์เป็นที่เรียบร้อย อาคารพาณิชย์สำคัญๆ มากกว่า 30 แห่งยังคงมีควันกรุ่น
10
คนเสื้อแดงตกเป็นผู้สงสัยในการลอบวางเพลิงครั้งนี้ พยานปากสำคัญที่ถูกวางตัวไว้ภายในทำเนียบรัฐบาลและกองทัพบกให้การว่าเหตุการณ์เหล่านี้ถูกทางกองทัพจัดเตรียมล่วงหน้าหลายสัปดาห์ โดยมีการรู้เห็นและยินยอมจากทางเจ้าของอาคารเหล่านี้ เพื่อเป็นการสร้าง “หลักฐาน” เพิ่มเติมในการมีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงของคนเสื้อแดง ในขณะที่มีบันทึกคำให้การของพยานผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายร้อยรายการและเอกสารที่เป็นคลิปวีดีโอเป็นพันๆ รายการที่บันทึกการใช้กระสุนจริงของทหารกองทัพบกต่อพลเมืองที่ปราศจากอาวุธ นักข่าว และบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน ทางรัฐบาลไทยได้อำพรางหลักฐานอย่างเป็นระบบ แทนที่จะยืนหยัดต่อหน้าที่ภายใต้กฎหมายระหว่างปรเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการสังหารและนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รัฐบาลกลับเปลี่ยนแปลงข้อมูลการตรวจสอบข้อเท็จจริง ข่มขู่พยานผู้ให้การตามความเป็นจริง และตั้งข้อหาที่ไม่ถูกต้องให้กับแกนนำคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เพื่อหันเหความผิดทางอาญาของรัฐบาล ที่จริงแล้ว กระบวนการพิจราณาคดีของศาลต่อแกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งอาจมีโทษร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิตนั้นเต็มไปด้วยการปฎิบัติที่ไม่เป็นไปตามระเบียบเช่น การไม่รับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและการที่ศาลปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของแกนนำเสื้อแดง เจ้าหน้าที่ของกองทัพบกที่มีส่วนร่วมในภารกิจการสลายการชุมนุม รวมทั้งผู้ตรวจสอบที่จัดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลรายงานเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของรัฐบาล ต่างก็ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งทั้งสิ้น
พยานนับร้อยๆ คน และวิดีโอคลิปพันๆ คลิป ได้บันทึกการใช้กระสุนจริงอย่างเป็นระบบโดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของไทยต่อ พลเรือนที่ไร้อาวุธ รวมถึงนักข่าวและเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินในเดือนเมษายนและพฤษภาคม รัฐบาลไทยทำลายหลักฐานของอาชญากรรมอย่างเป็นระบบ แทนที่จะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศสอบสวนเหตุการณ์สังหารและดำเนินคดีกับบุคคลผู้มีส่วนรัลผิดชอบ แต่รัฐบาลกลับควบคุมทิศทางการสอบสวน ข่มขู่พยานที่พูดความจริง
11
และจับกุมแกนนำเสื้อแดงด้วยข้อหาผิดๆด้วยข้อหา “ก่อการร้าย” เพื่อเบี่ยงแบนความสนใจไปจากอาชญากรรมที่รัฐบาลกระทำ และแน่นอนที่สุดว่ากระบวนการดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดง ซึ่งเป็นคดีที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตนั้นไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ รวมถึงการกันหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีออกไปอย่างไม่เหมาะสม และศาลไม่อนุญาติให้แกนนำเสื้อแดงเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง นอกจากนี้บุคคลในกองทัพไทยและพนักงานสอบสวนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมทิศทางรายงานคดีให้สอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลยังได้รับการเลื่อนขั้นหรือไม่ก็จะได้รับการเลื่อนขึ้น
เป็นเวลาหลายเดือนตั้งแต่มีการสลายการชุมนุม ความวามพยายามของรัฐบาลในการทำลายขบวนการคนเสื้อแดงยังคงไม่เป็นผล รัฐบาลของนายกอภิสิทธิ์ยังคงต้องใช้ “ยุทธศาสตร์ความตึงเครียด” ต่อไป ให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทางการเมืองจัดฉากเหตุการณ์รุนแรงต่างๆ และทำให้ประชาชนหวาดกลัวแล้วป้ายความผิดมาให้กับการชุมนุมที่สงบเพื่อเป็นการรักษาความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมต่อไป ในขณะที่ การปราบปรามการแสดงออกอย่างเสรีที่รุนแรง ใช้มาตรการในการตรวจสอบสื่ออย่างเข้มงวดและมีการใช้กฎหมายดราโก ครอบงำความเห็นแย้งที่มีเหตุผลและชอบธรรม ผู้ประท้วงหลายร้อยรายยังคงถูกควบคุมตัวในข้อหาฝ่าฝืนและละเมิดพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในและพระราชกำหนดฉุกเฉิน -‐-‐ ตามรายงานระบุว่ามีผู้ประท้วงหลายรายถูกผู้คุมทำร้ายและทรมาน นอกจากนั้นยังมีรายงานว่ามีแกนนำท้องถิ่นหลายคนเสียชีวิตในจังหวัดชลบุรี, โคราช, ปทุมธานีและเชียงใหม่
หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในประเทศไทยที่ร้ายแรงที่สุด นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ปรกาศให้มี “การปรองดอง” การตรวจสอบข้อเท็จจริง การยอมเจรจา และการเดินหน้าเข้าหาการเลือกตั้งที่อาจจะช่วยแก้ไขการเข้ามาเป็นรัฐบาลของนายกอภิสิทธิ์ที่ไม่ได้มาจากอำนาจประชาธิปไตยที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเวลาหลายเดือนที่รัฐบาลทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำประกาศที่ให้ไว้ แสดงการใช้อำนาจเข้าครอบงำทำลาย ซึ่งต่างจากวาทศิลป์ที่นายกอภิสิทธิ์ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง การเพิกเฉยของรัฐบาลต่อหน้าที่ในการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ความรุนแรง การปิดกั้นสื่อทางเลือก
12
และการก่อกวนการชุมนุมประท้วงของเสื้อแดง หมายถึงการ “ปรองดอง” ซึ่งแท้จริงแล้วคือ “การยกเว้นโทษให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ” รวมถึงการคืน “ความสมานฉันท์” ที่ทำโดยการโฆษณาชวนเชื่อและการปราบปรามการชุมนุม
ในขณะที่รัฐบาลไทยได้ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งตามมาด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตของพลเรือนหลายสิบชีวิต ซึ่งสมควรที่จะได้รับการพิจารณา กลับมีระบบที่เลือกปฏิบัติด้วยการลิดรอนสิทธิทางการเมืองของบุคคลและจำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเมืองผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล รวมทั้งมีกักขังและการล่วงละเมิดของผู้ถูกจองจำนับร้อย เปิดโอกาสให้มีการกระทำทารุณอย่างร้ายแรง ซึ่งรวมไปถึง กระบวนการที่ยืดเยื้อ ซึ่งมีความจำอย่างที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ที่ซึ่งเคยมีเหตุการณ์สังหารหมู่ที่คล้ายกันในปี 2516, 2519 , และ 2535 และไม่เคยมีการสอบสวนลงโทษมากก่อนหรือลงโทษต่อการกระทำที่สังหารพลเรือน เป็นที่เห็นได้ชัดเจนในเวลานี้ว่า การกดดันจากนานาชาติจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของการสังหารหมู่ในกรุงเทพฯ ว่ามิใช่เป็นเพียงแค่การพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้สับสน เพื่อป้องกันกลุ่มคนที่มีส่วนในการรับผิดชอบ ต่อการใช้ความรุนแรงหลายต่อหลายครั้งของรัฐบาลในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยรอดพ้นจากความยุติธรรม
ด้วยเหตุนี้คำร้องเบื้องต้นนี้ได้ถูกยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ("ICC") ในกรุงเฮกประเทศเนเธอร์แลนด์ ขอให้อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศได้ลงมือตรวจสอบรายงานเบื้องต้นของการการะทำที่อาจถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในราชอาณาจักรไทยในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 จนถึงปี 2553การสังหารหมู่และผลที่ตามมา ผู้ร้อง ทราบดีว่าประเทศไทยมิได้ให้สัตยาบันและลงนามบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ผู้ร้องประสงค์จะพิสูจน์ว่า
ก. เหตุการณ์ในประเทศไทยอาจสามารถเรียกร้องความยุติธรรมได้ในศาลอาญาระหว่างประเทศ
13
โดยผ่านการแนะนำโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ภายใต้มาตรา 13 (b) ของธรรมนูญแห่งโรม
ข. อย่างน้อยกับนายกรับมยตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้ทีได้ให้อำนาจอย่างชัดเจนในการสังหารพลเรือนตามนโยบายในการทำลายขบวนการเสื้อแดงตามนโยบายที่จะทำลายการเคลื่อนไหวเสื้อแดง – ศาลอาญาระหว่างประเทศมีหลักอำนาจพิจารณาตามประเภทของคู่กรณี นายอภิสิทธิ์ในความเป็นจริงเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรซึ่งได้ให้สัตยาบันและลงนามบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
ค. เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ
ง. ผู้นำทางการเมืองและทหารของประเทศไทยต้องรับผิดชอบต่อการกระทำความผิดทางอาญาเหล่านี้
วันที่ 25 ตุลาคม 2553 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ส่งคำร้องเบื้องต้นต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ รายงานเบื้องต้นฉบับนี้ระบุหลักฐานเบื้อง้ต้นเป็นเหตุผลอันสมควรให้เชื่อว่ารัฐบาลและกองทัพบกได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ตามมาตราที่ 5 ธรรมนูญแห่งกรุงโรม (ให้คำจำกัดความในมาตราที่ 6 , 7 และ 8) – การกักขังและการลิดรอนอิสรภาพทางร่างกาย รวมถึงการกลั่นแกล้งทางการเมือง และการฆาตรกรรม ในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นพลเมืองเกือบ 90 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 2,000 ราย ตามหลักฐานที่ปรากฏในรายงานเบื้องต้น การกระทำที่มีความผิดทางอาญาของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตามกฎหมายอาญาระหวางประเทศ
รายงานล่าสุดได้ระบุถึงการใช้อำนาจศาลขั้นพื้นฐานในการตรวจสอบและนำเสนอหลักฐานใหม่ที่ยืนยันต่อคณะกรรมการของการก่ออาชญากรรมดังกล่าวข้างต้น ระบุรายละเอียดในเรื่องที่เกี่ยวกับความรับผิดของบุคคลทางอาญาและความรับผิดของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อหลักฐานใหม่ที่พบ สุดท้าย
14
แม้ว่าเอกสารคำร้องเบื้องต้นร้องขอให้อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาข้อมูล โดยหวังให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในอนาคต คำร้องนี้มีคำร้องทุกข์ที่มีรายละเอียดเฉพาะที่ส่งถึงอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย
2. ความเป็นมา :
เหตุการณ์อ ันนำไปสู ่ร ัฐประหารปี พ .ศ . 2549
ตามทางการ ประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการ
ปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2475 โดยการปฏิวัติของคณะราษฎร อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่การเปลี่ยนผ่านทางอำนาจส่วนใหญ่มักจะไม่ผ่านขั้นตอนใน
ระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านโดยการทำรัฐประหารของทหาร ยกเว้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆสามช่วงที่อาจเรียกว่าเป็นประชาธิปไตย "แท้จริง" (2489-‐2490, 2516-‐2519, 2531-‐2535) ซึ่งทั้งช่วงระยะเวลาทั้งหมดถูกปิดฉากโดยการแทรกแซงของทหาร ตั้งแต่ปี 2475ประเทศไทยได้ถูกครอบงำโดยทหารที่แฝงตัวและผสมกลมกลืนไปในรูปแบบที่แตกต่างในระบอบประชาธิปไตยและอำนาจนิยม อย่างไรก็ตามสิ่งที่คล้ายกันของรัฐบาลเหล่านี้คือ อำนาจสูงสุดถูกใช้โดยกลุ่มอำมาตย์ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง – เครือข่ายของข้าราชการพลเรือนและทหาร รวมถึงกลุ่มธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่และที่ปรึกษากษัตริย์ รูปแบบการปกครองได้หยุดชะงักอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เดือนพฤษภา
คม 2535 เมื่อประวัติศาสตร์การใช้ความรุนแรงระหว่างพลเรือนและทหาร ("พฤษภาทมิฬ") ได้ถูกจารึกไว้ ตลอดระยะเวลาห้าปีหลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬได้เกิดการเคลื่อนไห
วของกระบวนการของการปฏิรูปจนเกิดเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีผลป
15
ระกาศใช้ในวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่สร้างเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดเป็นประวัติก
ารณ์ นำพาประเทศไทยไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
การขึ ้นส ู ่อำนาจของทักษ ิณ ชินว ัตร
ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่การเมืองในปี 2537 ด้วยการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในระยะสั้น หลังจากนั้น ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีสองครั้งในรัฐบาลสองชุด ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ทักษิณจัดตั้งพรรคไทยรักไทย และชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี ๒๕๔๔ ซึ่งทักษิณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ทักษิณและพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมและได้รับชัยชนะในการ
เลือกตั้งอีกครั้งในปี 2548 ซึ่งถือเป็นความประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เมื่อพรรคไทยรักไทยครอง
จำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรถึงสามในสี่ และส่งผลให้ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง
หลังจากการชนะเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนมาก รัฐบาลพยายามควบคุมและกำหนดนโยบาย โดยมีนโยบายให้ทหารอยู่ภายใต้การควบคุมพลเรือน เพื่อที่จะรักษาระบบเก่า กลุ่มอำมาตย์สนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลให้ออกมาประท้วงบนท้องถนน โดยเรียกร้องให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทหารเข้ามาแทรกแซงการเมือง โดยขับไล่รัฐบาลไทยรักไทยของทักษิณออกไป ด้วยกล่าวหาที่ว่าทักษิณไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ถูกนำมาใช้กล่าวหาบุคคลที่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ขอ
งกลุ่มอำมาตย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ความขัดแย้งอย่างรุนแรงยังเกิดจากกรณีที่ครอบครัวชินวัตรได้ทำการขา
ยบริษัทชินคอร์ป ซึ่งในขณะนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
16
ก่อนการเลือกตั้งปี 2544 ทักษิณได้ขายกิจการของเขาในบริษัทชินคอร์ป โดยการโอนหุ้นของเขาให้กับบุตรคนโตสองคน ในต้นปี 2549 ครอบครัวชินวัตรได้ขายหุ้น 49.6 เปอร์เซ็นต์ให้กับบริษัท เทมาเส็กโฮลดิ้ง ซึ่งเป็นหน่วยงานกองทุนสำรองของประเทศสิงคโปร์ นักวิจารณ์ออกมาวิจารณ์การกระทำครั้งนี้ว่า ทักษิณขายทรัพย์สินของชาติให้ต่างชาติและถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในท
างมิชอบและใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ระยะเวลาของการขายหุ้นของทักษิณทำให้กลุ่มผู้ต่อต้านทักษิณได้เปรียบ โดยในวันที่ 4-‐5 กุมภาพันธ์ 2549ผู้ต่อต้านจำนวนห้าหมื่นคน โดยการนำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกประท้วงต่อ
ต้านทักษิณ โดยเรียกร้องให้ ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณตอบโต้ด้วยการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและกำหนดให้มีการเ
ลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 โดยครั้งนั้น ฝ่ายค้านประท้วงผลการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งในครั้งนั้นพรรคไทยรักไทยยังได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่หลังจากนั้น ศาลกลบัตัดสินว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิพากษามีมติให้ลงคะแนนใหม่ในเดือนตุลาคม ตามรายงานระบุว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดรัฐประหาร ในขณะเดียวกัน รถที่บรรจุวัตถุระเบิดรวมเจ็ดสิบกิโลกรัมถูกพบอยู่ใกล้กับบริเวณที่พักของ
ทักษิณ
ร ัฐประหารปี 2549
ในวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะที่ทักษิณ ชินวัตรเข้าร่วมการประชุมของสมัชชาสหประชาชาติ ณ กรุงนิวยอร์ก กองกำลังทหารได้เข้าควบคุมพื้นที่กรุงเทพมหานคร รัฐบาลเผด็จการทหารนำโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน และเป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า the Council for Democratic Reform (“CDR”) หรือ
17
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเ
ป็นประมุข พลเอกสนธิได้ยึดอำนาจโดยอ้างถึง "ความแตกแยก" ของคนไทย และ "สัญญาณการทุจริตที่รุนแรงขึ้นตามลำดับ" รวมไปถึง"การแทรกแซง”การดำเนินงานของหน่วยงานอิสระของรัฐ พลเอกสนธิควบคุมรัฐบาลทั้งหมด และวางรากฐานเพื่อการฟื้นฟูบทบาททางการเมืองของทหารที่เคยมีในระ
ยะเวลาอันยาวนาน พลเอกสนธิฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ยกเลิกวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีและศาลรัฐธรรมนูญ พลเอกสนธิกำหนดให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากกลุ่มผู้นำของ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเ
ป็นประมุข (คือตัวของเขาเอง) และประกาศว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะถูกเลื่อนออกไปหนึ่งปี นอกจากนี้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเ
ป็นประมุข ยังกำหนดข้อห้ามมิให้มีการชุมนุมทางการเมืองใด ๆ ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป
กฎเกณฑ์ในร ัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 รัฐบาลเผด็จการทหาร ได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งมีผลให้ประกาศและคำสั่งทั้งหมดที่ออกโดยคณะปฏิรูปการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจากเหตุการณ์รั
ฐประหารมีความถูกต้อง ชอบธรรมและสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังกำหนดให้มีร่างรัฐธรรมนูญใหม่แ
บบถาวร ซึ่งเป็นกระบวนการที่คณะปฏิรูปใช้สิทธิเด็ดขาดควบคุมโดยตรง และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการคัดค้านการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ รัฐบาลเผด็จการทหารได้ระดมประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ อีกทั้งยังออกข้อกำหนดและข้อบังคับที่เข้มงวดเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่มี
โอกาสแสดงการต่อต้านการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ หลังจากการลงประชามติ
18
รัฐธรรมนูญถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 24 สิงหาคม 2550ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2549ในหลายประการด้วยกัน
หลังการทำรัฐประหาร พลเอกสนธิได้ประกาศยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ และแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคไทยรักไทยและห้ามกรรมการระดั
บสูงจำนวน 111 รายจากพรรคไทยรักไทยทำกิจกรรมอันเกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นเวลาห้
าปี โดยใช้พระราชบัญญัติซึ่งทำให้กฎหมายมีผลย้อนหลัง ตามกฎหมายที่พลเอกสนธิประกาศใช้ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคมปี 2550 ได้อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยจัดกลุ่มพรรคการเมืองใหม่ภายใต้ชื่อ “พรรคพลังประชาชน” (พปช.)ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พรรคพลังประชาชนได้รับชัยชนะในการเลือกทั่วไปตั้งครั้งแรกหลังจากเห
ตุการณ์รัฐประหาร ซึ่งจัดขึ้นในเดือนธันวาคม
2550 พรรคพลังประชาชนมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งนำโดยนายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสัญญาณแห่งความจงรักภักดีของผู้สนับส
นุนทางการเมืองที่ยังมีต่อทักษิณ ชินวัตร ในช่วงเวลานี้ กลุ่มพันธมิตรได้รวมตัวกันอีกครั้งบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร และตั้งเวทีบนถนนราชดำเนิน และชุมนุมอย่างสงบในปลายเดือน พฤษภาคม 2548 แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มพันธมิตรได้เริ่มเผชิญหน้าและมีความรุนแรงเพิ่มมาก ปลายเดือนสิงหาคม การ์ดติดอาวุธกลุ่มพันธมิตรบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ในกรุงเทพมหานคร สำนักงานหลายกระทรวงถูกทำลาย และกลุ่มพันธมิตรยังเข้ายึดพื้นที่ของทำเนียบรัฐบาล ทำร้ายร่างกายและกันไม่ให้รัฐบาลเข้าไปทำงาน ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตร ได้ยึดสนามบินจังหวัดภูเก็ต กระบี่และหาดใหญ่ รวมถึงปิดกั้นถนนสายสำคัญและทางหลวงหลายแห่ง นอกจากนี้กลุ่ม พันธมิตรยังได้เริ่มเรียกร้องให้มีการทำรัฐประหารอีกครั้ง
19
ในวันที่ 9 กันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวชลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อกล่าวหาว่าแสดงเป็นพิธีกรแสดงการทำอาหารทางสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นกระทำที่ละเมิดและขัดต่อรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้นำพรรคพลังประชาชนและมีศักดิ์เป็นน้องเขยของทักษิณ
ตามกฎหมาย ได้ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่กลุ่มพันธมิตรปฏิเสธที่จะสลายการชุมนุม ซึ่งก่อให้เกิดการปะทะอย่างรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในวันที่ 7 ตุลาคม กลุ่มพันธมิตรเข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิที่กรุงเทพมหานครและสนามบิน
นานาชาติดอนเมือง โดยเริ่มตั้งแต่ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 นักเดินทางนับหมื่นคนได้รับผลกระทบจากการกระทำครั้งนี้ รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุ
กเฉิน และเรียกร้องให้กองกำลังติดอาวุธเข้าควบคุมสถานการณ์ อย่างไรก็ตามฝ่ายทหารปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม ในที่สุดวันที่ 2 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอื่
น ทั้งยังสั่งยกห้ามคณะกรรมการบริหารพรรคเล่นการเมืองเป็นระยะเวลาห้
าปี ภายหลังจากคำสั่งศาลภายในไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มพันธมิตรได้ยุติการปิดล้อมสนามบินและทำเนียบรัฐบาล หลังจากเหตุการณ์การปะทะระหว่างกลุ่มพันธมิตรและตำรวจ และคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมและแต่งตั้งให้นายอภิ
สิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 18 ธันวาคม 2551 กลุ่มรัฐบาลผสมใหม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นจากการร่วมมือจากอดีตแกนนำสมา
ชิกพรรคพลังประชาชน นำโดยนายเนวิน ชิดชอบ มกีารประชุมหารือกันในวันที่ 6 ธันวาคม ณ บ้านของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งมีการล๊อบบี้อย่างหนักโดยทหารและสมาชิกองคมนตรี
20
นโยบายทำลายการเคลื ่อนไหวของกลุ ่มคนเส ื ้อแดงโดย
ทางการ
คำให้การโดยพยานปากที่ 22 เป็นคำให้การโดยนายทหารประจำการที่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ดีในกองทัพบ
ก ผู้มีความประสงค์จะให้การในฐานะที่เป็นบุคคลนิรนามเนื่องจากเกรงว่าจะ
ตกอยู่ในอันตรายหากกองทัพหรือรัฐบาลไทยทราบชื่อจริงของพยาน ทนายของผู้ร้องรู้จักพยาน และพยานสามารถให้การกับอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศได้ หากมีการจัดการคุ้มครองพยานและครอบครัวอย่างเหมาะสม
พยานปากที่ 22 เปิดเผยว่าไม่กี่เดือนหลังจากการยึดอำนาจในปี 2549 รัฐบาลทหารเริ่มร่างนโยบายเพื่อกดขี่การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยซึ่งอา
จเกิดขึ้นหลังการทำรัฐประหารทุกวิถีทาง แม้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงยังใหม่อยู่ในขณะนั้น แต่นโยบายนี้เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลและกองทัพไทยคาดหวังอย่างมากว่าผู้
สนับสนุนนายกรัฐมนตรีผู้ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ทักษิณ ชินวัตรจะลุกฮือเพื่อเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยของตน
หลังจากมีการทำรัฐประหารในปี 2549 ที่ขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้นำที่มียศสูงสุดในกองทัพบกลงความเห็นว่าแนวร่วมประชาธิปไต
ยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (“นปช.”) หรือที่รู้จักในนามของกลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องจัดให้มีการชุมนุมประท้
วงใหญ่เพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลทหารที่เข้ามาบริหารประเทศหลัง
จากมีการทำรัฐประหาร ความเห็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของรัฐบาลทหาร, ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ และชนชั้นปกครองที่เป็นคนชั้นสูงที่อยู่ในรัฐบาลไทย (ในที่นี้จะอ้างถึงโดยรวมว่า “รัฐบาลไทย”)
21
หลังจากนั้น ผู้นำภายในกองทัพบกเริ่มวางแผนการตอบโต้ทางการทหารโดยที่รั
ฐบาลไทยรับรู้และให้อำนาจเค็มที่ นโยบายครอบคลุมที่สนับสนุนแผนการตอบโต้คือการใช้กำลังทหาร
ที่เด็ดขาดกับผู้ประท้วงทางการเมืองที่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อปรา
บปรามและทำลายการขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่อ
ยู่ในประเทศไทย
นอกจากกำลังทหารซึ่งเป็นหนีงในกลยุทธ์หลักของนโยบายการปรา
บปรามแล้ว ยังมีการใช้ (และยังคงใช้อยู่) กลยุทธ์ที่มีองค์ประกอบของการลวง กลยุทธ์นี้ได้สร้างความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องให้แก่ประชาชนในเรื่องที่ว่
าทางกองทัพและรัฐบาลไม่มีส่วนในการรับผิดชอบต่อการกระทำที่ผิ
ดกฎหมาย, ไม่ชอบธรรม และเกินกว่าเหตุต่อกลุ่มคนเสื้อแดง แต่กลุ่มคนเสื้อแดงต่างหากที่ต้องรับผิดชอบต่อการเป็นเหตุให้ทหา
รต้องใช้กำลังเข้าปราบปราม ทั้งทางกองทัพและรัฐบาลต่างช่วยกันใช้กลยุทธ์นี้ในหลายรูปแบบ เช่น (ก) การทำลายและ / หรือจัดการหลักฐานทีเป็นผลเสียต่อกองทัพและรัฐบาลไทย; (ข) การสร้างหลักฐานเพื่อใช้กล่าวหากลุ่มคนเสื้อแดง; (ค) การปกปิดเรื่องการใช้อาวุธ เช่น ปืนซุ่มยิงระยะไกล และระเบิด โดยใช้วิธีสร้างภาพผิดๆ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงต้องรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรง และ (ง) การประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อของสื่อที่เสนอภาพที่ไม่ถูกต้องว่ากลุ่มค
นเสื้อสีแดงเป็นพวกใช้ความรุนแรง, อันตราย และเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ผู้นำทางทหารที่รับผิดชอบนโยบายนี้ ได้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์, พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา, พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอก กิตติพงษ์ เกษโกวิท, พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์, พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ, พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ,์ พลตำรวจเอก ประทีป ตันประเสริฐ,
22
พลเอก พิรุณ แผ้วพลสง, พลเอก วิทย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, พลเอก ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ, และพลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ
คำให้การของพยานปากที่ 22 ยังอธิบายถึงการตระเตรียมการและซ้อมจำลองเหตุการณ์การประท้วงครั้
งใหญ่ของกองทัพไทย
พื้นที่บริเวณถนนราชดำเนินถูกมองว่าเป็นพื้นที่หลักที่กลุ่มคนเสื้อแด
งใช้เป็นที่ชุมนุม เนื่องจากถนนราชดำเนินมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมือง ตั้งแต่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นมา เพื่อผลักดันนโยบายของกองทัพและรัฐบาลไทยจึงได้จัดให้มีการปรั
บพื้นที่ในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ที่ตั้งอยู่ที่เขตบางเขน ตอนเหนือของกรุงเทพฯ ให้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมในการปราบปรามผู้ประท้วงที่เป็นกลุ่มคนเสื้อ
แดง สาเหตุที่เลือกกรมทหารราบที่ 11 เนื่องจากกองกำลังของกรมทหารราบนี้มีขนาดใหญ่พอที่จะเข้าครอ
บคลุมพื้นที่ของถนนราชดำเนินได้ทั้งหมด ซึ่งได้จัดทำแผนที่ภาคพื้นดินอย่างละเอียด เริ่มจากบริเวณอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 , ไปทางใต้เป็นสะพานผ่านฟ้า และทางตะวันตกติดกับสะพานปิ่นเกล้าฯ ฝั่งแม้น้ำเจ้าพระยา
ถนนทุกสายที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับถนนราชดำเนินถูกปรับให้เป็นส
นามซ้อมให้กับกองทัพทหารในการดำเนินการปราบปราม มีการฝึกซ้อมประจำอย่างต่อเนื่องจากตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 จากคำสั่งให้มีการฝึกซ้อมของพลเอก ประยุทธ ซึ่งมีการเคลื่อนพลติดอาวุธจากหลายภาคส่วนเข้าสู่กรมทหารราบ
ที่ 11 เพื่อทำการฝึกซ้อม
นอกเหนือจากการฝึกซ้อมที่กรมทหารราบที่ 11 พลซุ่มยิง ก็ซ้อมการปฎิบัติการอยู่บริเวณถนนราชดำเนิน พลทหารเหล่านี้ฝึกซ้อมในพื้นที่จนคุ้นเคยกับที่ตั้งของอาคาร ตึกสูง
23
และเขตพื้นที่ยุทธศาสตร์ ที่ใช้ในการซุ่มโจมตีด้วยปืนซุ่มยิง การฝึกเป็นนักแม่นปืนของพลซุ่มยิงต้องทำควบคู่ไปกับการตั้งเป้าห
มายสมมติโดยวัดจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ พลซุ่มยิงจัดเขตพื้นที่สังหาร, กำหนดวิถีกระสุน และจัดให้มีพลซุ่มยิงประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้
ทหารบางหน่วยได้รับอนุญาตให้ไว้ผมและหนวดให้ยาวและได้รับคำ
สั่งให้ไปปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ประท้วง นปช. ทหารหลายนายแฝงตัวไปเป็นคนขับรถ, การ์ดรักษาความปลอดภัย, และช่างเครื่องเสียงให้กับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงหลายคน ซึ่งทำให้ทหารกลุ่มนี้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมกับสามารถระบุเป้าหมายกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทางกองทัพต้องก
ารได้
ผู้นำกองทัพเริ่มตรวจสอบและศึกษาประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทา
งการเมืองของประเทศต่างๆ โดยศึกษาเฉพาะกลยุทธ์และยุทธวิธีต่างๆ ของทหารที่ใช้กำลังในการกำจัดผู้ประท้วงที่เป็นพลเมือง
3. การสังหารหมู ่ในกรุงเทพมหานคร
วันที่ 12 มีนาคม 2551 สมาชิกของชาติแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามของกลุ่มเสื้อแดงจากหลายจังหวัดทั่
วประเทศ ได้เริ่มเดินทางมายังกรุงเทพมหานครโดยปฏิญาณตนว่าจะไม่หยุดการชุม
นุมจนกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะยุบสภาและประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณหลังจากรั
ฐประหาร กลุ่มเสื้อแดงได้สร้างองค์อันเข้มแข็งและขยายตัวไปอย่างช้าๆทั่วประเทศ การเคลื่อนไหวอันเป็นประชาธิปไตยนี้เข้มแข็งมาขึ้นตามลำดับ
24
เนื่องจากศาลและทหารใช้อำนาจในการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง เพื่อเอื้อให้อภิสิทธิ์ขึ้นสู่อำนาจในปี 2551
3.1 การทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยอภิส ิทธ ิ ์
หลังจากขึ้นสู่อำนาจ รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามปิดปากฝ่ายตรงข้าม โดยใช้ระบบกฎหมาย อาทิเช่น กฎหมายอันเข้มงวดอย่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ในประมวลกฎหมายอาญาและพรบ.คอมพิวเตอร์ ในปี 2549 เพียงปีเดียวศาลรับพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึง 164 คดี ซึ่งทำลายสถิติในปี 2550 ที่มี 126 คดี ซึ่งเป็นปีหลังจากรัฐประหาร และมากเป็นสองเท่าหากเทียบกับระหว่างที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบา
ลในปี 2551 ซึ่งมีเพียง 77 คดี จำนวนคดีสูงสุดก่อนหน้ารัฐประหารในปี 2548 นั้นมี 33 คดี และเนื่องจากข้อจำจัดทางกฎหมายและความไม่เต็มใจของสื่อกระแสหลัก
ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือให้รายข้อมูลซึ่งอาจทำลายภาพลักษณ์ของสถาบันก
ษัตริย์ ทำให้คดีเหล่านี้หลายคดีไม่ถูกรายงานในสื่อท้องถิ่นและสื่อต่างชาติ
ในปี 2552 ยังคงมีการคุกคามทางการเมือง และในบางกรณีมีการพิจารณาคดีและพิพากษาอย่างรุนแรงต่อนักกิจกรร
มที่ถูกจับกุมในข้อหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในปีก่อนหน้านี้ คดีอันน่าสะเทือนใจที่สุดคือ คดีของนางสาวดรุณี ชาญเชิงศิลปะกุล (ดาตอปิโด) ที่ถูกพิพากษาจำคุก 18 ปีต่อการกระทำผิดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จำนวนสามกระทงโดยการปราศรัยบนเวทีปี 2551 ทั้งยังมีการพิจารณาคดีลับด้วยเหตุผลของ “ความมั่งคงภายในประเทศ” ตรงข้ามกับผู้ถูกกล่าวหาคนอื่นที่ถูกฟ้องร้องในคดีเดียวกัน ดาตอปิโดปฏิเสธที่จะรับสารภาพ ดังนั้น ไม่เพียงแต่เธอจะได้รับโทษพิพากษาจำคุกอย่างหนัก แต่เธอยังถูกแยกขังและถูกบังคับให้ห้อยป้ายที่ระบุว่าเธอถูกคุมขังข้อหาอ
ะไร ซึ่งเปิดโอกาสให้เธอถูกรังแก
25
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นกฎหมายที่ขยายความผิดของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พันตำรวจเอก สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศได้ยอมรับเมื่อไม่นานม
านี้ว่า พบการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอม
พิวเตอร์ ในเวปไซต์กว่าห้าหมื่นเวปไชต์
คดีของสุวิชา ท้าค้อ และจีรนุช เปรมชัยพร เป็นคดีที่ได้รับความสนใจ ทั้งสองถูกดำเนินคดีเรื่องการเผยแพร่รูปภาพหรือข้อความที่อาจเป็นการ
หมิ่นพระบรมเดชานุภาพและละเมิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเ
กี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สุวิชา ท้าค้อถูกจับกุมในเดือนมกราคม ปี 2551 เพราะเผยแพร่ภาพที่อาจเป็นการหมิ่นสถาบันทางอินเตอร์เน็ต สุวิชาถูกพิพากษาจำคุกยี่สิบปี ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ประกอบกั
บกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่เนื่องจากสุวิชาสารภาพจึงได้รับการลดโทษเหลือสิบปี หลังจากถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง สุวิชาได้รับการอภัยโทษในวันที่ 28 มิถุนายน 2553
จีรนุช เปรมชัยพร ผู้จัดการเวปไซต์สำนักข่าวอิสระประชาไท ถูกจับในเดือนมีนาคม ปี 2552 และถูกแจ้งข้อหาสิบข้อหาเนื่องจากละเมิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระ
ทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เธอถูกดำเนินคดีเพราะล้มเหลวที่จะลบความคิดเห็นบนกระดานสนทนาป
ระชาไทที่อาจเป็นการหมิ่นสถาบัน และจีรนุชอาจถูกพิพากษาจำคุกห้าสิบปีเมื่อคดีถึงที่สุดในเดือนกุมภาพัน
ธ์ ปี 2554 ในขณะเดียวกันเวปไซต์ประชาไทถูกรัฐบาลตามปิดอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งล่าสุด
การจับกุมข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอม
พิวเตอร์ ยังรวมถึง ณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ (ที่ส่งวิดีโอต่ต้านสถาบัน) ธันทวัฒน์ ทวีวโรดมกุล เผยแพร่ข้อความหมิ่น) วิภาส รักสกุลไทย
26
(เผยแพร่ข้อความหมิ่นทางเฟซบุค) และอีกสี่รายที่ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ “ข่าวลือ” เกี่ยวสุขภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างน้อย สองในสี่รายนั้นเพียงแค่แปลบทความที่เกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าวจากนิตรส
ารบลูมเบิร์กเป็นภาษาไทยเท่านั้น
การคุกคามทางการเมืองโดยใช้ระบบกฎหมายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำให้ค
ณะกรรมการปกป้องนักข่าวและนักข่าวไร้พรมแดนประณามรัฐบาลอภิสิท
ธิ์อย่างรุนแรง โดยทั่วไป เมื่อสิ้นปี 2552 เสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทยได้ลดลงอย่างมาก ในรายงานของ Freedom House หัวข้อ “เสรีภาพในโลกปี 2553” กล่าวว่าประเทศไทยไม่มี “การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย” เนื่องจากมีการแทรกแซงทางการเมืองโดยทหารและการที่พรรคประชาธิ
ปัตย์ยืนยันที่จะขึ้นสู่อำนาจโดยปราศจากความชอบธรรมทางการเลือกตั้ง Freedom House ตำหนิรัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ที่ “บังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสด
งออก” โดยเฉพาะต่อ “นักกิจกรรม นักวิชาการ นักเรียน นักข่าว นักเขียนต่างชาติและนักการเมือง” ที่วิจารณ์รัฐบาล ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อต้นปี 2553 กลุ่ม Human Rights Watch ออกมากล่าวถึง "ความเสื่อมถอย" ของสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย จากการสังเกตการณ์เหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยตั้งแต่
นายอภิสิทธ์ขึ้นดำรงตำแหน่ง โดยมีการ “ทำลายสิทธิมนุษยชนและการบวนการกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และรายงานล่าสุดเมื่อปี 2554 ผู้อำนวยการ Human Rights Watch กล่าวว่า “สิทธิมนุษยชนไทยถูกทำลายลงอย่างมากในปี 2553” โดยระบุถึง “การปฎิบัติที่ไม่เหมาะสมกับผู้ถูกคุมขัง” และ “การเซ็นเซอร์อย่างกว้างขวาง”
3.1 สงกรานต์เล ือดปี 2552
ในที่ 11 เมษายนปี 2552 กลุ่มเสื้อแดงนับร้อยชุมนุมได้ออกมาชุมนุมต่อต้านนายอภิสิทธ์ในระหว่าง
การประชุมผู้นำสุดยอดอาเซียนในพัทยา โดยขู่ว่าจะปิดโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุม
27
อันนำไปสู่การยกเลิกการประชุมในที่สุด จากความสำเร็จของการดำเนินการที่ไม่คาดคิดมาก่อน กลุ่มคนเสื้อแดงได้เดินทางกลับไปยังกรุงเทพ และได้ปิดการจราจรและตั้งเวทีขึ้นรอบเมือง รัฐบาลตอบโต้ด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพฯและปริมณฑลอีก
ห้าพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการสลายการชุมนุมอย่างรวดเร็ว เช้าตรู่ของวันที่ 13 เมษายนกองกำลังทหารได้การสลายกลุ่มเสื้อแดงที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่
รอบกรุงเทพฯ
กองทัพไม่ได้ใช้มาตรการในการควบคุมฝูงชนตามหลักของสหประชาชาติ -‐-‐แต่กลับใช้กองกำลังจากกองพันทหารราบที่สอง โดยเรียกตัวเองว่า "ทหารเสือราชินี" -‐-‐ พวกเขาใช้วิธีการยั่วยุให้เสื้อแดงใช้กำลังกับทหารทุกครั้งที่มีการเผชิญหน้
า และมีการยิงพลเรือนที่ไม่มีอาวุธโดยใช้กระสุนจริงในความมืดก่อนรุ่งสาง ทำให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงกว่า 123 รายได้รับบาดเจ็บ การใช้ความรุนแรงมากเกินกว่าความจำเป็นของทหาร ส่งผลให้แกนนำเสื้อแดงยอมมอบตัวอย่างรวดเร็วและส่งสัญญาณเตือนใ
ห้ประชาชนผู้ชุมนุมรีบเดินทางออกจากพื้นที่ล้อมรอบทำเนียบรัฐบาลเพื่อ
หลีกเลี่ยงการล้อมปราบอย่างเหี้ยมโหดอำหิต
ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่ากองทัพดำเนินการตามมาตรฐานสากล แต่พยานให้การว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนอย่างน้อย 6 คนเสียชีวิตทันทีจากการสาดกระสุนยิงของทหาร แต่ศพผู้เสียชีวิตนั้นกลับถูกลำเลียงขึ้นรถบรรทุกทหารและขับออกจากพื้น
ที่ไปอย่างรวดเร็ว เพื่อกันมิให้ศพเหล่านั้นถูกชันสูตร และมีการระบุว่าผู้ตายเป็นใคร หลายวันต่อมาศพผู้ชุมนุมเสื้อแดงสองรายลอยขึ้นอืดเหนือแม่น้ำเจ้าพระ
ยา สภาพศพนั้นถูกมัดและมีผ้าปิดปากไว้ แสดงให้เห็นว่าผู้ตายถูกทารุณกรรมก่อนเสียชีวิตอย่างชัดเจน
28
คำให้การพยานปากที่ 22 ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นนโยบายของทางการที่จะทำลายกระบวน
การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ในระหว่างช่วงต้นปี 2552 กองทัพบกได้รู้ข่าวจากหน่วยข่าวกรองว่ากลุ่มคนเสื้อแดงกำลังวาง
แผนการชุมนุมใหญ่ในเดือนเมษายน 2552 ซึ่งจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมหลายพันคน การชุมนุมที่ว่านี้เริ่มครั้งแรกประมาณวันที่ 26 มีนาคม 2552 ซึ่งก็เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ผู้ชุมนุมรวมตัวกันอยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาลบนถนนราชดำเนินเรีย
กร้องให้มีการยุบรัฐสภาและมีการเลือกตั้งใหม่
เพื่อเป็นการตอบโต้การชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นนี้ กองพลทหารราบที่ ๒ สังกัดกองทัพบก (ที่รู้จักในชื่อของทหารเสือราชินี หรือ บูรพาพยัคฆ์) รับคำสั่งภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชาและพลตรี วลิต โรจนภักดี รับหน้าที่ในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม วันที่ 9 เมษายน 2552 กองพลทหารราบที่ ๒ เดินทางออกจากค่ายทหารที่อยู่ในจังหวัดชลบุรี, จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดปราจีนบุรี และมารวมพลกันที่กองทหารราบที่ ๑๑ เขตบางเขน
เวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 12 เมษายน กองทัพถอนกำลังทหารของกองพลทหารราบที่ ๑ และกองพลทหารราบที่ ๙ ที่ตรึงกำลังพื้นที่อยู่บริเวณดินแดง ทิศตะวันออกของทำเนียบรัฐบาล โดยเปลี่ยนให้กองพลทหารราบที่ ๒ ที่มีพลตรี วลิต โรจนภักดีเป็นผู้บังคับบัญชามาปฎิบัติหน้าที่ในการดำเนินการสลาย
การชุมนุมแทนแทน
พลเอกวลิต ได้รับคำสั่งที่สำคัญ 4 ข้อที่เกี่ยวกับการปฎิบัติภารกิจดังนี้ (ก)
29
ทำการปราบปรามให้เสร็จสิ้นก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดินของวันที่ 13 เมษายน (ข) ไม่ทิ้งให้มีผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บไว้ (ค) ไม่ทิ้งรอยเลือดหรือหลักฐานอื่นๆ ที่ใช้เอาความผิดได้ไว้ และ (ง) ป้องกันมิให้มีนักข่าวหรือสื่อเข้ามามีส่วนรู้เห็นการปฎิบัติภารกิจครั้ง
นี้ คำสั่งเหล่านี้มาจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งได้รับความเป็นชอบจากนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ พยานให้การว่า พยานเชื่อว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการปฎิบัติการนี้คือการ
ฆ่าประชาชน และพลเอก ประยุทธ ผู้บัญชาการของพลเอก วลิต ผู้ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในคณะรัฐบาล รวมถึงนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ รับรู้ว่าการปฏิบัติภสรกิจในครั้งนี้จะต้องมีการฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายครอบคลุมที่กองทัพและรัฐบาลในการป
ราบปรามและกำจัดขบวนการคนเสื้อแดง
นอกจากนี้ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ มีคำสั่งมอบหมายให้พลเอก ประยุทธ สังหารแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนเพื่อเป็นการแก้แค้นกลุ่มผู้ชุ
มนุมเสื้อแดงที่มาชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้าที่พักของพลเอก เปรม
พลเอก ประยุทธ มอบหมายให้พันเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม นำทหารกองพลทหารราบที่ ๒ ปฎิบัติภารกิจภาคพื้นดิน
หน่วยทหารจากกองพลทหารราบที่ ๑ ได้รับมอบหมายภารกิจในการเก็บศพผู้เสียชีวิตและขนย้ายออกนอ
กพื้นที่ นอกจากนี้หน่วยทหารของกองพลทหารราบที่ ๑ ยังมีภารกิจอีกหนึ่งอย่าง คือการจับกุมผู้ต้องหา ด้วยความช่วยเหลือจากศาลาว่าการกรุงเทพฯ ทหารได้ใช้รถบรรทุกน้ำล้างรอยเลือดต่างๆ ในขณะที่กองพลทหารราบที่ ๑ ขนย้ายศพผู้เสียชีวิตที่เป็นคนเสื้อแดงไปอย่างน้อย 6 ศพ
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในเดือน เมษายน 2552 เจ้าหน้าที่ทั้งภายในกองทัพบกและรัฐบาลได้รายงานข้อมูลเท็จไปยัง
30
สื่อต่างๆ ในประเทศว่าไม่มีผู้ชุมนุมประท้วงเสื้อแดงแม้แต่รายเดียวที่เสียชีวิต
จากการปะทะกับทหาร พันเอก ร่มเกล้าและคนอื่นๆ ก็ได้ให้ข้อมูลในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้ต่อคณะกรรมการตรวจสอ
บข้อเท็จจริงของรัฐสภาซึ่งแต่งตั้งขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่า
วในปี 2552 อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านี้ไม่เป็นความจริง กองพลทหารราบที่ ๒ มีส่วนรับผิดชอบต่อการฆ่าประชาชนอย่างน้อย 6 ศพและทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 100 รายในระหว่างการปฎิบัติภารกิจสลายกลุ่มผู้ชุมนุมในวันที่ 9 เมษายน 2552
กองทัพบกและรัฐบาลใช้รูปแบบการฆ่าโดยไม่มีเหตุอันควรและการ
ลวงประชาชนมากขึ้นเพื่อเป็นการตอบโต้การชุมนุมประท้วงของกลุ่
มคนเสื้อแดงในปี 2553 ที่จริงแล้ว การที่สำนักข่าวต่างประเทศไม่ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้อาวุธสง
ครามของทหารในปี 2552 ทำให้ผู้นำกองทัพใช้อาวุธสงครามได้อย่างเสรีมากขึ้นในปี 2553
3.3 การสังหารหมู ่ป ี 2553 ในช่วงแรกของปี 2553 ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของกลุ่มนปช. หรือกลุ่มเสื้อแดง และถือว่าเป็นการแสดงพลังทางประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศา
สตร์ของประเทศไทย ตามที่จะกล่าวในบทต่อไป การแสดงพลังครั้งนี้กลับถูกทำลายด้วยน้ำมือของกองกำลังทหาร ด้วยวิธีการเดียวกันกับปี 2552 แต่สิ่งที่โหดเหี้ยมกว่านั้นคือ การปฏิบัติการมุ่งสังหารแกนนำเสื้อแดง และมีการระบุว่าเป็นปฏบัติการของทหาร แผนการดังกล่าวมาการวางแผนยุทธศาสตร์ที่จะกำจัดพยานวัตถุและใส่ร้
ายคนเสื้อแดง
พยานปากที่ 22 อธิบายยุทธศาสตร์ดังนี้
31
ช่วงต้นปี 2553 ทางกองทัพได้รับข่าวจากหน่วยข่าวกรองว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะมีกา
รนัดชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมเป็นต้นไป ที่บริเวณถนนราชดำเนินและแยกราชประสงค์ ผู้นำสำคัญในคณะรัฐบาลและกองทัพเริ่มปรึกษาหารือกันในทันทีที่ก
องพันทหารราบที่ ๑๑ บางเขน เพื่อวางแผนการสลายการชุมนุม ผู้เข้าร่วมประชุมเป็นประจำจากฝั่งรัฐบาล ได้แก่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์, รองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (เรียกโดยรวมว่า “ผู้นำรัฐบาล”) ผู้เข้าร่วมประชุมเป็นประจำจากฝั่งกองทัพ ได้แก่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา, พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอก กิตติพงษ์ เกษโกวิท, พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์, พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ, พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ,์ พลตำรวจเอก ประทีป ตันประเสริฐ, พลเอก พิรุณ แผ้วพลสง, พลเอก วิทย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, พลเอก ธีระวัฒน์ บุญยะประดับ และพลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (เรียกโดยรวมว่า “ผู้นำกองทัพ”) เช่นเดียวกันกับปี 2551 วัตถุประสงค์ของการประชุมคือเพื่อพัฒนาและจัดทำแผนการสลาย
การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมกับนโยบายที่ครอบคลุมไปถึงการกำจัดขบวนการกลุ่มคนเสื้อ
แดงให้หมดสิ้นไป
มีการจัดตั้งกองกำลังทหารหน่วยปราบปรามขึ้น ซึ่งรับคำสั่งภายใต้การบังคับบัญชาของพลโท ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ, พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อดำเนินการด้านการทหารในการการสลายการชุมนุม
วันที่ 8 มีนาคม 2553 นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ-‐-‐แกนนำที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง -‐-‐ ได้ออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า กลุ่มเสื้อแดงจะเดินเข้ามาชุมนุมใหญ่ในกรุงเทพฯโดยจะเริ่มต้นในวันที่ ๑๔
32
มีนาคม แม้ว่านายณัฐวุฒิจะยืนยันเจตนารมณ์การชุมนุมอย่างสงบ แต่นายอภิสิทธิ์กลับประกาศให้มีการใช้พระราชบัญญัติรักษาความมั่นคง
ภายทันที
เมื่อประมาณวันที่ 8 มีนาคม 2553 นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ย้ายไปพักอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 เขตบางเขนเพื่อที่จะไม่ต้องปรากฎอยู่ในบริเวณเดียวกับผู้ชุมนุมกลุ่
มคนเสื้อแดงแต่ในขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยผู้นำรัฐบา
ลและผู้นำทหารคนอื่นๆ ยังสามารถวางแผนตอบโต้การชุมนุมของผู้ประท้วงได้โดยตรง นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์เข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือร่วมกับผู้นำรัฐบาล, ผู้นำกองทัพและ ศอฉ. ทุกครั้งที่เป็นการประชุมเกี่ยวกับผู้กลุ่มชุมนุมเสื้อแดงและนายกรัฐม
นตรีเห็นชอบกับคำสั่งทุกคำสั่งที่ให้กองทัพปฎิบัติตามผ่านผู้นำกอง
ทัพทั้งหลาย
ผู้นำกองทัพและผู้นำรัฐบาลพิจารณาให้เริ่มดำเนินการสลายการชุม
นุมในวันที่ 10 เมษายน ในเขตพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน การปฎิบัติการนี้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้ว
งที่เป็นนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของทหารจีนในปี 2532 และการปราบปรามในครั้งนั้นไม่เคยมีการตั้งคำถามว่าการปราบป
รามจะมีส่วนในการฆ่าประชาชนเป็นจำนวนมากหรือไม่ กองทัพประมาณการณ์ไว้ว่าจะมียอดผู้เสียชีวิตจากการปราบปราม
ทั้งสิ้นประมาณ 500 คนและจากการประมาณการณ์นั้น การปฎิบัติภารกิจปราบปรามการชุมนุมจึงได้รับความเห็นชอบจาก
สมาชิกทุกคนในคณะผู้นำรัฐบาลซึ่งรวมนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์และผู้นำทหารคนอื่นๆ ด้วย
วัตถุประสงค์เฉพาะของการปฎิบัติภารกิจครั้งนี้คือเพื่อเป็นการข่มข
วัญผู้ชุมนุม, สังหารกลุ่มแกนนำ และปราบปรามขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่เห็นชัดได้ว่า
33
กลยุทธ์นี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อเป็นการขับไล่ผู้ชุมนุมแต่มุ่งเน้นไปที่การ
จำกัดกลุ่มผู้ชุมนุมไว้ในบริเวณที่กำหนด, ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงเพื่ออ้างเหตุผลในการสู้เพื่อป้องกันตนเอง และเปิดฉากยิง
วันที่ 12 มีนาคม กองกำลังทหารได้รวบรวมพลซุ่มยิงที่คัดเลือกมาจากค่ายทหารต่า
งๆ ภายในกองทัพ (ทุกกองในเขตพื้นที่ปฎิบัติการ) กองทัพบก ส่งกรมรบพิเศษที่ 3 (พลร่ม)กองทัพอากาศส่งหน่วยรบพิเศษ, กองทัพเรื่องส่งหน่วยซีล และกรมตำรวจส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยอรินทราช, หน่วยลาดตระเวนชายแดนทางอากาศและหน่วยคอมมานโด ซึ่งรวมแล้วมีพลซุ่มยิงคร่าวๆ ประมาณ 40-‐50 กองที่มาจากแต่ละกรม พลซุ่มยิงทุกนายได้รับการฝึกให้ทำภารกิจในที่ซ่อนและใช้อาวุธแบบ
พิเศษ หลังจากมีการฝึกซ้อมเพื่อภารกิจปราบปรามแล้ว พลซุ่มยิงแต่ละนายต่างได้รับอาวุธและคำสั่งให้ประจำตำแหน่งอยู่ใ
นระยะ 300 เมตร
วันที่ 13 มีนาคม กลุ่มคนเสื้อแดงหลายพันคนเริ่มทยอยเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานคร โดยส่วนใหญ่มาจากจังหวัดในแถบชนบท พวกเขารวมตัวกันที่สะพานผ่านฟ้าและถนนราชดำเนินซึ่งใกล้กับรัฐสภาแ
ละสถานที่ราชการสำคัญอื่น ๆ และตามประวัติของพื้นที่แล้วถือว่าเป็นบริเวณที่เคยมีประวัติประชาชนออ
กมาเรียกร้องสิทธิทางการเมือง กลุ่มผู้ชุมนุมได้กางเต็นท์ และเตรียมตัวสำหรับการชุมนุมระยะยาว และยังได้ยึดเอาพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์เป็นสถานที่ชุมนุม ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและเป็นหัวใจสำคัญ มีการจับจ่ายใช้สอยสินค้าราคาแพงของคนกรุงเทพ หลายสัปดาห์ต่อมาผู้ชุมนุมเสื้อแดงนับแสนคนได้ออกเดินทางประท้วงด้ว
ยพาหนะและด้วยการเดินเท้าจำนวนมาก -‐-‐
34
แหล่งข่าวหลายแห่งคาดว่าอาจจะมีจำนวนมากถึงหลายล้านคนที่บริเวณ
สี่แยกราชประสงค์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไป แม้ว่า จะมีการปราศรัยและเสียงสนับสนุนอยู่เป็นระยะ แต่ก็เป็นไปอย่างสงบ และไม่มีหลักฐานของการก่อความรุนแรงของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงระยะนี้
ผู้ชุมนุมเสื้อแดงนับแสนคนได้ออกเดินทางประท้วงด้วยพาหนะและด้วยกา
รเดินเท้าจำนวนมาก -‐-‐ แหล่งข่าวหลายแห่งคาดว่าอาจจะมีจำนวนมากถึงหลายล้านคนที่บริเวณ
สี่แยกราชประสงค์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไป แม้ว่า จะมีการปราศรัยและเสียงสนับสนุนอยู่เป็นระยะ แต่ก็เป็นไปอย่างสงบ และไม่มีหลักฐานของการก่อความรุนแรงของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงระยะนี้
อย่างไรก็ตามวันที่ 7 เมษายน อภิสิทธิ์ได้ประการใช้พระราชบัญญัติบริหารราการแผ่นดินในสถานการณ์
35
ฉุกเฉินในกรุงเทพและปริมณฑลอีกห้าจังหวัด เพื่อเตรียมการสลายการชุมนุมที่รุนแรง ภายใต้กฎหมายฉุกเฉิน รัฐบาลได้ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)นำโดยรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ
วันที่ 8 เมษายน กองทัพภาคได้ปิดการสื่อสารของกลุ่มเสื้อแดงโดยการเข้ายึดสถานีโทรทั
ศน์สถานีพีเพิลชาแนล (พีทีวี)ที่ปทุมธานี และพยายามรบกวนสัญญาณการออกอากาศ ทำให้กลุ่มเสื้อแดงหลายพันคนตอบโต้ด้วยการเดินทางไปยังสถานีและเรี
ยกร้องให้มีการคืนการส่งสัญญาณ แต่กองกำลังทหารกลับยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มเสื้อแดง ปรากฏว่าลมได้พัดแก๊สน้ำตากลับมายังกองกำลังทหาร ทำให้ทหารส่วนใหญ่ทิ้งวางอาวุธและล่าถอยไปยังพื้นที่โล่ง หลังจากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงได้เข้ายึดอาวุธ และยังได้ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้แก่ทหารที่บาดเจ็บ ระหว่างนี้เองได้มีการเจรจาตกลงระหว่างทหารและกลุ่มเสื้อแดง โดยทหารตกลงที่จะแปลงสัญญาณกลับให้สถานีพีทีวีกลับมาออกอากาศไ
ด้อีกครั้ง โดยแลกกับการที่กลุ่มเสื้อแดงจะต้องคืนอาวุธทั้งหมดให้กับทหาร (แนบรายงานการคืนอาวุธเสื้อแดง และคำให้การพยานปากที่ 17) แต่ทันทีที่ข้อตกลงที่ไม่มีทีท่าว่าจะจริงตั้งแต่แรกได้สิ้นสุดลงเมื่อเสื้อแดงไ
ด้ทำการคืนอาวุธ ปรากฏว่าได้มีทหารซ่อนตัวอยู่บนหลังคาของอาคารสถานีพีทีวี และปิดสัญญาณการออกอากาศของสถานีพีทีวีอีกครั้ง
การเจรจาตกลงระหว่างทหารและกลุ่มเสื้อแดง โดยทหารตกลงที่จะแปลงสัญญาณกลับให้สถานีพีทีวีกลับมาออกอากาศไ
ด้อีกครั้ง โดยแลกกับการที่กลุ่มเสื้อแดงจะต้องคืนอาวุธทั้งหมดให้กับทหาร (แนบรายงานการคืนอาวุธเสื้อแดง และคำให้การพยานปากที่ ๑๗) แต่ทันทีที่ข้อตกลงที่ไม่มีทีท่าว่าจะจริงตั้งแต่แรกได้สิ้นสุดลงเมื่อเสื้อแดงไ
ด้ทำการคืนอาวุธ
36
ปรากฏว่าได้มีทหารซ่อนตัวอยู่บนหลังคาของอาคารสถานีพีทีวี และปิดสัญญาณการออกอากาศของสถานีพีทีวีอีกครั้ง
วันที่ 10 เมษายน รัฐบาลกระจายกำลังทหารไปยังบริเวณสะพานผ่านฟ้า ซึ่งในที่สุดจะนำมาซึ่งเหตุการณ์นองเลือดที่เข่นฆ่าและทำร้ายพลเรือนที่ปร
าศจากอาวุธจำนวนมาก รัฐบาลได้ออกมาประกาศถึงกฎของการใช้กองกำลังควบคุมฝูงชนทั้งเจ็ด
ขั้นตอน นายอภิสิทธิ์ปรากฎตัวบนทีวีและกล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่เหมือนการ
ชุมนุมในพื้นที่ราชประสงค์ โดยจะมีการอนุญาตให้มีการชุมนุมในพื้นที่สะพานผ่านฟ้า บริเวณถนนราชดำเนิน อย่างไรก็ตาม ทหารก็ได้สลายผู้ชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนิน
อีกครั้งหนึ่งที่พยานปากที่ 22 อธิบายถึงเบื้องหลังของการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน 2553
ช่วงเช้าของวันที่ 10 เมษายน พลซุ่มยิงที่ก่อนหน้านี้รวมตัวกันมาจากหลายที่ทั้งจากกองทัพและห
น่วยงานอื่น ได้รับมอบหมายให้ไปประจำการตามพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่างๆ ในบริเวณพื้นที่รอบสะพานผ่านฟ้าฯ พลซุ่มยิงประจำอยู่บนอาคารทำการของธนาคารกรุงเทพฯและบนด
าดฟ้าของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในแนวเดียวกับเวทีปราศรัยของแกนนำกลุ่มคนเสื้อ
แดง ส่วนพื้นที่บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย มีพลซุ่มยิงอยู่บนหลังคาโรงเรียนสตรีวิทย์ บนถนนดินสอใกล้ๆ กับสี่แยกคอกวัว และตามหลังดาหรือดาดฟ้าของอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่ติดๆ กันในบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังมีทหารสังเกตการณ์ประจำการอยู่บนยอดอาคารเพื่อ
ระบุเป้าหมายที่ต้องการ
เวลาประมาณ 13.00 น. ในวันที่ 10 เมษายน ภารกิจในการสลายการชุมนุมได้เริ่มขึ้น ในเวลานี้เอง
37
กลุ่มคนเสื้อแดงรวมตัวกันอยู่เต็มพื้นที่รอบนอกถนนราชดำเนิน เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรไปทางใต้ถึงสะพานผ่านฟ้าฯ บริเวณที่เส้นทางถนนเลี้ยวไปทางตะวันตกและบรรจบกับถนนราชด
ำเนินกลาง ยาวไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้วไกลออกไปทางทิศตะวันต
กตรงสี่แยกคอกวัวกับถนนตะนาว สิ้นสุดที่ถนนราชดำเนินกลางตัดกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะพานปิ่นเก
ล้า
พยานปากที่ 22 อธิบายต่อว่า
กองกำลังทหารจากกองพลทหารราบที่ ๑ ภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอก ประยุทธ ได้รับมอบหมายจาก กองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๑ ให้เข้าประจำการอยู่บริเวณรอบนอกถนนราชดำเนินตรงสะพานมัฆ
วาน คำสั่งของกองพลทหารรายที่ ๑ คือการต้อนกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ทางใต้ของถนนราชดำเนินรอบนอก หลังจากนั้นทหารจากกองพลทหารราบที่ ๙ จะเข้ามาประจำการที่สะพานปิ่นเกล้าและต้อนผู้ชุมนุมทางฝั่งตะวันอ
อกตามถนนราชดำเนินกลาง เมื่อทำได้เช่นนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมจะถูกต้อนให้เข้ามารวมตัวกันอยู่ตรงกลางบริเวณสะพ
านผ่านฟ้าฯ จำนวนผู้ชุมนุมที่มากและหนาแน่นจะช่วยให้ทหารติดอาวุธแปงตัวเข้
าไปอยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดง ปะปนกับฝูงชนเพื่อสร้างความโกลาหนและลอบสังหารแกนนำที่ปรา
ศรัยอยู่บนเวที และสามารถโทษใครก็ได้ที่ไม่ใช่กองทัพ วัตถุประสงค์ของภารกิจนี้คือเพื่อทำให้การสลายการชุมนุมประสบผ
ลสำเร็จภายในเวลา 18.00 น. ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน โดยในเวลาประมาณ 14.30 น. กองทัพใช้กระสุนยางที่เตรียมมาหมดแล้วและได้เริ่มใช้กระสุนจริงใ
นการยิงปะทะ
38
ใช้ยุทธวิธีเพื่อเป็นการข่มขวัญมากกว่าการสลายการชุมนุม เช่น การใช้กระบองตีบนโล่, การยิงกระสุนยางตรงไปที่กลุ่มผู้ชุมนุม, และยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้า กองกำลังของกองพลทหารราบที่ ๑ ประสบความสำเร็จในการต้อนกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงไปบริเวณส่วนน
อกของถนนราชดำเนินทางใต้ตัดกับถนนวิสุทธิกษัตริย์ในเขตพื้นที่ที่
เรียกว่าสี่แยก จปร.
โจ เรย์ วิทตี้ เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ติดยศจ่าสิบโท (เกษียณ) ของกองทัพบก สังกัดหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ ปัจจุบันให้กับกรมตำรวจนครลอสแองเจลิสฝึกสอน การวางแผนและการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจในการควบคุมหรือจัดการกั
บการชุมนุมทั่วมหานครลอสแองเจลิสและทำงานหน่วยต่อต้านการก่อกา
รร้ายหรือหน่วยสวาท (อาวุธและกลยุทธ์พิเศษ)โจ เรย์ วิทตี้ เดินทางมากรุงเทพเพื่อตรวจสอบและประเมินการตอบโต้ของกองทัพไทย
ที่มีต่อกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2553 รายงานของโจ เรย์ วิทตี้ยังถูกเผยแพร่ในภาคผนวกอีกด้วย
รายงานฉบับนี้เขียนขึ้นด้วยความชำนาญของจ่าสิบโท โจ เรย์ วิทตี้ ในการวางแผนและการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจในการควบคุมหรือจัดการ
กับการฝูงชน จบในหลักสูตรการเป็นพลลาดตระเวนซุ่มยิงของกองทัพและเป็นผู้เชี่ยวชา
ญด้านอาวุธระเบิด เคยปฎิบัติภารกิจในการสู้รบทั้ง 2 ครั้งที่ประเทศอัฟกานิสถานและประเทศอิรัก ก่อนเขียนรายงาน จ่าสิบโท โจ เรย์ วิทตี้ ได้ตรวจสอบภาพวีดีโอจำนวนมาก หลักฐานภาพถ่าย สัมภาษณ์พยาน ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุหลายและจุดปฏิบัติการทหาร และศึกษาอ่านคำให้การพยายหลายปาก
จ่าสิบโท โจ เรย์ วิทตี้อธิบายว่าเหตุใดยุทธวิธีของกรมทหารราบในการสลายการชุมนุมเวลากลางวันจึงไม่ได้มาตราฐานของการจัดการฝูงชน หรือมาตราของกองทัพไทยเอง
39
วันที่ 10 เมษายน 2553 ทหารหลายกองจากกองทัพบกเตรียมพร้อมในชุดป้องกันการปะทะ
การจลาจลที่ออกแบบมาสำหรับสวมใส่ในสถานการณ์ที่ต้องมีการก
ารจัดการฝูงชน อุปกรณ์ที่กล่าวมานี้ได้แก่: หมวกกันน๊อค รุ่นเดฟล่าร์, ที่กั้นใบหน้า, ที่กันกระแทกหน้าอก, หัวไหล่, ท่อนแขนบน, ปลายแขน, ข้อศอก มือและหน้าแข้ง นี่คืออุปกรณ์ป้องกันมาตรฐานที่ใช้ในการจัดการฝูงชนที่หน่วยงานบั
งคับใช้กฎหมายหลายแห่งใช้เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่จากการถูกจู่โจม
ด้วยวิธีการที่หลากหลาย และ/หรือ การถูกขว้างปาของแข็งเข้าใส่ในระหว่างปฎิบัติการควบคุมฝูงชน แต่ทหารบางคนของกองทัพบกได้สวมใส่หน้ากากป้องกันแก๊สที่ใช้ใ
นการปฎิบัติการโดยใช้แก๊สน้ำตา หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www.___________ [ช่วงเวลากลางวัน – วันที่ 10 เมษายน]
กองทัพบกได้ประกาศกฎการใช้กำลัง (ROE) ไว้ทั้งสิ้น 7 ขั้นตอน ซึ่งเป็นกฎการใช้กำลังที่ต้องยึดถือปฎิบัติทุกครั้ง กระทำเฉพาะในกรณีที่จำเป็น และต้องมีการประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าหากมีการยกระดับการใช้
ความรุนแรงในขั้นที่สูงขึ้น ตามลำดับดังต่อไปนี้ (1) การเจรจาโดยใช้ลำโพง (2) จัดวางกองกำลังเพื่อแสดงพลัง (3) ผลักดันฝูงชนด้วยการใช้โล่ห์และกระบอง (4) การใช้น้ำฉีด (5) ใช้เครื่องขยายเสียง (6) ใช้แก๊สน้ำตาและ (7) ใช้กระสุนยางยิงจากปืนลูกซอง หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ _______ (พันเอก สรรเสริญ)
มีทหารหลายนายของกองทัพบกที่ติดอาวุธปืนไรเฟิล M-‐16 และสวมอุปกรณ์ป้องกันการจัดการฝูงชน ซึ่งการสวมอุปกรณ์ป้องกันพร้อมติดอาวุธดังกล่าวนี้ผิดหลักวัตถุปร
ะสงค์ของการจัดการฝูงชน ตามความเห็นของผม กองกำลังที่สวมอุปกรณ์และติดอาวุธดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อข่มข
วัญ และ/หรือเพราะว่าได้รับคำสั่งให้จากผู้บังคัญบัญชาให้ปรับแผนการ
40
จัดการให้เป็นการสู้รบ หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______. [ช่วงเวลากลางวัน – วันที่ 10 เมษายน (13)]
มีทหารหลายนายได้ทำการปั้มยิงหรือยิงด้วยปืนลูกซองหนึ่งนัด แต่ตามคำให้การพยาน, หลักฐานวิดีโอและหลักฐานทางวัตถุ ยังมีทหารที่ยิงด้วยกระสุนที่ที่มีอันตรายต่อชีวิตน้อยด้วย (เช่น กระสุนยาง) อย่างไรก็ตาม หลักฐานวิดีโอแสดงให้เห็นว่าในบางกรณีทหารใช้กระสุนที่ที่มีอันตร
ายต่อชีวิตน้อยนี้ยิงใส่ผู้ประท้วงที่มิได้มีท่าทีเป็นภัยคุกคามโดยที่มิไ
ด้มีการเตือนใดๆ ก่อน และการยิงในลักษณะนี้มีลักษณะที่น่าจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บทา
งร่างกายรุนแรงได้ การใช้กระสุนที่มีอันตรายต่อชัวิตน้อยนี้ขัดต่อระเบียบปฎิบัติในการ
จัดการฝูงชนที่เป็นที่ยอมรับและยังขัดต่อกฎการใช้ความรุนแรงของ
กองทัพไทย ซึ่งแสดงถึงเจตนาที่มีความผิดทางอาญา ฐานทำร้ายร่างกาย หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______. [ช่วงเวลากลางวัน – วันที่ 10 เมษายน (13)]
นอกจากนี้ ผมยังได้ตรวจสอบปลอกกระสุนของปืนลูกซองขนาด 12-‐gauge เก็บได้จากบริเวณที่มีการชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง ชี้ให้เห็นว่า อย่างน้อยที่สุดก็มีทหารบางนายที่บรรจุและใช้กระสุนจริงยิง ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เป็นความเห็นของผมที่ว่าสถานการณ์ที่เ
กิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นไม่มีทางที่จะสามารถ
ทำให้ทางกองทัพบกอ้างสิทธิ์ในการใช้กระสุนจริงได้เลย
ทหารส่วนใหญ่ที่ปฎิบัติหน้าที่โดยสวมใส่เครื่องป้องกันที่ใช้ในการสู้ร
บจะติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติรุ่น Tarov-‐21 หรือ M-‐16 แสดงให้เห็นว่าคำสั่งต้องการให้ทหารกลุ่มนี้ใช้ความสามารถในกา
รสู้รบมากกว่าจะจัดการฝูงชนอย่างเข้มงวด หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______. [ช่วงเวลากลางวัน – วันที่ 10 เมษายน (13)]
41
กองทัพบกไทยใช้อาวุธอัตโนมัติในช่วงเวลากลางวันของวันที่ 10 เมษายน ผมสามารถบอกได้จากการฟังคลิปเสียงว่ามีการยิงโดยใช้อาวุธแบ
บอัตโนมัติโดยยิงทั้งหมดสามชุดอย่างชัดเจน มีทหารหลายนายที่ยิงปืนทำมุมขึ้นเหนือฝูงชน เป็นที่ชัดเจนว่าทหารเหล่านี้ใช้กระสุนจริง โดยสักเกตจากหลายปัจจัย ดังนี้ ประการแรก ไม่มีการติดตั้ง “ปลอกทวีแรงถอย” (BFA) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันไม่ให้มีแรงดันแก๊สออกและช่วยให้คัดปลอกแ
ล้วบรรจุกระสุนนัดใหม่ได้โดยไม่ต้องดึงคันรั้งลูกเลื่อน แต่หากไม่ได้ติดตั้งปลอกทวีแรงถอยผู้ใช้ก็ต้องมาจัดการบรรจุกระ
สุนใหม่ในแต่ละครั้งที่มีการยิงกระสุนเปล่า อย่างไรก็ตาม ผมสังเกตไม่พบทหารแม้แต่นายเดียวที่ต้องมาบรรจุกระสุนใหม่โดย
การดึงคันรั้งเอง แต่กลับยิงแบบซ้ำๆ ได้ นอกจากนี้ปลอกทวีแรงถอยมักมีสีที่สะดุดตาเพื่อเหตุผลด้านความ
ปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการนำเอากระสุนจริงมาใช้ในการฝึกซ้อม แต่ผมก็ยังไม่เห็นปลอกทวีแรงถอยติดกับอาวุธปืนที่ทางกองทัพบกใ
ช้ยิง หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______. [ช่วงเวลากลางวัน – วันที่ 10 เมษายน (13)]
ประการที่สอง ผมตรวจสอบปลอกทองเหลืองที่เก็บกู้ได้จากรอบบริเวณพื้นที่ชุมนุม
ต่างๆ ปลอกทองเหลืองทั้งหมดมาจากกระสุนจริง เพราะปลอกกระสุนเหล่านี้ไม่จีบรอบหัวกระสุนเหมือนกับที่พบในหัว
กระสุนของลูกเปล่า
การยิงลูกกระสุนจริงขึ้นฟ้านั้นอันตรายมาก กระสุนจริงที่ยิงแนววิถียิงขึ้นนั้นในที่สุดก็ต้องตกลงมา ตามคู่มือกองทัพสหรัฐฯ FM 3-‐22.9 (M16/ไรเฟิล A2) ช่วงระยะยิงสูงสุดของปีนไรเฟิล M16A2 คือระยะ 3,600 เมตร การสุ่มยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้าอาจทำอันตรายให้แก่ใครก็ได้ที่อยู่ในรัศ
มีดังกล่าว จริงๆ แล้วมีรายงานที่ตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม 2537
42
ในวารสาร Journal of Trauma ที่คณะแพทย์ที่ King / Drew Medical Center ที่ในเวลานั้นคือ Los Angeles Trauma Center รักษาผู้ป่วยจำนวน 118 คนระหว่างปี 2528 และ 2535 จากการบาดเจ็บที่เกิดจากการถูกลูกกระสุนตกใส่ในช่วงเทศกาลปีใ
หม่และวันประกาศอิสรภาพ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 38 ราย
การที่ทหารของกองทัพบกยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้านั้นทำให้พลเมืองทุก
คนที่อยู่ในพื้นที่นั้นมีความเสี่ยงสูง การใช้กระสุนจริงของทางกองทัพบกภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เป็นอัน
ตรายแม้ว่าจะเล็งเป้าเหนือศรีษะกลุ่มผู้ประท้วงก็ตาม ถือว่าเป็นการละเมิดระเบียบปฎิบัติในการจัดการฝูงชนที่ยอมรับทั่วไ
ปอย่างเห็นได้ชัด และตามความเห็นของผมเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดก็เป็นความประมาท
ทางอาญา
จากการตรวจสอบหลักฐานวีดีโอหลายรายการ ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลไทยกระทำการที่ไม่เหมาะสมในการจัด
กำลังพลกองทัพบในการจัดการฝูงชน มีทหารหลายนายที่ไม่ได้รับการฝึกเรื่องกลยุทธและหลักปฎิบัติในก
ารควบคุมฝูงชนและไม่มีการสวมใส่หรือใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมในกา
รปฎิบัติงาน การขาดการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาทำให้มีผลลัพท์ออ
กมาอย่างที่เห็น คือมีทหารหลายนายสวมอุปกรณ์ป้องกันที่ใช้ในการจัดการฝูงชนค
วบคู่กับการติดอาวุธประเภทไรเฟิลจู่โจมซี่งเป็นการส่งข้อความที่ขัด
แย้งและสับสนให้แก่ทหารเหล่านี้ ตามความเห็นของผม ผู้ที่สมควรได้รับหน้าที่ในการปฎิบัติภารกิจในการจัดการฝูงชนควรเ
ป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเป็นอย่าง
ดีแต่นี่กลับเป็นกำลังพลทหารที่ปฎิบัติภารกิจโดยไม่คำนึงถึงความป
ลอดภัยของประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว
ในสถานการณ์ใกล้เคียงกันนี้ การใช้มาตรฐานในการจัดการฝูงชนคือการเตรียมแผนและซักซ้อม
ทำความเข้าใจกับผู้นำในการจัดการฝูงชนทั้งหมด
43
แล้วผู้นำต้องมาอธิบายรายละเอียดและดูแลความเรียบร้อยของผู้ป
ฎิบัติงานในทุกขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจกฎการใช้กำลังแ
ละปฎิบัติตามได้อย่างเหมาะสม การตัดสินใจควรทำเพื่อเป็นการสนับสนุนทิศทางของฝูงชนเพื่อสลา
ยตัวอย่างปกติ การตั้งแนวป้องกันต้องเห็นได้ชัดและเข้าถึงพื้นที่ ควรให้มีทางออกหลักอย่างน้อบหนึ่งทางให้ฝูงชนออกไปได้เอง ผู้นำใช้ระบบกระจายเสียงในการประกาศคำสั่งในการสลายฝูงชนแ
ละแจ้งทางออก ควรให้เวลาฝูงชนในการทำตามคำสั่งแนะนำ เจ้าหน้าที่ควรตั้งแถวเดินตรงไปยังฝูงชนช้าๆ โดยที่ให้เจ้าหน้าทีผู้นำทีมประกาศแจ้งขั้นตอนต่างๆ ให้กับฝูงชน อาจมีการใช้รถฉีดน้ำเพื่อให้ฝูงชนสลายตัวเร็วขึ้น และอาวุธที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิตอาจนำมาใช้ได้เฉพาะ
กับบุคคลที่ฝ่าฝีนคำสั่งเท่านั้น บุคคลที่กระทำความผิดทางอาญาควรถูกจับกุมโดยใช้กำลังตามคว
ามจำเป็น ผู้กระทำความผิดที่หลบหนีเข้าไปปะปนกับฝูงชนควรได้รับการระบุตั
วเสียก่อนแล้วจึงเข้าทำการจับกุมโดยสามารถระบุตัวได้จากการดูก
ล้องวีดีโอที่ติดตั้งไว้ตามพื้นที่ดังกล่าว
เห็นได้ชัดว่ามาตรการเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในวันที่ 10 เมษายน กองทัพไทยล้มเหลวในการปฎิบัติตามมาตรฐานในการจัดการฝูงช
นและกฎการใช้ความรุนแรงที่ประกาศเอาไว้
ผมได้อ่านคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ใน ¶ 35 ที่ให้การว่าวิธีการในการที่กองพลทหารราบที่ 1 ใช้ เป็น “ยุทธวิธีเพื่อเป็นการข่มขวัญมากกว่าการสลายการชุมนุม” เมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่ผมได้ตรวจสอบ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำให้การที่ว่านี้
พยานปากที่ 22 ให้การว่า
เวลาประมาณ 16:00 น. กองพลทหารราบที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ตรึงกำลังพื้นที่บริเวณสี่แยก จปร. เอาไว้
44
เนื่องจากกองพลทหารราบที่ ๙ ประสบปัญหาและไม่สามารถเคลื่อนพลผ่านสะพานปิ่นเกล้าฯ ได้ สถานการณ์การปะทะกันเริ่มขึ้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงได้รีบเดินหน้
าเข้ามาพบกับทหารกองพลทหารราบที่ ๙ ตรงบริเวณสะพานปิ่นเกล้าฯ และทหารที่อยู่แนวหน้าซึ่งเป็นพลหุ้มเกราะไม่ต้องการที่จะขับรถพุ่ง
ชนประชาชนที่เป็นกลุ่มผู้ประท้วง เมื่อทหารไม่สามารถเคลื่อนตัวเข้าไปไกลกว่านี้ได้ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงได้เข้ายึดรถทหารและปิดกั้นทางเข้าสะพานปิ่นเกล้า
ฯ โดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งสกัดกั้นไม่ให้กองพลทหารราบที่ ๙ ได้เคลื่อนกำลังรุกล้ำเข้ามา
เวลาประมาณ 16:00 น. เป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพไม่สามารถดำเนินการสลายการชุมนุมได้ก่อ
นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ส่งผลให้มีการประชุมกองกำลังปราบปรามที่ศูนย์บัญชาการชั่วครา
วภายในกองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๑ ในช่วงเวลานี้เอง พลเอก ประยุทธ กล่าวว่าการสลายการชุมนุมควรจะแล้วเสร็จในทันที ไม่เกี่ยงว่าจะต้องทำในช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน มีนายทหารระดับนายพลหลายนายในกองกำลังปราบปรามที่ไม่เห็
นด้วยกับพลเอก ประยุทธ แต่จากคำแนะนำโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เป็นผลให้พลเอก ประยุทธ ได้รับอำนาจสิทธ์ขาดให้รับผิดชอบการดำเนินภารกิจต่อไป แต่ไม่มีคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับการปฎิบัติภารกิจสลาย
การชุมนุมในเวลากลางคืน
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์อนุมัติในพลเอกประยุทธ์ปฏิบัติการ
แม้ว่าจะประกาศก่อนหน้านี้ว่าการสลายการชุมนุมจะกระทำในเวลากลาง
วันอย่างเคร่งครัด พยานปากที่ 22 ให้การต่อว่า
เวลาประมาณ 17.00 น. พลซุ่มยิง (สไนเปอร์) เข้าประจำตำแหน่งอยู่บนอาคารต่างๆ
45
บริเวณสี่แยกคอกวัวเริ่มเปิดฉากยิงกระสุนปืนจริงขนาด .22 ไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณดังกล่าว โดยที่ไม่สามารถปลุกระดมให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าปะทะกับกองกำลังทห
ารได้
พลเอก ประยุทธเพิ่มกำลังทหารที่ประจำการณ์อยู่ที่บริเวณปากทางเข้าถนน
ดินสอและถนนตะนาวโดยการจัดกำลังพลพร้อมอาวุธที่เขาไว้วางใ
จไปอยู่แถวหน้า โดยใช้กำลังพลจากกองพลทหารราบที่ ๒ ทั้งสองพื้นที่ กองกำลังตรงบริเวณถนนดินสอมีพลหุ้มเกราะคอยสนับสนุนอยู่ทั้ง
สิ้น 6 คัน นำโดยพันเอกร่มเกล้า กองกำลังนี้เดินหน้าลงไปยังถนนดินสอและถนนตะนาวจนกระทั่งแน
วหน้าของทหารเผชิญหน้าโดยตรงกับแนวหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุม
เวลา 18:00 น.พลซุ่มยิงที่อยู่บนหลังคาโรงเรียนสตรีวิทย์เริ่มเปิดฉากยิงกระสุนปี
นขนาด .22 เข้าที่ขาของผู้ชุมนุมประท้วงจำนวนหนึ่งที่อยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประช
าธิปไตยโดยหวังว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะเกิดความไม่พอใจและเข้าปะทะกั
บกลุ่มทหาร นอกจากนั้น ทหารเริ่มยิงกระสุนยางใส่ฝูงชนและยิงกระสุนจริงขึ้นเหนือศรีษะ ทหารของ กองพลที่ ๒ ยิงกระสุนปืนจริงขนาด .50 ใส่ฐานรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจากปืนกลที่ติดตั้งไว้ยานหุ้มเกร
าะคันหนึ่ง ทหารบางส่วนเริ่มยิงใส่ฝูงชน กระสุนปืนนัดหนึ่งทะลุร่างของนักข่าวชาวญี่ปุ่น ฮิโรยูกิ มุราโมโต เสียชีวิต
46
ภารกิจทั้งหมดนี้ทำเพื่อยั่วยุให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง เพื่อที่ทหารจะได้มีเหตุผลในการเปิดฉากยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้กระทำการรุนแรงใด จะมีก็แค่การจุดประทัดและขว้างขวดน้ำพลาสติกใส่ทหารเท่านั้น ซึ่งการปะทะในลักษณะนี้กินเวลาต่อเนื่องกว่า 1 ชั่วโมง
จ่าสิบโทโจ เรย์ วิทตี้ ได้สังเกตการณ์และสรุปเกี่ยวกับการปฏิบัติตามและการกระทำของกรมท
หารราบที่ 2 กองทัพไทยในคืนวันที่ 10 เมษายน
จากคำให้การของพยาน คำสัมภาษณ์ และหลักฐานทางวีดีโอ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จัดวางกองกำลังทหารในตอนบ่ายของวันที่ 10 เมษายน จากบริเวณด้านข้างประตูทางเข้ากองทัพภาคที่ 1 ซึ่งอยู่ตรงถนนราชดำเนินนอกใกล้กัลป์สะพานมัฆวาน หน่วยเคลื่อนพลไปทางใต้พร้อมกับรถทหารและยึดพื้นที่ตรงถนนตะ
นาว ทหารตั้งศูนย์บัญชาการ (CP)
47
บนถนนตะนาวทางทิศเหนือของสี่แยกตอกวัว ทางทิศตะวันตกเป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยึดพื้นที่วงเวียนสิบสามห้างทหารเคลื่อนพลทางเท้าเข้ายึดและกระชั
บพื้นที่ตรงบริเวณทางเหนือของสี่แยกคอกวัวที่ที่ถนนตะนาวมาบรร
จบกับถนนราชดำเนินกลาง
ทหารของกองพลทหารราบที่ 2 ได้ตั้งแนวกั้นทางทิศใต้ของสุดทางบทถนนดินสอบรรจบกับถนนราช
ดำเนินกลางที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีพลหุ้มเกราะติดอาวุธปืนอัตโนมัติขนาดใหญ่อยู่ข้างบนพร้อมพลยิ
งคอยสนับสนุนทหารกองนี้อยู่ 3 คัน ปินอัตโนมัติถูกติดตั้งติดเอาไว้บนพลหุ้มเกราะพร้อมสายกระสุนขน
าด .50 หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
กองพลทหารราบที่ 2 จัดกำลังพลปฎิบัติหน้าที่ด้วยความเด็ดขาด ในสถานการณ์ที่การคุกคามอาจนำไปสู่การปะทะกันได้ กองพลทหารราบที่ 2 จัดเรียงกำลังพลอยู่หน้ายานหุ้มเกราะบนถนนดินสอ สวมใส่อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการฝูงชนและบางรายติดอาวุธปืนไรเ
ฟิลจู่โจมซึ่งขัดต่อระเบียบปฎิบัติของการจัดการฝูงชน ผมประมาณการณ์ว่ามีทหารกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 80 นาย ถัดไปทางด้านหลังมีกำลังพลประมาณ 100 กองพลที่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน ทำให้เชื่อว่าเจตนาที่แท้เจริงของการปฎิบัติภารกิจของกองพลทหาร
ราบที่ 2 ไม่ใช่เพื่อการจัดการและสลายการชุมนุมที่รัฐบาลได้ประกาศว่าผิด
กฎหมาย แต่เป็นการคุกคามพลเมืองที่ปราศจากอาวุธด้วยกองกำลังที่น่าสะ
พรึงกลัว ผมสังเกตเห็นว่ามีการขว้างกระป๋องแก๊สน้ำตาเข้าไปในกลุ่มผู้ประท้
วงด้วย
ปฎิบ ัต ิการสลายการชุมนุมของกองทัพในวันที ่ 10 เมษายน
พ .ศ .2553
48
13:00 เน ิ ่มสลายการชุมนุม
16:00 ทหารเร ิ ่มเด ินหน้า
17:00 น . มีการยิงของพลซุ ่มย ิงอย่างกระจายยริเวณ
18:00 น . ทหารตรึงกำลัง
19:15 น . มีเหตุระเบ ิด M.79 19:30 น .
มีการยิงอย่างไม่ย ั ้ง
49
ผมได้ตรวจสอบหลักฐานภาพถ่ายของพลซุ่มยิงที่ยิงปืนไรเฟิลจากบ
นระเบียงชั้นสามบนอาคารสำนักงานสีขาวที่อยู่ตรงหัวมุมของถนน
ตะนาวและถนนราชดำเนิน (กองสลากกินแบ่งรัฐบาล) ตามความเห็นของผม หลักฐานรูปถ่ายนี้แสดงให้เห็นที่ซ่อนของพลซู่มยิงในเมือง ซึ่งทำโดยพลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกทางทหาร ผมได้อ่านแถลงการณ์ของผู้นำทหารในการจัดวางกำลังพลซุ่มยิงใ
นพื้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ซึ่งยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยเริ่มยิงเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ในวันที่ 10 เมษายน ด้วยมีเจตนาเพื่อเป็นการยั่วยุฝูงชนให้ใช้ความรุนแรง (ดูคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ที่ ¶¶ 32 และ 38) ตามความเห็นของผม หลักฐานภาพถ่ายที่ผมได้ตรวจสอบสนับสนุนแถลงการณ์ดังกล่าวนี้ หลักฐานภาพถ่ายนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
52
เมื่อถึงเวลากลางคืน ทหารกองพลทหารราบที่ 2 ลดการปฎิบัติภารกิจลงโดยการหยุดใช้อาวุธจู้โจม M-‐16 ในขณะที่ทหารบางนายที่ปฎิบัติการอยู่บนถนนดินสอยิงกระสุนวิถีขึ้
นสูงเหนือศรีษะฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
53
ก็มีทหารหลายนายที่ยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยตรง ไม่มีการติดตั้งปลอกทวีแรงถอย ซึ่งนั้นก็แปลว่าทหารเหล่านี้ใช้กระสุนจริงยิงใส่ฝูงชน หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
ผมยังได้สังเกตอาวุธปืนกลหนัก (.50 caliber) ที่ติดตั้งบนพลหุ้มเกราะคันหนึ่งที่ยิงโดยการตั้งเป็นระบบอัตโนมัติโด
ยลำกล้องอยู่ในระดับสายตาไม่ติดปลอกทวีแรงถอย ซึ่งแปลว่าอาวุธนั้นใช้กระสุนจริง นอกจานี้ผมยังได้สังเกตทหารกลายนายที่นั่งอย่างสงบอยู่บนพลหุ้ม
เกราะในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งหมายถึงว่าทหารเหล่านั้นไม่รู้สึกว่าฝูงชนเป็นภัยคุกคาม ปืนกลหนักขนาด .50 caliber ประเภทนี้มักใช้ในสมรภูมิรบเพื่อใช้ในการยิงทำลายยานพาหนะของ
ฝ่ายตรงข้ามโดยการยิงกระสุนขนาดใหญ่ใส่เครื่องยนต์และบางครั้
งก็ใช้ในการยิงต่อต้านยานอากาศ อาวุธชนิดนี้ให้ผลทำลายล้างที่รุนแรงมาก และการใช้ในบริบทของการจัดการฝูงชนอย่างในกรณีนี้ ที่ไม่มีการคุกคามจริงต่อกองทหาร เป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าละอายมาก หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
จากคำให้การของพยาน คำสัมภาษณ์ และหลักฐานทางวีดีโอ ปืนกลหนักได้ยิงตรงไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งจำนวนของผู้ชุมนุมที่อยู่ในบริเวณนั้นเห็นได้ชัดว่ามีหลายพันคน ผู้ชุมนุมหลายคนยืนประจันหน้ากับทหาร อยู่ตรงบริเวณฐานของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งมีความสูงเท่ากับ
ส่วนบนของพลหุ้มเกราะ เป็นที่แน่ชัดว่าพลยิงที่อยู่บนพลหุ้มเกราะมีความเสี่ยงร้ายแรงที่จะท
ำให้ฝูงชนได้รับบาดเจ็บจากการยิงทั้งกระสุนตรง, กระสุนที่ตก
54
และ/หรือกระสุนแฉลบ และจากเศษคอนกรีตที่ร่วงลงมาจากการยิงถูกอนุสาวรีย์ประชาธิป
ไตยด้วยกระสุนขนาด .50 caliber ด้วยความเร็วสูง หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
จากคำให้การของพยาน คำสัมภาษณ์ และหลักฐานทางวีดีโอ นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมที่ว่าพฤติกรรมของฝูงชนในวันที่ 10 เมษายน นั้นมิได้แสดงถึงภัยคุกคามจริงใดๆ ที่เป็นการมุ่งทำร้ายทหารให้ได้รับบาดเจ็บรุนแรง การยิงกระสุนจริงเหนือศรีษะของผู้ประท้วงขัดแย้งกับมาตรฐานของ
การจัดการฝูงชนที่ยอมรับได้, ละเมิดกฎหารใช้กำลังของทางกองทัพ และอย่างน้อยที่สุดเป็นการกระทำที่เป็นความประมาททางอาญา การยิงกระสุนจริงตรงไปยังฝูงชนเป็นความผิดทางอาญาอย่างมิต้อ
งสงสัย
ก่อนเวลา 19.15 น.ไม่กี่นาที ทหารที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่บริเวณถนนดินสอได้เพิ่มระดับความรุนแรงอ
ย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีการเปิดฉากยิงด้วยอาวุธ ผมสังเกตเห็นเงาทหารที่ยกแขนขึ้นด้านบนซ้ำๆ กับ ซึ่งเป็นการออกคำสั่งให้ทหารเพิ่มการยิงมากให้ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และการยิงที่ถี่ขึ้นก็สอดคล้องกับท่าทางของเงานั้นๆ ในการตอบโต้การระดมยิงครั้งนี้ ผู้ประท้วงบางคนได้ขว้างขวดน้ำ, ก้อนอิฐ, ไม้ และประทัดใส่กองทหารซึ่งอาจทำให้ได้รับการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อ
ย แต่ตามความเห็นของผมแล้ว ผมคิดว่าสิ่งของส่วนใหญ่คงกระเด็นออกไปหมดเพราะทหารมีโล่ห์เ
ป็นกำบัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกองทัพได้ใช้แก๊สน้ำตาในการแยกทหารและ
กลุ่มผู้ประท้วงออกจากกันได้อย่างมาก
55
การแยกทหารออกจากกลุ่มผู้ประท้วงพิสูจน์ได้จากระยะความโค้งข
องขวดน้ำที่ผู้ประท้วงขว้างออกไป หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
ผมได้สังเกตุทหารที่ยืนอยู่บนพลหุ้มเกราะในมือถือปืนกึ่งอัตโนมัติซึ่
งผมเชื่อว่าจากลักาณะดังกล่าวทหารนายนี้เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในตำแ
หน่งผู้นำ ทหารนายนี้ตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงที่ขว้างขวดน้ำพลาสติกด้วยการยิ
งปืนขึ้นฟ้าหลายนัดติดต่อกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระสุนที่เขายิงขึ้นฟ้านั้นเป็นกระสุนจริงเพราะลูก
กระสุนเปล่าจากปืนพกกึ่งอัตโนมัตินั้นจะไม่ทำให้ปืนมีแรงดันมากพ
อที่จะทำให้ปืนบรรจุกระสุนชุดใหม่เข้าไปได้เอง ความจริงที่เจ้าหน้าที่คนนี้ต้องยิงกระสุนจริงด้วยปืนพก ในมุมมองของทหารและจากการที่ไม่มีภัยคุกคามที่ถูกต้องตามกฎห
มายใดๆ ยืนยันว่ากองทหารได้รับคำสั่งให้ยิงอาวุธ และนี่ยังแสดงเจตนาของกองทัพในการยั่วยุฝูงชนอีกด้วย หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
ความเป็นไปได้ที่กองทหารที่อยู่บริเวณถนนดินสอได้รับคำสั่งให้ยกร
ะดับการยิงเพื่อกลบเสียงปืนสไรเปอร์ของพลซุ่มยิงที่ยิงเข้าใส่ฝูงชน นอกจากนั้น เนื่องจากการระดมยิงนี้เกิดขึ้นก่อนเวลา 19.15 น. ไม่นาน ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าการระดมยิงนั้นถูกตั้งเวลาให้ประจวบเห
มาะกับการระเบิดทั้งสองครั้งที่จะเกิดในเวลาประมาณ 19.15 น. ซึ่งทหารที่อยู่ตรงถนนดินสอระดมยิงใส่ฝูงชนไม่ยั้งทำให้มีผู้เสียชีวิต
หลายรายและบาดเจ็บหลายร้อยคน
ที่จริงแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ มีการยิงหลอดไฟถนนตรงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทำให้บริเ
วณนั้นมีแสงสว่างน้อยมาก
56
การกระทำดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของทหารในการโต้ตอบกับการ
กระทำของฝูงชน ช่วงเวลาเกิดเหตุก่อนที่จะมีการระเบิดนี้ชวนให้ผมคิดว่าการกระทำ
ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ใหญ่กว่าในการสร้างความสับส
น และ/หรือการปกปิด
ผมได้อ่านคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ใน ¶ 41 ที่ให้การว่า “ภารกิจทั้งหมดนี้ทำเพื่อยั่วยุให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง เพื่อที่ทหารจะได้มีเหตุผลในการเปิดฉากยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม” ตามความเห็นของผม เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับคำให้การนี้เป็นอย่างยิ่ง
ตามคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 พลซุ่มยิงได้ยิงใส่พลเรือนในพื้นที่สี่แยกคอกวัว ตั้งแต่เวลาประมาณ 17:00 น. และในบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตั้งแต่เวลา 18:00 น. โดยไม่สามารถยั่วยุให้ผู้ประท้วงมีปฎิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงได้สำเร็จตามวัถุประสงค์ ทหารส่วนใหญ่ที่ปฎิบัติการภาคพื้นดินที่ถนนตะนาวและถนนดินสอได้ยิงปืนขึ้นเหนือศีรษะของฝูงชนแม้ว่าจะมีทหารบางนายเริ่มยิงตรงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วก็ตาม ไม่กี่นาทีก่อนเวลา 19.45 กองกำลังของกองพลทหารราบที่ 2 ปฎิบัติการที่สี่แยกคอกวัวบนถนนตะนาวได้เริ่มระดมยิงเข้าใส่ฝูงชน [1]
เกิดเหตุระเบิดขึ้นสองครั้งเมื่อเวลาประมาณ 19:15 ภายในรัศมีของทหารกองพลทหารราบที่ 2 ที่ปฎิบัติการอยู่บนถนนดินสอ ส่งผลให้มีทหารอย่างน้อย 6 นายเสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายนาย
หลังจากที่เกิดระเบิดครั้งที่หนึ่งจากการระเบิดทั้งสองครั้ง (เสียงระเบิดดังหลังจากระเบิดลูกแรก 34 วินาที), กองกำลังบนถนนดินสอเริ่มระดมยิงข้าใส่ฝูงชนไม่ยั้งทำให้มีผู้ประท้วงได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคนและเสียชีวิตอีกมาก คำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ได้ให้การไว้ดังนี้:
57
เวลาประมาณ 19:15 น. มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นสองครั้งบริเวณด้านหลังของแนวหน้ากองพลทห
ารราบที่ ๒ บนถนนดินสอ เป็นเหตุให้มีทหารหลายนายเสียชีวิต หนึงในนั้นคือ พันเอกร่มเกล้า พยานให้การว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิงระเบิดสองลูกนี้ แม้ว่าพยานจะสงสัยว่าผู้ที่ยิงระเบิดจะเป็นหนึ่งในกองพลทหารราบ
ที่ ๑ รักษาพระองค์ ซึ่งเคยมีเรื่องบาดหมางกันกับกองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ เรื่องบาดหมางที่ว่าคือปัญหาว่ากองพลใดจะได้รับพิจารณาให้เป็นก
องพลที่จะได้ก้าวหน้าอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งตามปร
ะวัติศาสตร์แล้วเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งนี้เคยเป็นของกองพลทห
ารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ แต่ในปีที่ผ่านมาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเป็นของกองพลทหาร
ราบที่ ๒ พยานให้การว่า พยานไม่แปลกใจเลยหากสาเหตุของการเกิดระเบิดในครั้งนี้จะมาจ
ากทหารที่รับคำสั่งจากพลเอก ประยุทธขว้างระเบิดเข้ามาเพื่อจะใช้เป็นข้ออ้างของทหารในการเปิด
ฉากยิงใส่ฝูงชน
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ขว้างระเบิดสองลูกนี้เข้ามา กองพลทหารราบที่ ๒ ก็ฉวยโอกาสนี้ในการเปิดฉากยิงใส่ฝูงชน มีประชาชนหลายร้อยคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกจำนวนมาก พลปืนที่ติดอาวุธปืนกลพร้อมลูกกระสุนขนาด .50 ที่ประจำอยู่บนรถหุ้มเกราะคันหนึ่งของกองพลทหารราบที่ ๒ ได้รับคำสั่งให้ยิงปืนเข้าใส่ประชาชน แต่โชคดีที่นายทหารคนนี้ปฎิเสธไม่ทำตามคำสั่ง
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะไม่เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณถนนตะนาว แต่ทหารจากกองพลทหารราบที่ ๒ ที่ตรึงกำลังอยู่บนถนนตะนาว บริเวณสี่แยกคอกวัวได้ยิงกระสุนจริงเป็นพันๆ นัดใส่ประชาชนที่ปราศจากอาวุธ
58
ในขณะที่ยังไม่มีใครทราบแหล่งที่มาของการเกิดระเบิดทั้งสองครั้งนี้อย่าง
แน่ชัด แต่จ่าสิบโทวิทตี้ (เกษียณ) มีความเห็นว่าสาเหตุของการระเบิดน่าจะมาจากระเบิดมือ M-‐76 ที่กองทัพบกไทยใช้บ่อยๆ และระเบิดดังกล่าวไม่น่าจะถูกขว้างมาจากทางฝั่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้:
ผมได้ตรวจสอบภาพวิดีโอการระเบิดที่สังหารทหารในกองทัพบกหล
ายนาย บนถนนดินสอ ที่เวลาประมาณ 19:15 น. ของวันที่ 10 เมษายน ผมสามารถกดหยุดวิดีโอหนึ่งได้ในช่วงเวลาที่มีการระเบิดครั้งแรก
พอดี และผมแน่ใจว่าการระเบิดครั้งนี้มีสาเหตุมาจากวัตถุระเบิดที่ใช้ในระ
ดับทหาร ซึ่งน่าจะเป็นระเบิดมือ รูปแบบของสะเก็ตระเบิดที่ได้จากการระเบิดของวัตถุระเบิดชิ้นนี้ได้สั
ดส่วนกันมาก ชี้ให้เห็นว่าการเผาไหม้ของวัสดุที่ใช้ทำระเบิดเผาไหม้ในอัตราคงที่ ในทางตรงกันข้าม รูปแบบของสะเก็ตระเบิดจาก ระเบิดแสวงเครื่องมักจะไม่ได้สัดส่วนที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันเนื่อง
จากไม่มีทางที่จะประกอบระเบิดได้สมบูรณ์แบบ นั่นเป็นความจริงที่ว่าระเบิดแสวงเครื่องไม่ได้ถูกผลิตขึ้นในโรงงานผ
ลิตที่ผลิตระเบิดเพื่อใช้ในระดับทหาร ดังนั้นความชื้นสามารถเข้าไปในวัสดุที่ใช้ทำระเบิดแสวงเครื่องและล
ดอัตราการเผาไหม้ในพื้นผิววัสดุที่มีความชื้นนั้นๆ ทำให้สะเก็ตระเบิดมีขนาดไม่สม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม สะเก็ตระเบิดจากการระเบิดครั้งแรกบนถนนดินสอนั้นได้สัดส่วนกัน
มากเกิดกว่าจะเป็นสะเก็ตระเบิดจากระแบบแสวงเครื่อง ทำให้ผมสามารถสรุปได้ว่าการระเบิดครั้งแรกนี้เป็นการระเบิดของ
อุปกรณ์ที่ใช้ในระดับทหาร
นอกจากนี้ ประกายไฟออกมาจากการระเบิดเป็นชิ้นส่วนของโลหะเหลวเป็นลัก
ษณะของระเบิดทางการทหารที่ออกแบบมาเพื่อให้กระจายออกมา นี่เป็นการระเบิดประสิทธิภาพสูงและรูปแบบของทหารที่กระเด็นตกล
59
งจากแรงระเบิดก็สอดคล้องกับผลที่จะได้จากระเบิดมือ ตามความเห็นของผม การระเบิดครั้งนี้สอดคล้องกับการใช้ ระเบิดมือแบบขว้าง M67 ซึ่งนิยมใช้ในกองทัพบกไทย หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
หลังจากมีการระเบิดครั้งแรกเพียง 34 วินาที ก็ได้ยินเสียงระเบิดลูกที่สองบนถนนดินสอ แม้ว่าจะไม่เห็นภาพการระเบิดครั้งที่สองในวีดีโอที่ผมตรวจสอบแต่
ผมไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนของเสียงและจังหวะเสียงระเบิดขอ
งการระเบิดทั้งสองครั้ง เพราะว่าวัตถุระเบิดแต่ละประเถทนั้นให้เสียงที่แตกต่างกัน ดังนั้นมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าการระเบิดครั้งที่สองก็มีสาเหตุมาจากระเ
บิดมือที่ใช้ในทางทหารเช่นเดียวกัน
หลังจากมีการระเบิดทั้งสองครั้งนี้ ทหารได้เริ่มระดมยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงในทันที กองทหารถอยร่นขึ้นไปทางเหนือของถนนดินสอไกลออกจากอนุสา
วรีย์ประชาธิปไตย แต่ในขณะที่มีการเคลื่อนพลออกจากพื้นที่นั้น ทหารก็ยังคงยิงใส่กลุ่มผู้ประท้วงต่อไป ผมเข้าใจว่าด้วยเหตุนี้จึงมีพลเรือนเสียชีวิตหลายสิบรายและบาดเจ็
บอีกร้อยกว่าราย หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
หลักฐานจากวีดีโอและจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุด้วยตนเอ
ง ทำให้ผมสรุปได้ว่า ระเบิดครั้งแรกไม่น่าจะสามารถมาจากทางฝั่งคนเสื้อแดงได้ ประการแรก หากระเบิดมาจากฝั่งคนเสื้อแดงจริง ต้องมีการขว้างระเบิดดังกล่าวมาจากระยะทางอย่างน้อย 70 หลา พลทหารทั่วๆ ไปสามารถขว้างระเบิดมือแบบขว้างน้ำหนัก 14 ออนซ์ ได้ในระยะที่น้อยกว่านั้นครึ่งหนึ่ง คือแค่ประมาณ 30 หลา
ประการที่สอง เมื่อคำนึงถึงระยะโคจรของขวดน้ำที่ถูกขว้างมาจากฝั่งคนเสื้อแดงต
รงมายังทางฝั่งทหารแล้ว
60
ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากที่ทหารจะไม่ทันสังเกตเห็นระเบิดมือแ
บบขว้างน้ำหนัก 14 ออนซ์ล่วงหน้า ซึ่งถูกขว้างมาจากระยะทางที่ให้วิถีโคจรที่คล้ายคลีงกับการขว้างขว
ดน้ำได้ ทหารทุกนายไม่เว้นแม้กระทั่งทหารในกองทัพบกไทยที่ผมเคยฝึกซ้อ
มให้ ต้องเคยได้รับการฝึกให้มีปฎิกริยาตอบสนองต่อวัตถุอันตรายที่เข้า
มาในระยะที่ทหารนายนั้นอยู่ ในกรณีที่มีการยิงระเบิดเข้ามาหรือมีวัตถุที่คล้ายกับระเบิดแม้อยู่ใน
ระยะไกล ทหารทุกนายได้รับการฝึกในกรณีนี้เป็นเศษว่าให้ตะโกนเตือนว่า “ระเบิด” และรีบหาที่กำบังหรือหมอบราบลงบนพื้น อย่างไรก็ตาม หลักฐานในวีดีโอก็ปรากฏชัดเจนว่าทหารไม่ได้มีปฎิกริยาตอบสนอง
ต่อการขว้างระเบิดก่อนที่จะเกิดการระเบิดเลย หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :______.
ประการที่สาม การปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องภายใต้สถานการณ์ดังกล่
าวต้องเรียกร้องให้มีการติดตั้งใช้งานกล้องวีดีโอในบริเวณพื้นที่นั้น
ๆ เพื่อสังเกตฝูงชนว่ามีความผิดปกติหรือไม่เพื่อการจะได้มีการยั้บยั้ง
ในทันทีและหากเห็นสมควร ให้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นลำดับต่อไป ผมเข้าใจว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถหาวีดีโอใดๆ ที่บันทึกภาพบุคคลจากฝั่งคนเสื้อแดงในขณะกำลังขว้างระเบิดลงใน
ระยะที่กองพลทหารราบที่ 1 ปฎิบัติภารกิจอขู่บนถนนดินสอได้
ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วสำหรับผมว่าได้มีการทิ้งหรือกลิ้งระเบิดมื
อมากับพื้น วิธีใดวิธีหนึ่งโดยบุคคลที่อยู่ภายในรัศมีกองทัพในระยะใกล้เคียงกับ
จุดที่มีการระเบิด ระเบิดมือ M67 จุดฉนวดภายในเวลา 5 วินาที มีเวลามากพอที่จะแอบทิ้งระเบิดมือในจดเกิดเหตุและไปหลบอยู่ข้าง
หลังพลหุ้มเกราะที่เห็นในหลักฐานภาพวีดีโอที่อยู่ไม่ไกลทันเวลาเพื่อ
61
หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ ตามความเห็นของผม นี่เป็นเพียงการนิรนัยเหตุการณ์ที่ได้จากหลักฐานที่ผมได้ตรวจสอบ
แม้ว่ารัฐบาลไทยได้อ้างมือระเบิดที่ก่อเหตุในครั้งนี้ว่าเป็นกลุ่มคนที่เรียกว่
า "ชายชุดดำ" ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง กองทัพไทยมีประวัติอันยาวนานในการใช้กลุ่มผู้ก่อกวนทางการเมืองก่อเ
หตุต่างๆ เพื่ออ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังรุนแรงต่อพลเรือนที่ปราศจากอา
วุธ จ่าสิบโทวิทตี้ (เกษียณ) มีความเห็นว่าเหตุการณ์การระเบิดในครั้งนี้น่าจะมีสาเหตุมามาจากทหาร
ที่อยู่ในกองทัพบกไทยด้วยกันเอง
ผมได้ยนิมาว่ารัฐบาลได้อ้าง "ชายชุดดำ" หรือบุคคลนิรนามอื่นๆ ที่รัฐบาลเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ว่าเป็นผู้ที่ใช้ระเบิดโจมตีเมื่อวันที่ 10 เมษายน บนถนนดินสอ ในความคิดของผม ไม่มีการนิรนัยใดๆ ที่สมเหตุสมผล กองพลทหารราบที่ 2 กำลังปฎิบัติภารกิจอยู่บนถนนดินสอด้วยความเด็ดขาดซึ่ง แสดงให้เห็นว่าทหารของกองพลนี้ปฎิบัติตามกลยุทธ์และระเบียบวิธี
ปฎิบัติทางการทหารที่ออกแบบมาเพื่อรักษาเขตพื้นที่และป้องกันไม่
ให้บุคคลที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาในเขตพื้นที่ได้ ตามความเห็นของผมการปฎิบัติการดังกล่าวน่าจะช่วยป้องกันไม่ให้
มี “ชายชุดดำ” คนใดหรือใครก็ตามที่ไม่ใช่คนของกองทัพบกเข้ามาใกล้พื้นที่ที่เกิดเ
หตุระเบิดได้เลย
ผมได้อ่านคำให้การของพยานปากที่ 22 ที่ให้การในเรื่องที่เกี่ยวกับการจู่โจมด้วยระเบิดบนถนนดินสอว่าอาจ
จะเป็นการกระทำของทหารที่มีความบาดหมางกัน นั่นคือทหารจากกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ หรือความเป็นไปได้อีกทางหนึ่งคือ
62
บุคคลที่ทำการจู่โจมครั้งนี้ปฎิบัติหน้าที่โดยรับคำสั่งจากพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการของกองพลทหารราบที่ 2 ตามความเห็นของผม ไม่ว่าจะ นิรนัยใดก็เป็นไปได้ทั้สิ้นเมื่อดูจากหลักฐานที่ผมได้ตรวจสอบ
ผมได้อ่านคำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ซึ่งให้การว่ากลยุทธ์ทางการทหารของกองทัพในวันที่ 10 เมษายนนั้น “ไม่ได้มีเจตนาเพื่อเป็นการขับไล่ผู้ชุมนุมแต่มุ่งเน้นไปที่การจำกัดกลุ่
มผู้ชุมนุมไว้ในบริเวณที่กำหนด, ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงเพื่ออ้างเหตุผลในการสู้เพื่อป้องกันตนเอง และเปิดฉากยิง” (คำให้การพยานนิรนามปากที่ 22 ที่ ¶ 29) ตามความเห็นของผม โดยดูจากหลักฐานทั้งหมดที่ได้ตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดก่อนการระเบิดในวันที่ 10 เมษายนนั้นสอดคล้องกับคำให้การชิ้นนี้เป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนั้น ตามความเห็นของผม คำให้การนี้เสนอแรงจูงใจที่สมเหตุสมผลต่อการจู่โจมโดยใช้ลูกระเ
บิด
63
นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงต่อการมีปฎิกริยาโต้ตอบต่อเหตุระเบิดซึ่งคือก
ารเปิดฉากยิงใส่ฝูงชน
ตามความเห็นของผม ถึงแม้ว่าระเบิดจะถูกขว้างมาจากฝั่งคนเสื้อแดงในวันที่ 10 เมษายน – ซึ่งผมอธิบายว่านี่ไม่ใช่การนิรนัยที่สมเหตุสมผล -‐ แต่การตอบโต้ของทหารหลังจากที่มีการระเบิดก็ยังคงเป็นการกระท
ำที่มีความผิดทางอาญาอย่างแท้จริง ปฎิกริยาที่ทางกองทัพน่าจะมีหลังจากการเกิดระเบิดก็คือการหยุดยิ
ง, ถอยร่น และจัดให้พลซุ่มยิงและพลชี้เป้าเข้าประจำการเพื่อระบุตัวผู้ที่น่าจะเป็
นคนร้ายขว้างระเบิดในฝูงชน การซุ่มยิงด้วยอาวุธร้ายแรงในสถานการณ์นี้มีความเหมาะสมหาก
พลชี้เป้าสามารถระบุบุคคลที่กำลังขว้างระเบิดลูกต่อมาได้ แต่ทว่า ตามที่ระบุไว้ข้างต้นว่าทหารระดมยิงใส่ฝูงชนไม่ยั้งและแม้ว่าจะมีกา
รถอยกำลังขึ้นไปทางเหนือของถนนดินสอ แต่ทหารก็ยังคงไม่หยุดยิง ผมคิดว่านี่เป็นกรกระทำที่มีความผิดทางอาญา
นอกจากนั้น หลังจากที่ทหารได้ถอยร่นและตั้งกำลังใหม่ประมาณ 150 เมตรห่างจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทางเหนือบนถนนดินสอ ทหารก็ยังคงยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยที่ไม่ได้มีการยั่วยุให้ต้องมีการยิงปะ
ทะกัน ข้อมูลนี้เป็นที่ปรากฎชัดเจนซึ่งได้จากหลักฐานวีดีโอที่ผมได้ตรวจสอ
บ มีกรณีตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์คำกล่าวนี้อย่าได้ชัดคือ มีชายหนุ่มถือธงที่มีสัญลักษณ์คนเสื้อแดงติดอยู่คนหนึ่ง เขากำลังเดินข้ามถนนดินสอจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออกอย่า
งช้าๆ ห่างจากแนวกำลังของทหารกองพลทหารราบที่ 2 ที่ตั้งใหม่หลังจากต้องถอยร่นไปเพราะเหตุระเบิดเพียง 150 หลา ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้พยายามเดินเข้าไปใกล้กองทหารหรือได้มีการแส
ดงท่าทีที่เป็นการคุกคามใดๆ และชายผู้นี้ไม่มีอาวุธ
64
ถึงกระนั้นชายผู้นี้ถูกยิงเข้าที่ศรีษะและในขณะที่เข้าทรุดลงกับพื้น สมองของเขากระจายลงบนพื้นถนนดินสอ มีการบันทึกภาพวีดีโอเหตุการณ์ในเหตุการณ์นี้และมีการถ่ายภาพข
องบาดแผลของผู้เสียชีวิตไว้ในระยะใกล้ด้วย หลักฐานทางวีดีโอนี้สามารถดูได้ที่: www.__________ และหลักฐานภาพถ่ายนี้สามารถดูได้ที่: www.____________.
ตามความเห็นของผม อาการบาดเจ็บที่ศรีษะของชายผู้นี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากกระสุนขนา
ด 5.56 มม. ที่ยิงออกมาจากปืนไรเฟิล M-‐16 ทั่วไป รอยแตกของบาดแผลเป็นรอยแตกที่มีสาเหตุมาจากกระสุนปืนขนา
ด .50 caliber หรืออย่างน้อยก็ขนาด 7.62 มม. อย่างไม่ต้องสงสัย ตามความเห็นของผม ชายผู้นี้ถูกยิงโดยพลซุ่มยิงที่ใช้ปืนไรเฟิล Remington M24 ที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 7.62 มม. หรือไม่ก็ใช้ปืนไรเฟิล Barrett พร้อมกระสุนขนาด .50 caliber ซึ่งปินทั้งสองประเภทนี้มีอยู่ในคลังเก็บอาวุธของกองทัพ นี่ความเห็นของผมที่มีต่อพฤติกรรมที่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามของชายผู้
นี้และการสูญสียชีวิตอย่างกะทันหันของเขา คือการยิงชายผู้นี้ในลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่มีความ
ผิดทางอาญา
อีกตัวอย่างหนึ่งของการยิงโดยที่ไม่มีการยั่วยุให้เกิดเหตุอันควรแม้
ว่าทหารบนถนนดินสอจะได้ถอยร่นลงไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังมีการยิง
ใส่ผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง ในวีดีโอคลิปมีภาพทหารนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตรงขอบถน
นไม่กี่หลาห่างจากจุดบรรจบระหว่างถนนดินสอและอนุสาวรีย์ประช
าธิปไตย สาเหตุของอาการบาดเจ็บที่แท้จริงของทหารนายนี้ไม่สามารถเห็นไ
ด้ชัดจากหลักฐานภาพในวีดีโอ แต่มีความเป็นไปได้ที่การบาดเจ็บนี้มีสาเหตุมาจากการระเบิดหรือจ
ากกระสุนปืนที่ทหารยิงอย่างสะเปะสะปะ ตอนที่ถอยร่นลงไปทางเหนือของถนนดินสอ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บนายนี้ส่งเสียงร้องเป็นภาษาไทยซึ่งล่ามของผม
65
อธิบายว่าเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ มีเสียงปืนยิงอยู่ใกล้ๆ ชายผู้หนึ่ง – พยานนิรนามปากที่ 15 – เข้ามาหาทหารที่ได้รับบาดเจ็บนายนี้พร้อมกล่องปฐมพยาบาลที่มีเ
ครื่องหมายกาชาดติดอยู่บนกล่อง มีเสียงปืนดังขึ้นสองนัดและพยาบาลอาสาผู้นี้ได้รับบาดเจ็บที่เท้า เอกสารวีดีโอสามารถดูได้ที่: www.________. คำให้การของพยานปากที่ 15 อ่านได้ที่: www.____________.
พยานราว 255 รายลงรายชื่อเป็นพยานในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 พยานส่วนใหญ่ให้การว่าการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบ และทหารยิงรัวเข้าใส่ฝูงชน
มีพยานหลายคนให้การถึงลักษณะที่ผู้ชุมนุมถูกปฏิบัติใกล้บริเวณอนุสาวรี
ย์ประชาธิปไตยในเย็นวันนั้น แม้ว่ามีคำให้การของพยานหลายคนที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ แต่ผู้ร้องแนวร่วมเผด็จการเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จจาการและบุค
คลอื่นทราบและมีข้อมูลดังกล่าว ทั้งยังสามารถเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่อัยการได้หากมีกระบวนการคุ
มครองชีวิตและความปลอดภัยของพยานและครอบครัว
คำให้การของพยานปากที ่ 14 พยานเห็นเหตุการณ์ชุนนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้า ในวันที่ 10 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 18 นาฬีกา 30 นาที พยานได้เดินทางไปยังถนนตะนาว พยานเล่าว่ามีคนเสื้อแดงราวหนึ่งพันคนชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าว มีทหารตั้งแถวพร้อมโล่อยู่บนถนนตะนาว จากทิศเหนือที่กลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ ทหารได้เคลื่อนขบวนจากถนนตะนาวทิศใต้ โดยได้ดันคนเสื้อแดงออกไป ทหารยิงกระสุนจริงเข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า พยานเห็นว่าเป็นกระสุนจริง เนื่องจากพยานเห็นคนที่ถูกยิงอย่างน้อยหนึ่งรายเลือดไหลออกมาหลังจา
กถูกยิง และยังเห็นรูกระสุนบนกำแพงโดยรอบ ในระดับสายตาหรือต่ำกว่านั้น พยานได้ยินเสียงปืนและกระสุนถูกยิงเข้าที่ใบหน้าของชายคนหนึ่ง พยานเห็นชายคนดังกล่าวจมกองเลือด หลังจากนั้น
66
พยานเห็นการ์ดเลือดแดงใช้เชือกกั้นบริเวณที่ชายดังกล่าวล้มลง มีกองเลือดบนพื้น และเศษกระดาษที่ระบุชื่อและอายุชายคนดังกล่าว พร้อมทั้งระบุว่าชายคนนั้นเสียชีวิตแล้ว พยานเห็นกองเลือดอีกสองกองใกล้ๆกัน และมีเศษกระดาษที่ระบุว่าชายทั้งสองคนถูกยิงเสียชีวิตในบริเวณดังกล่าว
คำให้การของพยานปากที ่ 2 พยานให้การว่าแก๊สน้ำตาถูกยิงจากจากเฮลิคอปเตอร์ประมาณ 19 นาฬิกา ถึง 20 นาฬิกา โดยปราศจากการเตือนล่วงหน้า ทหารได้เริ่มยิงปืนใส่กลุ่มผู้ชุมนุม พยานเห็นว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อยห้าราย
คำให้การของพยานปากที ่ 5 พยานเป็นนักข่าว และให้การว่าเวลาประมาณ 19 นาฬิกาของวันที่ 10 เมษายน 2553 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานเห็นกลุ่มทหารยิงปืน M16 ขึ้นฟ้า พยานได้บันทึกภาพเอาไว้ เมื่อทหารได้ขับรถออกไป ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นใกล้กับที่พยานยืนอยู่ พยานให้การว่า พยานคิดว่าเป็นระเบิดปิงปองจากกลุ่มทหารที่สนับสนุนพันธมิตร ในขณะที่ขบวนรถทหารขับออกไป ชายผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงถือกิ่งไม้และวิ่งบนถนนได้ตะโกนว่า “มันพี่น้องเรา มันฆ่าพี่น้องเรา” รถขบวนทหารคันหลังซึ่งอยู่ห่างจากชายคนดังกล่าวราว 150 เมตร และโดยไม่มีเสียงเตือนชายคนดังกล่าวถูกยิงห้านัดจากทิศทางของรถขบ
วนทหาร ชายคนดังกล่าวล้มลงบนพื้น และหลังจากนั้นอาสาพยาบาลได้ถูกหามตัวโดยชายคนดังกล่าวออกไป
คำให้การบดินทร์ เวชโรพาลา พยานให้การว่าราว 19 นาฬิกา ในวันที่ 10 เมษายน 2553 มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงกว่าหนึ่งพันคนบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยปราศจากคำเตือนล่วงหน้า ทหารได้เริ่มยิงปืนขึ้นฟ้า ในขณะที่ทหารถอนร่นไปยังบริเวณถนนดินสอ ทหารได้เริ่มใช้กระสุนปืนจริงยิงใส่กลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีอาวุธ พยานเห็นชายคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะ พยานเห็นสมองไหลออกมาจากหัวกะโหลกชายคนดังกล่าว
67
และได้บันทึกภาพเอาไว้ หลังจากนั้นไม่นาน พยานเห็นเจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บบริเวณถนนดินสอ และพยานได้บันทึกวีดีโอที่กลุ่มคนเสื้อแดงพยามปฐมพยาบาลทหารคนดั่
งกล่าว ในขณะที่ทหารยังคงยิงปืนใส่พยานและคนเสื้อแดงที่พยายามปฐมพยาบา
ลทหาร คนเสื้อแดงที่ช่วยปฐมพยาบาลทหารถูกยิงที่เท้า ส่วนพยานถูกยิงเข้าที่ช่องท้อง
คำให้การของพยานปากที ่ 15 พยานเป็นอาสาพยาบาลและอยู่ในเหตุการณ์การยิงปะทะที่อนุสาวรีย์ประ
ชาธิปไตย พยานให้การว่าพยานถูกเรียกไปช่วยทหารที่บาดเจ็บบนถนนดินสอ เมื่ออาสาพยาบาลไปถึงยังฝั่งทหาร ราวหกสิบเมตรทางทิศเหนืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานเห็นคนเสื้อแดงปฐมพยาบาลทหาร อย่างไรก็ตาม ทหารจากกรมทหารราบที่สองยังคงยิงใส่ผู้ชุมุนมจากจุดที่พวกเขาอยู่หนึ่
งร้อยสี่สิบเมตรบนถนนดินสอ เพิกเฉยต่อสัญลักษณ์กาชาดบนอุปกรณ์ปฐมพยาบาล และอาสาพยาบาลถูกยิงที่เท้า
จ่าสิบโทโจ เรย์ วิทตี้ได้สรุปความเห็นต่อเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ไว้ในข้อความด้านล่างนี้
(1)นี่เป็นความคิดเห็นของผมที่ว่าทางกองทัพบกไทยมิได้ปฎิบัติก
ารจัดการฝูงชนอย่างมีเหตุมีผลหรือสมควรแก่เหตุซึ่งเกี่ยวข้องกั
บการพยายามที่แท้จริงในการสลายผู้ชุมนุมโดยปราศจากการก่
อให้เกิดความบาดเจ็บ ในทางตรงกันข้าม กองทัพบกไทยจงใจปิดล้อมทางออกต่างๆ, ต้อนผู้ชุมนุมให้อยู่ในพื้นที่จำกัด, และกระทำการอันผิดกฎหมายที่หมายยั่วยุให้ฝูงชนใช้ความรุนแร
งเพื่อที่ทางทหารจะได้มีการอ้างเหตุผลอันควรในการใช้ความรุน
แรงต่อผู้ชุมนุม
68
การกระทำที่ผิดกฎหมายที่อาจจะไม่ได้มีเพียงเท่าที่ระบุในที่นี้ ได้แก:่
(ก )การใช้พลซุ่มยิงที่มีความเชี่ยวชาญสูงมาซุ่มยิงผู้ชุมนุมที่ไม่มีอา
วุธโดยใช้กระสุนจริงซุ่มยิงจากที่สูงใน ตำแหน่งลับตาและซุ่มยิงโดยที่ไม่มีการยั่วยุความรุนแรงหรือการ
อ้างเหตุผลอันควรในการใช้พลซุ่มยิง
(ข)มีการใช้อาวุธทางการทหารต่างๆ รวมถึงปืนไรเฟิล M-‐16 และอาวุธปืนอัติโนมัติอื่นๆ ที่บรรจุกระสุนจริงยิงตรงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธที่รวมตัว
กันอยู่อย่างหนาแน่นอย่างจงใจและไม่เลือกหน้าโดยปราศจากก
ารยั่วยุให้เกิดหรือการมีเหตุอันสมควรให้ยิง, และ
(ค)การจงใจให้มีการเกิดระเบิดของวัตุระเบิดที่ใช้ในระดับทางการทหารหลากหลายประเภทภายในบริเวณระยะประชิดของกองทห
าร เป็นรูปแบบรุนแรงหนึ่งของ “การยิงจากพวกเดียวกัน” ซึ่งกลยุทธ์นี้ออกแบบมาเพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าทหารถูกกลุ่
มผู้ชุมนุมเข้าโจมตี
(/)กองทัพบกไทยนำกฎการใช้กำลังที่สอดคล้องกับมาตรฐานการจัดการ
ฝูงชนที่ยอมรับทั่วไปมาใช้อย่างเป็นทางการเพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ไม่
ถูกต้องต่อการกระทำที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม กองทัพบกไทยได้ละเมิดกฎการใช้กำลังของทางกองทัพอย่างเป็นระบบใน
ลักษณะที่เป็นการกระทำความผิดทางอาญา
69
(3)การปฎิบัติภารกิจของกองทัพบกไทยในวันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นปฎิบัติการทางทหารโดยแท้จริง มีวัตถุประสงค์เพื่อสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์โดยที่ไม่มีการยั่วยุหรือการมีเ
หตุอันสมควรเพื่อจะปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ช่วงเวลาประมาณ 20.15นาฬิกา ของวันที่ 10 เมษายน 2553 ข้าราชการผู้ใหญ่ได้ติดต่อกับผู้นำเสื้อแดงทางโทรศัพท์มือถือ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น แกนนำเสื้อแดงได้ตกลงอย่างรวดเร็วที่จะประกาศให้กลุ่มเสื้อแดงสลายตั
ว โดย ณ เวลานั้น กองกำลังทหารได้ทำการสังหารเสื้อแดงไปถึง 17 ศพ และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากกว่า 600 ราย
ความล้มเหลวของการสลายการชุมุนมทำให้เกิดความตึงเครียด รัฐบาลประชุมเพื่อหาแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาครั้งนี้ คนเสื้อแดงยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ที่แยกราชประสงค์ พยานปากที่ 22 กล่าวถึงปฏิบัติการที่ล้มเหลวในวันที่ 10 เมษายน 2553 ว่า
ผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการปฎิบัติภารกิจคือ ทหารไม่สามารถสังหารแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงบนเวทีที่สะพานผ่าน
ฟ้าฯ ได้เพราะทหารไม่สามารถบีบต้อนกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อเข้าไปอยู่ในเขต
พื้นที่ที่จะสร้างความโกลาหลที่ทางกองทัพต้องการได้ นอกจากนี้ ผู้นำทหารและผู้นำรัฐบาลคาดหวังไว้อย่างเต็มที่ว่าการสังหารแกน
นำที่เวทีปราศรัยที่สะพานผ่านฟ้าฯ จะทำให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์สลายไปได้ แต่แทนที่จะเป็นเหมือนกับที่ทางนายทหารระดับสูงและผู้นำรัฐบาลคิ
ดไว้ผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันที่ถนนราชดำเนินเคลื่อนตัวมาสมทบกลุ่มผู้ชุ
มนุมที่อยู่ที่ราชประสงค์ทำให้การชุมนุมมีความเข้มแข็งมากขึ้นไปอี
ก
ในช่วงสัปดาห์หลังจากวันที่ 10 เมษายน ผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพหันมาสนใจการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม
70
คนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ แผนการของพวกเขาคือการเรียกร้องให้มีการตีวงล้อมรอบบริเวณ
พื้นที่ราชประสงค์และปิดล้อมทางเข้า-‐ทางออกทุกทาง กองทัพจะบุกทลายแนวกั้นของกลุ่มผู้ชุมนุมและเข้าไปสังหารเหล่าแ
กนนำ
วันที่ 3 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีได้ประกาศแผนการปรองดองเพียงฝ่ายเดียว และรวมถึงความเป็นได้ที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในต้นเดือนพฤศจิกา
ยน คนเสื้อแดงตกลงที่จะสลายการชุมนุม แต่เนื่องจากข้อเสนอยุบสภาดังกล่าวไม่มีคำมั่นสัญญาที่จริงใจจากอภิสิท
ธิ์ รัฐบาลไม่ได้กระทำการใดที่ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์การใช้กฎหมายอันเข้
มงวดและการจำกัดเสรีภาพจะได้รับการผ่อนปรนก่อนการเลือกตั้ง หรือจัดให้มีการสอบสวนถึงความรุนแรงในวันที่ 10เมษายน คนเสื้อแดงยอบรับข้อเสนอแผนการปรองดองแต่ไม่ยอมสลายการชุมุนมเ
พราะต้องการความมั่นใจจากรัฐบาล
71
ในวันที่ 13 พฤษภาคม หนึ่งวันหลังจากที่รัฐบาลยกเลิกข้อเสนอให้มีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล นายทหารที่รู้จักกันในนามของเสธแดง ซึ่งมักถูกอ้างว่าเป็นผู้นำฝ่ายเหยี่ยวของกลุ่มคนเสื้อแดงถูกสังหารโดยมือ
ปืนซุ่มยิงในระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อตะวันตก โดยเสธแดงถูกยิงบริเวณตะวันเฉียงใต้ของส่วนลุมพินี ตามคำให้การของพยานปากที่ 22 ทหารคนที่สั่นไกคือหนึ่งในมือปืนซุ่มยิงมืออาชีพเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ
ทำลายการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม และ วันที่ 19 พฤษภาคม กองพลทหารราบที่ ๑ และ กองพลทหารม้าที่ ๒ ใช้ร้านคิงส์พาวเวอร์ ในย่านราชประสงค์เป็นกองบัญชาการ พลซุ่มยิงชุดเดิมที่ปฎิบัติภารกิจในวันที่ 10 เมษายน ก็ได้รับมอบหมายให้มาประจำการอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ด้วยและพวกเขามีส่วนรับผิดชอบต่อการตายของพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล (รู้จักในชื่อ เสธ. แดง) ผู้ถูกลอบยิงเข้าที่บริเวณศรีษะจนถึงแก่ความตายในวันที่ 13 พฤษภาคม ในขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว กระสุนที่ปลิดชีวิตเสธแดง (เสธแดงเสียชีวิตไม่กี่วันหลังจากนั้น)เป็นกระสุนจริงชนิดเดียวกันที่ทหารใช้ยิงผู้ชุมุนมที่ปราศจากอาวุธ ผู้บริสุทธิ์ที่เดินผ่านไปมา อาสาพยาบาล และนักข่าวตลอดทั้งอาทิตย์ ในขณะที่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้นานชาติช่วยเหลือเพื่อจะแก้ไขสถานการ
ณ์ทางการเมือง รัฐบาลกลับใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม เคลื่อนกองลังทหารและอาวุธไปยังบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎการใช้กำลังอย่างเป็นทางการ เพื่อทหารจะได้ "ตอบโต้” กับ
คนเสื้อแดงซึ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลเรียกคนเสื้อแดงว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย":
จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 การใช้อาวุธโดยบุคคลที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้ชุมนุมประท้วงนั้นทำให้เกิด
72
การสูญเสียชีวิตไม่เพียงแต่เฉพาะชีวิตของผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยด้วย กฎการใช้กำลังนี้จึงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อใช้ในการปฎิบัติการเข้าปิดล้อมพื้นที่ราชประสงค์ในเดือนพฤษภาคม ดังนั้น จึงได้มีการระบุรายละเอียดเพิ่มเติมในการอนุญาตให้มีการใช้กระสุนจริงในกรณีดังต่อไปนี้คือ:เพื่อตอบโต้บุคคลที่ติดอาวุธที่ระบุตัวไดอ้ย่างชัดเจน นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเนื่องจากมีการเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน จึงมีการอนุญาติให้ใช้ปืนลูกซองต่อกลุ่มคนที่มีอาวุธและกลุ่มคนที่เข้าข่ายเป็นผู้ก่อการร้ายที่เข้าใกล้หน่วยรักษาความปลอดภัยเพื่อเป็นการป้องกันมิให้การกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้เป็นเหตุให้มีผู้อื่นต้องสูญเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ในกรณีนี้ กองกำลังรักษาความปลอดภัยจึงได้รับอนุญาตให้เล็งเป้ายิงที่ต่ำกว่าระดับหัวเข่าเท่านั้น ทั้งนี้ยังให้มีการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ประท้วงที่มีอาวุธได้ โดยหลักการแล้วหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่สามารถใช้อาวุธที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตต่อกลุ่มผู้ประท้วงที่ปราศจากอาวุธได้และไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตามห้ามมิให้มีการใช้อาวุธรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก
จ่าสิบโทวิทตี้ (เกษียณ) มีความเห็นว่าการแก้ไขกฎการใช้กำลังนี้แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์:
ตามความเห็นของผม การปรับกฎการใช้กำลังนี้ไม่มีความเหมาะสมเนื่องจากมีการปรับแ
ก้กฎการใช้กำลังเพื่อสร้างนโยบายในการใช้อาวุธร้ายแรงของเจ้าห
น้าที่เพื่อ “ตอบโต”้ การตอบโต้ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่สมเหตุสมผลในการจัดการฝูงชน
ที่เป็นที่ยอมรับได้ ด้วยเหตุนี้ผมเห็นว่าการใช้ข้อความ “เพื่อตอบโต้” นั้นบ่งบอกเจตนาของรัฐบาลไทยในการกระทำความผิดทางอาญาผ่
านทางการใช้กำลังที่มิได้เป็นผลมาจากการยั่วยุต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแ
ดง
73
ที่จริงแล้ว ถึงแม้ว่ากฎการใช้กำลังฉบับแก้ไขนี้ได้ระบุเอาไว้ว่า ทหารจะใช้กำลังรุนแรงได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต่อเมื่อ ทหารรู้สึกว่ามีภัยคุกคามมาถึงตนในระดับหนึ่ง แต่คำให้การของพยานนิรนามปากที ่ 22 ยืนยันสิ่งที่บุคลอื่นๆ ได้บันทึกไว้อย่างกว้างขวาง ว่าคำสั่งทางวาจานั้น คือคำสั่งที่ให้ทหารยิงอะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวในพื้นที่การใช้กระสุนจริง
ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม, กองพลทหารม้าที่ ๒ ภายใต้คำบังคับบัญชาของพลตรี สุรศักดิ์ บุญศิริ, ได้รับคำสั่งให้ไปรักษาความปลอดภัยบริเวณถนนพระราม 5 จากตั้งแต่จุดตัดกับถนนพญาไท (ในพื้นที่สามย่าน) ไปจนถึงจุดตัดกับถนนวิทยุ (พื้นที่บ่อนไก่) ผู้บังคับบัญชาของพลตรี สุรศักดิ์ คือผู้บัญชาการทหารบก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา
74
คำสั่งอย่างเป็นทางการของพลตรี สุรศักดิ์คือการยิงเป้าหมายที่เป็นภัยคุกคามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คำสั่งจริงๆ ที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรคือ การยิงเป้าหมายเคลื่อนที่ใดๆ ก็ได้ที่แยกบ่อนไก่ โดยไม่คำนึงว่าเป้าหมายนั้นเป็นภัยคุกคามหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม พลตรี กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการ กองพลทหารราบที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ไปปิดล้อมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง-ราชปรารภ พื้นที่ทางเหนือของราชประสงค์ กองพลทหารราบที่ ๑ ได้รับคำสั่งสำคัญเหมือนกันกับกองพลทหารม้าที่ ๒ ซึ่งปิดล้อมอยู่ทางใต้ของราชประสงค์ ดังนี้ (ก) ยิงเป้าเคลื่อนที่ทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงระดับภัยคุกคาม (ข) ป้องกันมิให้มีหลักฐานที่เป็นภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว และ (ค) ป้งกันกำจัดมิให้มีการขนย้ายศพผู้เสียชีวิต
หลายวันหลังจากการลอบสังหารเสธแดง รัฐบาลออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ แม้ว่าก่อนหน้ารัฐบาลกล่าวว่าจะยิง “ผู้ก่อการร้าย” และระบุว่าเสธแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ในขณะที่กองทัพพยายามเข้ายึดที่ชุมนุม มีการฆ่าหมู่เกิดขึ้นในบริเวณทิศเหนือและใต้บริเวณที่ชุมุนมแยกราชประส
งค์ ดินแดง และลุมพินี
บางพื้นที่ เช่น ถนนราชประสงค์ไปจนถึงทางทิศเหนือ และถนนรามา ๔ ไปจนถึงทางทิศใต้ เป็นเขตที่ทหารประกาศใช้ “กระสุนจริง” จุดยืนของรัฐบาลคือเป็นหน้าที่ที่จะต้องอนุญาตที่จะให้มีการยิง “กลุ่มติดกำลังที่ีอาวุธมีการระบุชัดเจน” ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดโดยนักข่าวช่างภาพ Nick Nostitz” มคีนที่เดินผ่านไปมาในบริเวณดังกล่าวถูกยิงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจ
ากการยิงของฝ่ายทหารจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบถูกยิงเข้าบริเวณท้องใกล้ทางเชื่อมต่อสนามบินมักกะสัน
75
จ่าสิบโทวิทตี้ (เกษียณ) มีความเห็นว่าคำสั่งที่ให้ทหารบังคับใช้พื้นที่การใช้กระสุนจริงนั้นสามารถ
อนุมานได้ไม่ยากจากหลักฐานทางวีดีโอ เขาเห็นว่าการใช้ "พื้นที่การใช้กระสุนจริง” เป็นเรื่องที่คาดเดาได้
ผมเข้าใจว่าช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2553 กองพลทหารม้าที่ 2 ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้รักษาความปลอดภัยบนถนนพระราม 4 ย่านบ่อนไก่ที่อยู่ทางใต้ของราชประสงค์ ในขณะที่กองพลทหารราบที่ 1 ได้รับมอบหมายให้รักษาความปลอดภัยในย่านดินแดงและราชปาร
ภ ซึ่งพื้นที่ที่อยู่ทางเหนือของราชประสงค์ และผมเข้าใจต่อไปอีกว่า เจ้าหน้าที่ออกคำสั่งของกองพลเหล่านี้ได้รับคำสั่งทางวาจาให้ทหา
รยิงเป้าเคลื่อนที่ได้ภายในรัศมีที่พวกเขารับผิดชอบดูแลโดยไม่สนใ
จว่าเป้าเคลื่อนที่นั้นเป็นภัยคุกคามหรือไม่ก็ตาม (ดู คำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22 ที่ ¶¶ 48 และ 52) คำสั่งดังกล่าวนี้เป็นการละเมิดมาตรฐานที่สมเหตุสมผลในการจัดก
ารฝูงชนและเป็นการกระทำที่มีความผิดทางอาญา
จากการตรวจสอบจากคำให้การของพยาน, คำสัมภาษณ์ และหลักฐานวิดีโอ ผมสรุปได้ว่า กองทัพสร้างเขตพื้นที่ใช้กระสุนจริงในพื้นที่บ่อนไก่, ดินแดง และราชปรารภ ซึ่งล้วนแต่เป็นพื้นที่ที่ใกล้กับราชประสงค์ แม้ว่าจะมีวีดีโอหลายรายการที่แสดงภาพพลเมืองที่ปราศจากอาวุธถูกยิง
, ได้รับบาดเจ็บ และถูกสังหารจากกระสุนปืนที่มีทิศทางมาจากฝั่งแนวกั้นของทหารในพื้น
ที่เหล่านี้ในระหว่างวันที่ 13 – 19 พฤษภาคม ซึ่งมีหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอหนึ่ง
มีหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอหนึ่งที่ถ่ายจากด้านหลังทหารที่ประจำอยู่ใ
นที่สูง แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทหารได้ทำหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับในการยิงเ
ป้าเคลื่อนที่ โดยไม่คำนึงถึงว่าเป้าหมายนั้นเป็นภัยคุกคามหรือไม่ หลักฐานการบันทึกข้อมูลวิดีโอนี้สามารถดูได้ที่ www :.____________.
76
ตามความเห็นของผม บุคคลใดๆ ก็ตามที่กำลังวิ่งไปตามตรอกซอกซอยไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อทหาร
ที่ประจำการอยู่บนที่สูงและติดอาวุธที่ไม่มีปลอกทวีแรงถอย ทหารเปิดฉากยิงเมื่อเห็นพลเรือนโดยเข้าข่ายการใช้กำลังรุนแรงโด
ยที่ไม่มีการยั่วยุหรือความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงดังกล่าว
เลย ตามความเห็นของผม นี่ถือว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดทางอาญาเช่นเดียวกับคำสั่งที่สั่ง
ให้มีการกระทำดังกล่าว
มีคำให้การของพยานหลายรายที่ยืนยันพฤติกรรมของกองทัพไทยในระห
ว่างการปราบปรามในวันที่ 13 – 19 พฤษภาคม พยานจำนวน 180 รายลงชื่อและบันทึกคำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว มีพยานอีก 133 รายที่ให้การยืนยันว่าเห็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการถูกทหาร
ยิงเข้าใส่ ในกรณีดังกล่าวส่วนใหญ่ทหารจะยิงจากตำแหน่งสูง
ในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ กฤตพจน์ บัวดี
ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงได้เดินทางไปยังสวนลุมพินี เพื่อตรวจสอบรายงานที่ระบุว่าทหารได้รวมตัวกันที่นั้นและวางแผนทำร้า
ยคนเสื้อแดง พยานไม่ได้มีอาวุธแต่อย่างใด พยานเห็นทหารหลายคนอยู่นอกรั้วของสวน โดยเล็งปืนเข้าไปในสวน และทหารที่อยู่ในสวนถือปืนสั้น พยานหยุดทันทีที่เห็นทหาร พยานได้ยินเสียงกระสุนยิงเข้าที่เท้าของพยาน และพยานเห็นทหารอีกนายถือปืนไรเฟิล M16 ที่มีลำกล้องส่อง โดยทหาร
คนดังกล่าวยิงพยานที่ขาขวาด้านล่าง พยานขับรถหนีและทหารยังคงยิงไล่ล่าพยาน ราวสามสิบหรือสี่สิบครั้ง ขาและข้อเท้าขวาของพยานถูกยิงกระจุย
ณัฐพล ทองก้อน ให้การในลักษณะคล้ายกันว่า ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 พยานเดินทางไปยังสวนลุมพินี ในขณะที่พยานเข้าไปในสวน พยานสังเกตเห็นทหารห้าสิบถึงหกสิบรายยืนเรียงแถวตามรั้วด้านหน้าสว
77
น โดยทหารได้เล็งปืนไรเฟิลเข้าไปในสวน ทหารคนหนึ่งยิงพยานด้วยปืนสั้นโดนหัวไหล่ด้านซ้าย พยานวิ่งไปยังต้นไม้ แต่ทหารยังคงยิงกระสุนสาดใส่พยานหลายนัด สลับกับการยิงทีละนัด ทหารยิงใส่พยานอย่างน้อยหนึ่งร้อยครั้ง และพยานถูกยิงเป็นครั้งที่สองด้วยกระสุนปืนไรเฟิล พยานกระโดดลงไปในสระน้ำเพื่อที่จะซ่อนตัวโดยการดำลงไปใต้สระ เมื่อพยานโผล่ขึ้นมาจากน้ำ พยานเห็นทหารสามนายยืนอยู่ข้างสระ กำลังมองหาพยานและพยายามพยานที่อยู่ใต้น้ำ พยานกระโดดขึ้นจากสระน้ำ วิ่งหนี ทำให้พยานถูกยิงเป็นนัดที่สามด้วยกระสุนไรเฟิลเข้าที่น่องขาด้านซ้าย หลังจากได้รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล พยานถูกส่งตัวไปยังเรือนจำ และถูกล่ามโซ่ที่เตียงนอน พยานได้รับแจ้งว่าพยานถูกจับกุมเนื่องจากละเมิดพระราชกำหนดบริหาร
ราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน พยานถูกล่ามโซ่ไว้ที่เตียงนอนของพยานตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้นถูกคุมขังในห้องขังปกติ พยานไม่ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทางอาญาอย่างเป็นทางการ พยานถูกเรียกไปให้ปากคำที่สำนักงานอัยการสองครั้ง แต่วันนัดหมายถูกเลื่อนออกไปทั้งสองครั้ง
และในบริเวณใกล้กัน นายรุ ่งโรจน์
ให้การว่าเห็นทหารใกล้ซอยงามดูพลีในวันที่ 14 พฤษภาคม ซ่อนตัวอยู่ใต้สะพานไทย-‐เบลเยี่ยม พยานได้ยิงธนูใส่ทหาร และทหารโต้กลับด้วยการยิงกระสุนจริง พยานเห็นแม่ค้าอายุราวห้าสิบปีถูกยิงเสียชีวิต และชายหนุ่มอายุราวสามสิบปีถูกยิงเข้าที่แก้ม และชายหนุ่มที่มีลอยสักคนหนึ่งถูกยิงเข้าที่กระดูกสันหลัง พยานอ้างว่าเห็นผู้ถูกยิงทั้งหมดหกราย ; ยิง สี่ในหกคนเสียชีวิต รวมถึงแม้ค้า และชายคนที่หกถูกยิงขณะกำลังบันทึกภาพวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ พยานและประชาชนอีกราวสามสิบคนได้เข้าไปหลบภัยในตรอกใกล้เวทีมว
ยลุมพินี ทั้งหมดถูกทหารบังคับใช้กำลังให้ออกจากบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะนายทหารได้สั่งการและบังคับประชาชนโดยใช้กำลังความรุนแ
78
รง โดยบังคับให้คนเหล่านั้นงอตัว และยังเตะและตีผู้ชุมนมุ รวมถึงใช้ปืนที่ปลดล๊อคแล้วเล็งใส่คนเหล่านั้นด้วย หลังจากรับสารภาพว่าละเมิดพระราชกำหนดบริหารบ้านเมืองในสถานก
ารณ์ฉุกเฉินแล้ว โทษจำคุกจะถูกลดเหลือจากหนึ่งปีเป็นหกเดือน
ในขณะเดียวกัน ทางเหนือของแยกราชประสงค์ ตรงมุมถนนราชเทวี คำให้การของพยานปากที ่ 8 พยานเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทหารยิงกระสุนจริงใส่กลุ่มคนซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นพ
ยานโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า บริเวณมุมถนนราชเทวี ใกล้สามเหลียมดินแดง ในวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ โดยประชาชนต่างพยายามวิ่งหนีห่ากระสุน และจากเหตุการณ์ดังกล่าว พยานถูกยิงเข้าที่ต้นแขนขวา
นายกังสดาล พยานเป็นสมาชิกคนเสื้อแดง จังหวัดอยุธยา วันที่ 14 พฤษภาคม 2553 พยานอยู่ที่บริเวณแยกราชประสงค์ และทหารกำลังจะเข้าไปสลายการชุมนุม พยานเห็นทหารเตรียมพร้อมที่จะยิงปืนใส่ผู้ชุมุนม ทหารปิดทางเข้าออก และทำรั้วลวดหนาม เหมือนทหารได้เตรียมพร้อมและมีการฝึกฝนปฏิบัติการดังกล่าวไว้ก่อนห
น้านี้อย่างดี ทหารเริ่มยิงใส่ฝูงชน พยานวิ่งหลบเข้าไปในมุมตึกโรงแรมเซ็นจูรี่ และถูกยิงในขณะพยายามวิ่งหลบกระสุน
คำให้การของพยานปากที ่ 12 พยานเป็นอาสาสมัครตำรวจในกรุงเทพมหานคร พยานและภรรยาได้เห็นเหตุการณ์สองเหตุการณ์ บริเวณหน้าโรงแรมอินทรา พยานและภรรยาบังคับให้หยุดอยู่บริเวณดังกล่าว เนื่องจากจากทหารกันไม่ให้ประชาชนใช้ถนนราชปรารภ เหตุการณ์นี่เกิดขึ้นราว 18 นาฬิกา 30 นาที ของวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 มีประชาชนราวสามสิบคนรวมตัวกันในบริเวณดังกล่าว และไม่ใครถืออาวุธ ฝั่งตรงข้ามถนน
79
ตรงบริเวณสะพานลอยข้ามถนนราชปรารภมีเจ้าหน้าทหารจำนวนแปดนา
ยเฝ้าอยู่ ทหารยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวในทุกทิศทาง พยานเห็นทหารยิงอย่างน้อยห้าสิบครั้ง ทหารยังยิงใส่โรงแรงเพื่อกันไม่ให้คนออกมา เวลาประมาณ 19 นาฬิกา หญิงสาวคนหนึ่งพยายามข้ามถนนราชปรารภได้ถูกทหารยิงก่อนจะก้าวเ
ท่าลงบนถนน หญิงสาวคนดังกล่าวล้มลงกับพื้น เวลาประมาณ 20 นาฬิกา พยานเห็นคนขับมอเตอร์ไซต์สองคัน โดยไม่มีผู้โดยสารซ้อนท้าย ทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณสะพานลอยยิงใส่มอเตอร์ไซต์ทั้งสองคัน คนขัยทั้งสองล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นไม่กี่นาที ได้เกิดเหตุระเบิดหน้าโรงแรมอินทรา ก่อนเกิดเหตุระเบิด พยานเห็นแสงเลเซอร์ี่แดงยิงสาดลงมายังบริเวณดังกล่าว หลังจากแสงเลเซอร์สีแดงหายไป และก็มีแสงเลเซอร์สีเขียวปรากฏ และจากนั้นได้เกิดเสียงระเบิดทันที่ และเมื่อพยานเห็นแสงดังกล่าวอีก ก็ได้เกิดเหตุระเบิดครั้งที่สอง ราวสามเมตรห่างจากพยาน มีผู้บาดเจ็บสามคนรวมถึงพยาน พยานได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดมีแผลทีหลัง
คำให้การของคำให้การของนายปาสกาล แอฟราร์ด (Pascal
Evrad) พยานเล่าถึงเหตุการณ์ที่ที่ถนนราชปรารภ ระหว่างแยกดินแดง และซอยหลังสวน ในวันที่ 14-‐15 พฤษภาคม พยานเห็นเหตุการณ์จากระเบียงห้องพัก พยานเห็นทหารมีอาวุธครบมือเปิดฉากยิงประชาชนที่ไม่มีอาวุธ พยานเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวในวันที่ 14 พฤษภาคม โดยทหารเริ่มยิงใส่ประชาชน เวลาประมาณ 18 นาฬิกา ตอนแรก ทหารใช้กระสุนยาง ตามกระสุนจริง ทหารยิงอย่างไม่แยกแยะว่าจะเป็นศีรษะหรือเท้า เหยื่อบางคนเป็นประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์ วันรุ่งขึ้นราว 8 นาฬิกา 15 นาที พยานเห็นประชาชนราว 15 คนเดินขบวนบนถนน พร้อมทั้งถือธงชาติไทย ทันใดนั้น พวกเขาก็ถูกยิงด้วยอาวุธที่มุ่งสังหารปืนไรเฟิล (นาโต 223) โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า พยานเห็นพลเรือนสองคนถูกยิงเสียชีวิตทันที แต่ทหารยังคงสาดยิงกระสุนหลังจากนั้นราวสามสิบนาที และยังยิงคนที่พยายามเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บด้วย เป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนักที่ทหารยิงสังหารประชาชนที่ไม่มีอาวุธ! ”
80
ระหว่างวันที่ 15 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม นายประทักษ์ นุชสถิตย์ พยานได้เข้าร่วมการชุมนุมที่ดินแดง และในบริเวณที่ชุมนุม พยานเห็นทหารยิงศีรษะของหญิงสาวคนหนึ่งในประมาณวันที่ 18 หรือ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ โดยหญิงสาวคนดังกล่าวมีอาชีพเก็บขยะขาย การยิงอาจจะเป็นความผิดพลาดเพราะหญิงดังกล่าวไม่ใช่ผู้ชุมนุม กลุ่มทหารดังกล่าวมีอายุน้อยและยิงใส่ทุกคนในบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นคนขับมอเตอร์ไซต์
เป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพบกไทยและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์รับรู้ว่าการให้มีและ
การบังคับใช้พื้นที่การใช้กระสุนจริงนั้นเป็นการกระทำที่มีความผิดทางอา
ญา เนื่องจากทั้งทางกองทัพและรัฐบาลได้ช่วยกันปกปิดหลักฐานการกระทำค
วามผิด
นอกจากนี้พลตรี สุรศักดิ์ ยังได้รับคำสั่งให้ป้องกันมิให้บุคคลใดถ่ายภาพทหารฆ่าประชาชนที่
ปราศจากอาวุธ ซึ่งได้มีคำสั่งให้กองพลทหารม้าที่ ๒ เล็งนักข่าวหรือคนของสื่อใดๆ ก็ตามที่เข้ามาในบริเวณดังกล่าว คำสั่งนี้ถูกเปิดโปง โดยความจริงที่ว่ามีหลักฐานที่เป็นทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวมา
กมายจากการปฎิบัติการปราบปรามของทหารในวันที่ 10 เมษายน และผู้นำทหารมองว่าการปฎิบัติการในวันที่ 10 เมษายนเป็นความล้มเหลว ในส่วนที่มีการคัดค้านจากประชาชนอย่างรุนแรงต่อเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นนั่นเอง
พลตรี สุรศักดิ์ยังได้รับคำสั่งให้ป้องกันมิให้มีการเตลื่อนย้ายศพของพลเรื
อนที่ถูกทหารใต้บังคับบัญชาของเขาฆ่าในเขตพื้นที่บ่อนไก่ คำสั่งระบุให้ทหารของกองพลทหารม้าที่ ๒ ยิงใครก็ตามที่พยายามเคลื่อนย้ายศพ และนั่นรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ด้วย
81
กองพลทหารราบที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ไปปิดล้อมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง-ราชปรารภ พื้นที่ทางเหนือของราชประสงค์ กองพลทหารราบที่ ๑ ได้รับคำสั่งสำคัญเหมือนกันกับกองพลทหารม้าที่ ๒ ซึ่งปิดล้อมอยู่ทางใต้ของราชประสงค์ ดังนี้ (ก) ยิงเป้าเคลื่อนที่ทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงระดับภัยคุกคาม (ข) ป้องกันมิให้มีหลักฐานที่เป็นภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว และ (ค) ป้งกันกำจัดมิให้มีการขนย้ายศพผู้เสียชีวิต
คำสั่งที่ให้กองพลทหารราบที่ ๑ และ กองพลทหารม้าที่ ๒ ยิงใครก็ตามที่พยายามจะขนย้ายศพออกจากพื้นที่ ที่ได้รับมอบหมายเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือการดำเนินงานของกา
รปฎิบัติงานของ “หน่ววข่าวกรอง” ของกองทัพบกในการทำลายหลักฐานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าของทหาร
โดยเฉพาะผู้นำกองทัพบกดำเนินการนโยบายการทำลายหลักฐานโ
ดยการสมรู้ร่วมคิดกับโรงพยาบาลรัฐบางแห่งในกรุงเทพฯ หน่วย ลับของทั้งกองพลทหารราบที่ ๑ และ กองพลทหารม้าที่ ๒
82
แกล้งเป็นคนขับรถพยาบาล และไปปรากฏตัวที่พื้นที่ที่มีการยิงปะทะกันเพื่อเอาผู้ถูกยิงไป แสร้งว่าจะพาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ในความเป็นจริงแล้ว รถพยาบาลเหล่านี้พาผู้บาดเจ็บหลายรายไปที่โรงพยาบาลทหารผ่า
นศึก แถวดินแดง และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อปกปิดและการฌาปนกิจศพ วัตถุประสงค์หลักคือการทำลายหลักฐานความผิดทางอาญาใด ๆ ของกองทัพบก
เพราะการปฎิบัติการตามคำสั่งห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายศพ ทหารจึงปิดไม่ให้หน่วยพยาบาลฉุกเฉนเข้าไปในเขตใช้กระสุนจริง และยิงอาสาพยาบาลอย่างต่อเนื่องเมื่อพวกเขาพยายามเข้ามาช่วยผู้ชุม
นุมที่บาดเจ็บ และทำให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก
83
บนขวา : เจ ้าหน้าท ี ่ร ัฐฉกเอากล้องไปจากฟาบิโอ โพเลงกี
ร ูปอ ื ่น : แผนที ่ตำแหน่งม ือป ืนซ ุ ่มย ิงท ี ่พบในกระเป ๋าฟาปิโอ
โพเลงกี
ผู้สื่อข่าวก็ตกเป็นเป้าหมายของทหารเช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าว ฟรานซ์ 24 นายเนลสัน แรนด์ ถูกยิงทั้งหมดสามครั้ง ที่เกิดเหตุบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสวนลุมพินี ในขณะที่ช่างภาพ ชาวอิตาลี่ นายฟาบิโอ โปเลงกี เสียชีวิตจากบาดแผลที่ถูกยิงเข้าที่หน้าอก ในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากที่เขาบันทึกภาพที่ซ่อนของพลซุ่มยิงได้ มีบุคคลสวมเสื้อผ้าคล้ายทหารเอากล้องถ่ายรูปของเขาไป อย่างไรก็ตาม นายโปเลงกี ได้ซ่อนแผนที่แสดงตำแหน่งที่ซ่อนของพลซุ่มยิงที่วาดหยาบๆ จำนวน3 แผ่นไว้ในกระเป๋าสะพายหลัง พี่สาวของนายโปแลงกีเป็นคนพบแผนที่ทั้ง 3 แผ่นในขณะที่ตรวจดูข้าวของส่วนตัวของเขา
หลังจากปะทะกันอย่างดุเดือดหลายวัน คนเสื้อแดงได้อ่อนกำลังลงอย่างมาก คนเสื้อแดงพยายามเผายางรถเพื่อกันการเคลื่อนตัวของทหารอย่างสิ้นห
84
วัง และยังพยายามที่จะขอเจรจาในวันที่ 18 พฤษภาคม และรัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธ สุดท้ายในวันที่ 19 พฤษภาคม ทหารได้ฝ่าด่านคนเสื้อแดง พยานปากที่ 22 อธิบายถึงเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม ที่ปฎิบัติการแยกราชประสงค์ว่า
วันที่ 19 พฤษภาคม ทหารตีฝ่าแนวกั้นที่กลุ่มคนเสื้อแดงทำเอาไว้รอบบริเวณราชประสงค์ กองกำลังที่ว่านี้เป็นชุดปฎิบัติงานเดียวกับวันที่ 19 พฤษภาคม หทารที่ตีฝ่าแนวกั้นของกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปได้เป็นทหารจากกองพันทหารราบที่ ๒ สังกัดกรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค์ นำโดยพันโท ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์ให้มีทหารประจำการทั้งภาคพื้นดินและบนรางรถไฟบีทีเอส มีทหารจากกรมรบพิเศษที่ ๓ ประจำการร่วมบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสด้วย
มีให้ยิงใครก็ตามที่สงสัยว่าพกพาอาวุธและทหารเหล่านี้ไม่จำเป็นต้
องพิจารณาว่าคนๆ นั้นมีอาวุธจริงๆ หรือไม่ คำสั่งก่อนการเคลื่อนกำลังพลระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการถือหนังสติ๊
กก็ถือว่ามีอาวุธไว้ในครอบครองและเป็นอันตรายแล้ว ทหารเหล่านี้ยังได้รับคำสั่งให้ยิงการ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่พบไม่ว่
าการ์ดคนนั้นจะมีอาวุธหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นทหารได้รับอนุญาติให้ยิงใครก็ได้ที่ต้องการ คำสั่งเหล่านี้เองที่เป็นเหตุให้มีการยิงกันที่วัดปทุมวนารามในช่วงบ่า
ยของวันที่ 19 พฤษภาคม
กองทหารติดอาวุธที่ประจำอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอสได้รับคำสั่
งเฉพาะให้ระบุตัวและยิงแกนนำเท่านั้น อย่างไรก็ตามแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้รับคำเตือนล่วงหน้าว่ามีคำสั่งให้สังหารแกนนำ พวกเขาจึงได้ยอมมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีก่อนที่ทหารลงมื
อทำตามคำสั่งได้สำเร็จ
85
ขวา : ภาพทหารเล ็งอาว ุธเข ้าไปในวัดปทุมวนารามวันที ่ 19
พฤษภาคม 2553
ซ้าย :พยาบาลเกดนอนเสียช ีว ิตว ัดปทุมวนารามวันที ่ 19
พฤษภาคม 2553
และไม่นานหลังจากนั้น แกนนำเสื้อแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้ประกาศขอมอบตัวกับตำรวจ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดมากไปกว่านี้ ในขณะที่วันที่ 19 พฤษภาคม เป็นวันมหาวิปโยคแห่งการฆ่าหมู่ประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากที่
สุดในประวัติศาสตร์ไทย จำนวนผู้เสียชีวิตอาจจะมีมากกว่านี้มากมายหากแกนนำเสื้อแดงไม่ยอมตั
ว
อย่างไรก็ตาม การมอบตัวของแกนนำเสื้อแดงไม่ได้ยับยั้งการการสังหารอันทารุณ หลายชั่วโมงหลังจากการสลายการชุมนุม มีประชาชนอีกหกคนถูกสังหารในวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นสถานที่หลบภัยจากวามุรุนแรงของผู้ชุมนุมเสื้อแดง นักข่าวต่างชาติที่ได้รับบาดเจ็บในที่เกิดเหตุเล่าว่ามือปืนซุ่มยิงกองทัพยิง
86
ผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธที่อยู่ในวัดจากรางรถไฟฟ้า พยาบาลสามในสี่รายที่ประจำอยู่ที่เต็นท์ปฐมพยาบาลชั่วคราวในวันนี้สว
มเครื่องแบบที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นอาสาพยาบาล ซึ่งทังหมดเป็นหนึ่งในพลเรือนที่ถูกยิงเสียชีวิตโดยมือปืนซุ่มยิงจากรางรถ
ไฟฟ้า
มีพยานอีก 88 รายที่ได้ส่งชื่อและบันทึกคำให้การของพวกเขาไปยังทนายของผู้ร้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วัดปทุมวนารามในวันที่ 19 พฤษภาคม มีผู้ให้การยืนยันเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ว่ามีผู้ถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บจากการยิงของทหารจากบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่เป็นทางยกระดับ เข้ามายังภายในบริเวณวัด จำนวน 74 ราย
พยานปากอื่นๆ ได้ให้คำให้การที่มีรายละเอียดดังนี้:
พยานนิรนามปากที ่ 4 ให้การว่าพยานเข้าไปภายในบริเวณวัดหลังจากที่แกนนำคนเสื้อแดงยอมเข้ามอบตัว เมื่อเวลาประมาณ 19:00 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีผู้ชุมนุมประมาณสองพันคนอยู่ภายในบริเวณวัด พยานให้การว่ามีการยิงเข้ามาในวัด พยานได้ซ่อนตัวอยู่ภายในป้อมยามที่ทำมาจากคอนกรีตตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด พยานให้การว่า พยานสามารถมองเห็นทหารอย่างน้อย 3 นายประจำการณ์อยู่ข้างบนจุดที่พยานอยู่ ห่างออกไปประมาณครึ่งถนน บนทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สยามผ่านหน้าต่างในป้อมยามได้ พยานเห็นทหารทั้ง 3 นายยิงเข้าไปภายในวัด และพยานให้การว่า พยานได้ยินเสียงปืนสองแบบด้วยกัน แบบหนึ่งเป็นเสียงรัวติดต่อกัน เหมือนปืนกล และอีกแบบหนึ่งเป็นแบบยิงทีละนัด พยานรู้จักบุคคลหนึ่งที่เป็นอาสาสมัครพยาบาล พยานรู้จักบุคคลนี้ในชื่อว่า เกด แม้ว่าพยานจะทราบภายหลังว่าชื่อเต็มของบุคคลนี้คือ นางสาวกมนเกด อัคฮาด ตอนที่มีการเริ่มยิงเข้าไปในวัดบุคคลที่พยานรู้จักประจำอยู่ที่เต้นท์พยาบาลภายในวัด ห่างไปทางด้านหลังเล็กน้อยจากจุดที่พยานอยู่ ตอนที่ทหารกำลังยิงปืนจากตำแหน่งด้านบน พยานให้การว่าเห็นอาสาสมัครพยาบาลคนนี้ถูกยิงและล้มไปด้านหลัง คำให้การของพยานปากที ่ 6 และ คำให้การของพยานปากที ่ 9
87
พยานอยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 13 นาฬิกา พยานได้ยินว่าแกนนำเสื้อแดงได้มอบตัวและขอให้ทุกคนเข้าไปหลบภัยในวัดปทุมวนาราม เพราะสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัยที่ประชาชนจะเดินทางกลับบ้าน ในวัดทุกคนต่างเงียบสงบ และเวลาราว 16 นาฬิกา และ 17 นาฬิกา พยานเห็นทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสตรงทางเข้าวัด ซึ่งรางรถไฟฟ้าตั้งอยู่สูงจากพื้นถนนหลายเมตร และสามารถมองเห็นบริเวณในวัดได้อย่างชัดเจน ภายในวัด เต็นท์พยาบาลภายในวัดมีสัญญาลักษณ์กาชาดชัดเจน เวลาประมาณ 18 นาฬิกา 30 นาที ทหารเริ่มยิงเข้าไปในเขตวัดโดยไม่มีคำเตือนล่วงหน้า ในขณะนั้น เต็นท์พยาบาลถูกยิงกราด มีอาสาพยาบาลสามคนถูกยิงเสียชีวิต กมลเกด อักฮาด มงคล เข็มทอง และอัครเดช แก้วขัน ซึ่งอัครเดชเสียชีวิตลงอย่างเจ็บปวดทรมาน (ดูคำให้การของดร .ณัฎฐิธ ิดา มีว ังปลา) ทหารจากกองทัพภาคที่หนึ่งยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าไปขอความช่วยเหลือเบื้องต้นจากพยาบาลในเต็นท์ เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา กลุ่มทหารได้เข้าไปตะโดนด่าหยาบคายในวัด ในขณะที่พยานและคนอื่นช่วยกันลากศพไปไว้ในที่ปลอดภัยในวัด และทหารยังได้พยายามยิงพวกเขา ทหารหยุดยิงราว 20 นาฬิกา และมีพยานหลายคนให้การว่า เช้าวันรุ่งขึ้น ศพทั้งหกศพถูกวางเรียงกันตรงรั้วสวนในบริเวณวัด
มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมุนม เพิ่มเป็นหกสิบรายจากการประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 พฤษภาคม แม้ว่า จะมีการกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตในช่วงปฏิบัติการดังกล่าว ในขณะที่ผู้เสียชีวิตไม่มีอาวุธแต่อย่างใด
3.4
การบิดเบ ือนการใช ้พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่น
ดินในสถานการณ์ฉ ุกเฉ ิน
โดยที่มีประชาชนเสียชีวิต 90 คนและอีกประมาณ 1,800 คนได้รับบาดเจ็บภายในระยะเวลา 6 สัปดาห์ก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม
88
ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมที่เพิ่มขึ้นแ
สดงถึงความไม่จริงใจต่อ “หลักความเป็นประชาธิปไตย” และ”การเคารพหลักนิติธรรม” ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธ์ ได้อ้างว่าพยายามรักษามาตลอดระยะเวลาที่บริหารประเทศ เมื่อนายอภิสิทธ์ต้องเผชิญกับแรงคัดค้านความชอบด้วยกฎหมายของตน
เอง ซึ่งมีจำนวนมาก มีระบบระเบียบและเป็นไปโดยสงบเรียบร้อย นายอภิสิทธ์แสดงออกถึงการขาดความสามารถที่จะปกครองโดยอาศัยค
วามคุ้มครอง ที่แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับหลังรัฐประหารปี พ.ศ. 2550 เคยมีให้กับประชาชนไทยมาก่อน ทั้งนี้ แม้แต่ก่อนที่จะเริ่มมีการชุมนุม รัฐบาลได้ยกเลิกความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวและประ
กาศให้นำ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาใช้ โดยพยายามที่จะจำกัดขอบเขตการดำเนินกิจกรรมของเสื้อแดง นอกจากนี้ ในวันก่อนวันที่เกิดเหตุการณ์การสลายการชุมนุมครั้งแรก รัฐบาลยังได้อ้างอำนาจเผด็จการและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย
พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 กำหนดความหมายของคำว่า “การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” ไว้อย่างกว้าง โดยให้หมายความรวมถึง “การดำเนินการเพื่อป้องกัน ควบคุม แก้ไขและฟื้นฟูสถานการณ์ใด ที่เป็นภัยหรืออาจเป็นภัย อันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทำลายหรือทำความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน ของประชาชนหรือของรัฐ”1 โดยที่พ.ร.บ.นี้อนุญาตให้ใช้มาตรการเพิ่มเติมนอกเหนือจากหลักรัฐธรรม
นูญโดยมีวัตถุประสงค์ “ให้กลับสู่สภาวะปกติ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ” เมื่อคณะผู้ยึดอำนาจการปกครอง/คณะปฏิวัติร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นเมื่
อปลายปีพ.ศ. 2550 Human Rights Watch ได้มีการประณามอย่างรุนแรงว่า “เป็นไปเพื่อสนับสนุนการปกครองโดยทหารอย่างถาวร” และทำให้ประเทศไทยตกอยู่ใน
89
“สภาพแวดล้อมที่มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือตามอำเภ
อใจ”2 สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งได้รับเลือกโดยคณะผู้ยึดอำนาจการปกครอง/คณะปฏิวัติได้มีการอนุมัติร่างกฎหมายเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550— เพียง 3 วันก่อนมีการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติครั้งล่าสุด
พ.ร.บ.นี้วางอำนาจรัฐไว้ในการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี พ.ร.บ.กำหนดว่า “ในกรณีที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจัก
ร แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน[…] คณะรัฐมนตรีจะมีมติมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใ
นราชอาณาจักร (“กอ.รมน.”) เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้น ภายในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนดได้” กอ.รมน.เป็นหน่วยงานย่อยของทหาร ซึ่งทำหน้าที่เฉพาะกิจในการรักษาความมั่นคงของประเทศจากการคุกคา
มภายใน3 โดยดำเนินการภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งพ.ร.บ.นี้กำหนดให้เป็น “ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร”4
เมื่อมีมติดังกล่าวแล้ว ผู้บริหารราชการแผ่นดินจะไม่ใช่ สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และคณะตุลาการอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพบกในฐานะรองผู้อำนวยการ และเสนาธิการทหารบกในฐานะเลขานุการ5 ผู้มีอำนาจที่เป็นตัวกลางเพียงกลุ่มเดียวที่พอจะมีคือ คณะรัฐมนตรี แต่ก็มีอำนาจเพียงเล็กน้อยและจำกัดอยู่เพียงการอนุญาตให้นายกรัฐมน
ตรีใช้อำนาจ “ออกข้อกำหนดดังต่อไปนี้”:
1. ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด
90
2. ห้ามเข้าหรือออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนดในห้วงเวลาปฏิบัติการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น
3. ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด 4. ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน 5. ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
6. ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน6
ข้อกำหนดข้อ (2) ถึง (6) มีไว้เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากขอบเขตอำนาจของนายกรัฐมนตรีนั้นได้ถูกกำหนดไว้ในข้อ (1) แล้ว อันได้แก่ อำนาจในการ “ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด” ซึ่งอำนาจเช่นว่านี้ใช้ผ่านการออก “กฎกระทรวง” ไม่ใช่พ.ร.บ.ที่ต้องออกโดยผ่านความเห็นขอบของสภานิติบัญญัติ อีกทั้ง ไม่ได้ผ่านการพิจารณาตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองจากรัฐสภา มีเพียงแต่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และกองทัพเท่านั้นที่เป็นผู้รับผิดชอบในการใช้อำนาจ นี่คือสถานะการปกครองโดยหลักนิติธรรมที่มีอยู่ในประเทศไทยนับตั้งแต่
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา แม้ก่อนที่จะมีการแก้ไขพ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรครั้งล่าสุด International Commission of Jurists ได้แสดงความกังวลอย่างมากในเรื่องที่การบริหารของรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้
อ้างอำนาจตามพ.ร.บ.นี้อย่างต่อเนื่องว่าเป็น “การล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและรวมตัวกัน ซึ่งรับรองโดย International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)”7 ในช่วงเวลาที่ผู้เขียนกำลังเขียนนี้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ใ
นกรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่ปริมณฑล
91
ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร International Commission of Jurists แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการใช้พรบ.ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าเป็นการกระทำที่ “ละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมที่รับรองไว้ใน ICCPR” และในปัจจุบันยังคงมีการใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณา
จักร อยู่ในกรุงเทพและต่างจังงงหวัด
สถานการณ์ฉุกเฉิน
การประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและการ
ออกมาตรการอื่นๆเพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวนั้น ไม่เป็นอุปสรรคต่อกลุ่มเสื้อแดง โดยกลุ่มเสื้อแดงจากทุกเพศทุกวัยเป็นจำนวนนับพัน ยังคงเดินทางมาที่กรุงเทพมหานครเพื่อต่อต้านรัฐบาลชุดปัจจุบันและเรีย
กร้องให้มีการเลือกตั้ง เพื่อตอบโต้แรงต่อต้านอันมีเพิ่มมากขึ้น นายอภิสิทธิ์และครอบครัวได้ย้ายถิ่นที่อยู่จากในกรุงเทพมหานครไปยังค่
ายทหาร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ได้พึ่งพาอาศัยและได้รับก
ารสนับสนุนจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายๆคน เมื่อวันที่ 7 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาหลายสัปดาห์จากที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ รัฐบาลได้ประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้ว
ยความเข้มงวดกว่าเดิม(doubled down) อีกทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครและในพื้นที่ทั้งห
มดหรือบางส่วนของ 5 จังหวัดปริมณฑล
ภายใต้มาตรา 9 ของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รัฐบาลห้ามมิให้มี “การชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” รวมถึง “กระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” ในรูปแบบดังต่อไปนี้:
1. กีดขวางการจราจรในลักษณะที่ทำให้ไม่อาจใช้สัญจรได้ตามปกติ
92
2. กีดขวางทางเข้า-‐ออกของอาคารหรือสถานที่ อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงาน การประกอบกิจการ หรือการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนโดยทั่วไป
3. มีการประทุษร้ายหรือใช้กำลังอันทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายและเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน
4. ขัดขืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่สั่งการเกี่ยวกับการชุมนุมเพื่อให้เป็นไปโดยสงบและไม่เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน
ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามตามประกาศนี้ “ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท”8 นอกจากนี้รัฐบาลยังห้าม “การเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสิ่อื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจ
ตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักร”9
ภายใต้มาตรา 11 ของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลได้ออกข้อกำหนดเพิ่มเติมซึ่งให้สิทธิอย่างเป็นทางการแก่ฝ่ายบริห
ารในการใช้อำนาจได้อย่างกว้างขวาง โดยนอกเหนือสิ่งอื่นใด คือ รัฐบาลในขณะนี้มีอำนาจในการ “จับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น” “ออกคำสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานใดที่เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ฉุกเฉิน” และ “ห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชน”
93
พระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจเบื้องต้
นทางกฎหมายแก่รัฐบาล ในการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ในวันที่ 10 เมษายน 2553 และ 13 ถึง 19 พฤษภาคม ตามมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน สั่งห้ามให้มีการรวมตัวหรือชุมนุมของคนตั้งแต่คนห้าหรือมากกว่า รวมทั้งการกระทำใดที่ปลุกระดมให้เกิดความไม่สงบ ตามมาตรา 11 รัฐบาลยังออกกฎระเบียบเพิ่มเติมที่ให้ขยายอำนาจพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ ใน"การจับกุมและคุมขังผู้ต้องสงสัยในกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นส่วนหนึ่งใน
การยั่วยุหรือผู้ใดที่ทำการโฆษณาหรือสนับสนุนกับการกระทำดังกล่าว" รวมไปถึง"การเรียกตัวบุคคลมารรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่หรือให้หลักฐานเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน" โดยวันที่ 10 มิถุนายนรัฐบาลได้จับกุม 417 รายที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมกลุ่มคนเสื้อแดงในข้อหากระทำห
รือฝ่าฝืนพระราชกำหนดฉุกเฉิน
ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 พระราชกำหนดบริหารราชการณ์แผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ถูกประกาศใช้ในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ปลายเดือนพฤษภาคม มีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน
อีกยี่สิบสี่จังหวัด ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 รัฐบาลได้ต่อพระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินใน
สิบเก้าจังหวัดอีกสามเดือน มีการประกาศยกเลิกใช้ตามลำดับ จนยกเลิกไปในวันที่ 21 ธันวาคม 2553
นอกจากแกนนำเสื้อแดงจะถูกคุมขัง และเผชิญกับโทษทางอาญาสูงสุดประหารชีวิตในข้อหาก่อการร้าย ในวันที่ 10 มิถุนายน รัฐบาลยังได้จับกุมประชาชน 417 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ส่วนใหญ่ถูกจับข้อห้าละเมิดพระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานก
ารณ์ฉุกเฉิน หลายคนถูกพิพากษาลงโทษไม่กี่ชั่วโมงหลังการจับกุม นักกิจกรรม นายสมบัติ บุญงามอนงค์ถูกจับกุมในระหว่างผูกผ้าแดงเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตที่แยก
ราชประสงค์ในวันที่ 26 มิถุนายน
94
ความเกรี้ยวกราดของรัฐบาลในการใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกับกลุ่
มเสื้อแดง แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับท่าทีความปราณีในการปฏิบัติต่อกา
รฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรและเสื้อหลา
กสี และผู้ก่อตั้งของกลุ่มดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่กลุ่มเสื้อแดงรวมตัวชุมนุมกัน ณ บริเวณราชประสงค์ กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลจำนวนนับพันซึ่งตั้งเวทีชุมนุมที่ลานพระราชวังดุสิต
(Royal Plaza)และถนนสีลม ไม่มีใครโดนจับกุมเนื่องจากฝ่าฝืนกฎสถานการณ์ฉุกเฉินเรื่องห้ามชุมนุมท
างการเมืองเลย เมื่อวันที่ 22 เมษายน กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อหลากสี ได้รับการเกลี้ยกล่อมจากตำรวจหลังจากที่พวกตนได้บุกโจมตีค่ายที่พักข
องกลุ่มเสื้อแดงเป็นจำนวนหลายครั้ง และยังได้รับที่หลบภัยอันปลอดภัยในเขตแดนของทหารด้วย มีหลักฐานภาพถ่ายทางวีดีโอซึ่งแสดงให้เห็นว่าทหารกำลังถือปืนเล็งจ่อไ
ปที่ศีรษะของตำรวจผู้ซึ่งกำลังทำการจับกุมกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลที่กำลัง
ต่อสู้
เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า พระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้ถูกบังคับใช้
ในการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่เป็นการเอื้ออำนาจเผด็จการให้กับรัฐบาลในการทำลายอำนาจทางกา
รเมืองของฝ่ายตรงข้าม และการยืดพระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินออกไ
ป ยังเป็นการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิท
ธิทางการเมือง (ICCPR) ในมาตรา 4 บัญญัติว่าการระงับสิทธิที่บัญญัติไว้ในสนธิสัญญา อาทิเช่น สิทธิการชุมนุม จะทำได้ต่อเมื่อมี “ภัยต่อชีวิตของประชาชน” และ “เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนของสถานการณ์” เท่านั้น ในสถานการณ์อื่นใดนอกจากนี้ กฎหมายฉุกเฉินมิอาจใช้เพื่อ “ทำลายระบบนิติรัฐ หรือสถาบันประชาธิปไตย” ตามคณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเทศ กลุ่ม Human Rights Watch กลุ่ม International Crisis Group องค์การนิรโทษกรรม และ
95
องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลก กล่าวการใช้ พระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลไทย
นั้นไม่เป็นการใช้ที่ต้องตรงตามวัตถุประสงค์
ในคำร้องที่ยื่นต่อต่อสภาสิทธิมนุษยชน Asian Legal Resource Centre (ALRC") ได้อธิบายถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใต้การคุ้มครองของพระราชกำ
หนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนึ้ ALRC ยังเรียกร้องสภาสิทธิมนุษยชนให้ประณามการใช้ พระราชกำหนดบริหารราชแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า เป็นการฝ่าฝืนกฎของ ICCPR และเป็นสาเหตุการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ในรายงานของ ALRC ได้มุ่งความสนใจไปยังกรณีหนึ่งที่ได้มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวและการล่วง
ละเมิดของผู้เยาว์ ซึ่งถูกบังคับให้เข้าพบนักจิตวิทยา เพราะเข้าร่วมประท้วงรัฐบาลที่จังหวัดเชียงใหม่
3.5 ยุทธศาสตร์สร ้างความตึงเคร ียด
การประกาศถึงแผนการการชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงซึ่งเริ่มขึ้นกล
างเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 นำพาประเทศไทยเข้าสู่ช่วงเวลาซึ่งนักประวัติศาสตร์ชื่อ Chris Baker เรียกว่า “ยุคแห่งความกลัวและความเขลา” – ขบวนการใช้ระเบิดและก่อวินาศกรรมซึ่งทั้งน่ากลัวและเป็นปริศนา11—อย่างรวดเร็ว ขบวนการเช่นว่านี้เริ่มขึ้นจากการโจมตีด้วยระเบิดขนาดเล็กอันน่าสงสัยซึ่
งมีเป้าหมายเล็งไปยังที่ประจำการของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดาในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553 และตามมาด้วยระเบิดคู่ลึกลับกลางเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งการโจมตี 4 สาขาของธนาคารกรุงเทพ อย่างต่อเนื่องและมีการประสานงานกันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเวลาเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ศาลฎีกาสั่งยึดทรัพย์สินของนายทักษิ
ณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนก่อน และขบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นยาวนานตลอดระยะเวลาที่มีการชุมนุมของกลุ่
96
มเสื้อแดงและต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลาหลายเดือน ตามที่ได้กล่าวมาทั้งหมดall told พอที่จะสามารถสรุปรวบรวมเหตุการณ์โจมตีทั้งหมดที่เกิดอย่างต่อเนื่องกั
นคือ ใน 70 พื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครและในจังหวัดอื่นๆ และการกระทำของกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “คนในชุดดำ” เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งทำให้ทหารจำนวนมากเสียชีวิต รวมถึงการวางเพลิงเผาตึกจำนวนมากกว่า 36 ตึกในวันที่ 19 พฤษภาคม
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สร้างช่องทางในการระบายความโกรธและความกลัวของประชาชนชาวไทยอันเกิดขึ้นจากการเหตุการณ์การโจมตีอย่างง่ายดาย
97
ซึ่งได้แก่ กลุ่มคนเสื้อแดง อันที่จริงแล้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีส่วนสำคัญมาจากการสร้างภาพของรัฐบาลให้กลุ่
มคนเสื้อแดงกลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” –ข้อกล่าวหาที่ภายหลังได้ถูกนำมาใช้อ้างเป็นเหตุผลในการแก้ตัวในการระ
งับชั่วคราวเสรีภาพของพลเมือง การใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม การจำคุกแกนนำเสื้อแดงทั้ง 24 คน เนื่องจากพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) มีวัตถุประสงค์ให้นำมาใช้กับกรณี “สถานการณ์ฉุกเฉิน มีการก่อการร้าย การใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล” ซึ่งเป็นข้อแก้ตัวในการนำอำนาจเผด็จการมาใช้เป็นกรณีพิเศษ จึงทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการรณรงค์ผ่านสื่อมวลชนอย่างไม่ย่อถ
อย ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้นิยามกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่ล้มล้างบ่อนทำลาย เป็นอันตรายต่อหลักศีลธรรมและความมั่นคงของประเทศไทย
โดยที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขนานนามฝ่ายตรงข้ามตนว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับล้มเหลวในการพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าว เมื่อพิจารณาลึกลงไปอีกว่า ระดับความรุนแรงของข้อกล่าวหาว่าเป็น“ผู้ก่อการร้าย” นั้น เป็นเครื่องมือให้รัฐบาลนี้สามารถตรวจสอบและคัดเลือกข้อมูลจากหลาย
แหล่งที่มา ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถระงับสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยไม่ไปกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความโกรธแค้นและต่อต้าน อีกทั้ง มีความเป็นไปได้สูงว่ากองกำลังติดอาวุธของไทยมีการจัดฉากการโจมตี
ทั้งหลายเหล่านี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเรื่องทำให้เสื้อแดงเสียหายอย่างเปิดเผยต่อส
98
าธารณะ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ฉากความรุนแรงทั้งหลายสอดคล้องกับ “กลยุทธ์อันตึงเครียด” ซึ่งออกแบบมาเป็นข้อแก้ตัวของรัฐบาลในการอ้างอำนาจเพื่อสร้างข้อจำ
กัดอันเข้มงวดทารุณต่อการใช้สิทธิของฝ่ายตรงข้าม12
คงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลซึ่งมีภาพรวมผลงานที่ผ่านมาที่ใช้ความรุนแร
ง การใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ และการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จะสามารถจัดฉากเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อแก้ตัว (หรือเบี่ยงเบนความสนใจจาก) ภาพรวมผลงานที่ใช้ความรุนแรง การใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ และการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นอีก นี่ก็คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ในประเทศไทย พวก “มือที่สาม” ได้เคยมีบทบาทมาแล้ว ทั้งในการชุมนุมปีพ.ศ. 2516 และพ.ศ. 2535 เมื่อตัวแทนพวกสายลับเพื่อก่อกวนทางการเมืองริเริ่มก่อการจลาจล ซึ่งทำให้ผู้มีอำนาจมีข้ออ้างในการสลายการชุมนุม และเมื่อไม่นานมานี้เอง อย่างที่ทราบกันดีว่า ผู้สนับสนุนรัฐบาล กลุ่ม“คนเสื้อน้ำเงิน” ได้มีความพยายามผลักดันให้เกิดการเผชิญหน้าโดยการซุ่มโจมตีกลุ่มเสื้
อแดงซึ่งชุมนุมอยู่ที่พัทยาเมื่อเดือนเมษายนปีพ.ศ. 2552
พยานปากที่ 22 ให้การถึงยุทธศาสตร์ที่ใช้ในปี 2553 หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันที่ 10 เมษษยน 2553
แผนการของรัฐบาลรวมถึงการโน้มน้าวให้ประชาชนยอบรับว่าการ
กระทำของคนเสื้อแดงนั้นเป็นการกระทำที่รุนแรงและเป็นอันตราย ดังนั้น ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2553 กลุ่มยั่วยุประชาชนได้ทำงานร่วมกับกองทัพและรัฐบาลอภิสิทธิ์เพื่อ
จะสร้างความหวาดกลัวในสังคมและโทษว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง พวกเขาทำงานตามที่ตกลงในกรุงเทพ และวิธีการแรกคือการวางระเบิดชนิดต่างๆ
99
แม้ว่ากิจกกรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากการสลายการชุมนุมของคน
เสื้อแดงในวันที่ 19 พฤษภาคม แต่พวกยังได้รับมอบหมายให้ทำกิจกรรมดังกล่าวแต่น้อยลง เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลในการต่อพรบ.ฉุกเฉินในกรุงเทพ
และอีกตัวอย่างคือ ยุทธศาสตร์การป้ายสีต่อสาธารณชนรวมถึง การขนย้ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพ ในวันที่ 30 เมษายน 2553 มีการรายงานข่าวโดยทั่วไปว่า การขนย้ายผู้ป่วยเนื่องมาจากการบุกรุกของคนเสื้อแดงที่ต้องการค้นหามือปืนซุ่มยิง ข้อเท็จจรองคือ มันเป็นแผนการที่วางแผนไว้ล่วงหน้าโดยผู้นำรัฐบาลและทหาร สมรู้ร่วมคิดกับนักข่าวบางสำนัก และผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์บางคน หลังจากสื่อบางสำนักท้าให้แกนนำเสื้อแดงพิสูจน์ข้ออ้างที่ว่ามีมือปืนซุ่มยิงยิงลงมากดาดฟ้าโรงพยาบาล ผู้บริหารโรพยาบาลสั่งให้มีการขนย้ายผู้ป่วยทันที ไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงว่าแกนนำเสื้อแดงมีท่าทีคุกคาม และคำสั่งให้ขนย้ายผู้ป่วยนั้นเพื่อเพิ่มความตึงเครียดและป้ายสีคนเสื้อแดงว่ารุนแรงเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ การเลื่อนเปิดภาคการศึกษาในปีการศึกษา2553เดือนพฤษภาคมของผู้นำรัฐบาลเป็นยุทธศาสตร์การสร้างให้ประชาชนเกิดความรู้สึกต่อต้านคนเสื้อแดง การตัดสินใจไม่ได้เดจากการที่คนเสื้อแดงเป็นภัยอย่างแท้จริง แต่เป็นการสร้างภาพลวงตาว่าคนเสื้อแดงอันตราย การเลือกเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีหลายต่อหลายครั้งที่ได้เกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2553 เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากซะจนต้องหยิบยกมาพูดถึงการระเบิดที่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่เกิดขึ้นที่สาขาย่อยของธนาคารกรุงเทพฯ 4 แห่ง ในคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ซึ่งนำไปสู่การเตือนที่คลุมเครือแต่รุนแรงที่รัฐบาลระบุว่าหากมี "การก่อวินาศกรรม" ขึ้นอีกนับตั้งแต่วันที่ประกาศเตือนจนถึงวันที่ 14มีนาคม
100
จะมีการกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในความรุนแรงปานปลายที่เกิดขึ้นจากการปะทะต่างๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมเป็นข้ออ้างของรัฐบาลที่ใช้ออกกฎบังคับใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 8 เมษายนและหวังให้มีการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน และการปะทะรุนแรงที่สั่นสะเทือนกรุงเทพฯ ในช่วงปลายเดือนเมษายนได้ส่งผลให้มีการลอบสังหารเสธฯ แดงและการนองเลือดที่ดำเนินมาอีกกว่าหนึ่งสัปดาห์ในการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงในขณะที่เหตุการณ์การไฟไฟม้ในวันที่ 19 เมษายน เป็นเกราะกำบังให้กับรัฐบาลในการปัดความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตที่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 90 ศพไปได้ เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์การปะทะกันก็เกิดระเบิดขึ้นสำนักงานใหญ่ที่ทำการพรรคภูมิใจไทยทำให้รัฐบาลประกาศยกระดับความรุนแรงและขยายเวลาใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ออกไปอีก 3 เดือน ในวันที่ 6 กรกฎาคม แล้วในวันที่ 25 กรกฎาคมเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนายกอภิสิทธิ์แถลงการต่อสื่อว่ารัฐบาลจะพิจารณาการยกระดับความรุนแรงของพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเร่งด่วนก็ได้เกิดระเบิดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้า Big C สาขาราชดำริเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และทำให้การเยียวยาการปรองดองเพื่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชนต้องเลื่อนไปอีก เหตุการณ์เหล่านี้อาจเป็นแค่ความบังเอิญธรรมดาแต่ข้อเท็จจริงกลายเป็นว่าการโจมตีของผู้ก่อการร้ายมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องการให้เกิดและอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ "ผู้ก่อการร้าย"หาหนทางในการทำในสิ่งที่รัฐบาลอยากให้ประชาชนเชื่อทุกครั้งไป ข้อแรกการชุมนุมเสื้อแดงไม่สามารถอยู่ในความสงบเรียบร้อยได้ถ้าไม่ได้ พรบ.ความมั่งคงภายใน แต่แล้วก็ปรากฎว่าพรบ.ความมั่นคงภายในอย่างเดียวก็ไม่พอที่จะจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง หลังจากนั้นก็เกิดกรณีที่รัฐบาลต้องสลายกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรก็ตาม และกลายเป็นว่าคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตไปนั้นสมควรแก่เหตุแล้ว
101
เมื่อพิจารณาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้องการแรงสนับสนุนจากประชาชนในกรุงเทพฯมากกว่าที่อื่นๆ "ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้"กลับช่วยให้รัฐบาลทำให้ประชาชนเห็นว่า นปช. หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาตินี้ไม่สมควรได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนใดๆจากประชาชน บางคนอาจกล่าวว่า "ผู้ก่อการร้าย" เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลเพราะถ้าไม่ใช่เป็นเพราะ "ผู้ก่อการร้าย"ก็มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลชุดนี้อาจไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง จริงๆ แล้ว"ผู้ก่อการร้าย"ได้ช่วยทำให้นายกอภิสิทธิ์ได้รับการให้อภัยหลายต่อหลายครั้งจนทำให้บางคนสงสัยว่านี่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญที่เป็นการกระทำของ "ผู้ก่อการร้าย"คือการยอมเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจของแกนนำคนเสื้อแดงในเวลาบ่ายของวันที่19 พฤษภาคม ภาพกลุ่มควันสีดำที่ลอยออกจากอาคารต่างๆของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่ราชประสงค์ออกอากาศทั่วโลกในขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่านี่เป็นการประกาศยุติการชุมนุมอย่างเป็นทางการดูเหมือนว่าคนเสื้อแดงจะตกเป็นแพะรับบาปในข้อหาวางเพลิงไปโดยปริยายแต่คำให้การของพยานนิรนามปากที่ 22ให้รายงานที่เป็นข้อมูลภายในเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างตอนบ่าบของวันที่19 พฤษภาคม 2553
หลังจากที่กองพันทหารราบที่ ๒สามารถฝ่าแนวป้องกันเครื่องกีดขวางของกลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาได้แล้วก็เข้าปิดล้อมพื้นที่บริเวณราชประสงค์ทั้งหมดโดยเวลา 17.00 น.ทหารก็สามารถเข้าคุมพื้นที่บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ได้ทั้งหมดทหารดูแลให้ประชาชนและรปภ.หลายคนที่ทำงานที่ศูนย์การค้าออกจากพื้นที่ หลังจากที่ประชาชนทั้งหมดออกจากพื้นที่แล้วทหารของกองพันทหารราบที่ ๒ได้ประจำอยู่บริเวณรอบนอกศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ป้องกันไม่ให้มีใครเข้าใกล้หรือเข้าไปภายในอาคารการดำเนินการเช่นนี้ก็เพื่อให้ทีมลอบวางเพลิงที่ทางกองทัพให้มาติดตั้งวัตถุระเบิดความร้อนสูงภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์วัตถุนำไฟเหล่านี้ถูกตั้งใจวางเพลิ
102
งจนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในเวลาประมาณ17.45 น. เพลิงไหม้ทำให้ห้างสรรพสินค้าเซ็นถูกทำลาย
การกระทำดังกล่าวได้รับการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าหลายสัปดาห์ก่อนวันที่ 19พฤษภาคม โดยผู้นำกองทัพและแผนการนี้ยังได้รับความยินยอมและเห็นชอบจากผู้นำรัฐบาลรวมถึงเจ้าของอาคารที่ถูกทำลายด้วย วัตถุประสงค์ของการปฎิบัติการครั้งนี้คือการทำให้ประชาชนทั่วไปฝังใจเชื่อว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นพวกรุนแรงและอันตรายซึ่งผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพเชื่อว่าการปฎิบัติการครั้งนี้จะสร้างความรู้สึกที่ว่าการกระทำต่างๆของทหารในการสลายการชุมนุมเป็นเรื่องที่ถูกต้องข้อเท็จจริงคือกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุเพลิงไหม้และการทำลายศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เลยบันทึกคำให้การนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ประชาชนผู้อยู่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์สูงที่มองเห็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่อยู่ราชประสงค์ได้เป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้น: พยานให้การว่า พยานผู้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ,
103
ประเทศไทยพยานอาศัยอยู่ในพื้นที่ของสี่แยกราชประสงค์ พยานเป็นผู้เห็นเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดงในพื้นที่ใกล้เคียงกับที่พักของพยานทุกวันตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 พยานให้การว่าพยานไม่ได้เป็นผู้ร่วมประท้วงของคนเสื้อแดงและพยานไม่ใช่คนไทยโดยกำเนิดพยานให้การว่า พยานมาจากประเทศในแถบยุโรปตอนกลางและได้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2543 พยานให้การว่า พยานเคยผ่านการฝึกอบรมทหารพยานเคยฝึกการใช้อาวุธปืนและฝึกอบรมการป้องกันตัวและพยานคุ้นเคยกับเสียงของการยิงด้วยอาวุธอัตโนมัติและเสียงของการยิงลูกระเบิดพยานให้การว่า พยานได้ผ่านการฝึกให้เป็นวิศวกรชีวเคมีชีวภาพและพยานมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาวุธชีวเคมีและการบังคับใช้ข้อจำกัดในการใช้อาวุธชีวภาพที่กำหนดโดยระเบียบการใช้อาวุธชีวภาพของอนุสัญญาเจนีวา พยานได้เห็นการพัฒนาของไฟที่ไหม้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ในวันที่ 19 พฤษภาคม2553 จากหน้าต่างห้องนอนที่สามารถมองเห็นศูนย์การค้านั้นได้อย่างชัดเตนวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากที่ผู้ประท้วงคนเสื้อแดงยกเลิกการชุมนุมพยานให้การว่า พยานเห็นควันจากการไหม้เศษชิ้นส่วนเล็กๆนอกห้างเซ็นทรัลเวิลด์ รวมทั้งมีการไหม้เล็กน้อยที่ยางรถ พยานให้การว่าพยานเห็นควันซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นควันที่ผสมกับไอน้ำไฟไหม้เหล่านี้เกิออยู่ด้านนอกห้างเซ็นทรัลเวิลด์แม้ว่าอาจมีไฟไฟม้บ้างเล็กน้อยตรงบริเวณชั้นหนึ่งของห้างเซ็นทรัลเวิลด์จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.30 น. ของวันที่ 19 พฤษภาคมพยานเข้าใจว่ามีน้ำท่วมนองบนถนนรามา 1 หน้าห้างสรรพสิค้าเซ็น จากเครื่องฉีดน้ำของห้าง พยานสรุปจากการไหม้เล็กน้อยภายนอกอาคารของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์หลายๆที่ รวมทั้งไฟไฟม้เล็กน้อยที่อาจเกิดที่บริเวณชั้นหนึ่งของศูนย์การค้านั้นน่าจะดับได้ในทันทีจากระบบการทำงานของเครื่องฉีดน้ำของห้าง
104
ในเวลานั้น พยานไม่เห็นทหารอยู่บริเวณภายนอกของอาคารเซ็นทรัลเวิลด์เลยแม้แต่นายเดียวพยานเห็นว่ามีรถดับเพลิงอยู่อย่างน้อยสี่คันที่จอดอยู่ห่างจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์แค่หนึ่งหรือสองช่วงตึก รถดับเพลิงเหล่านี้จอดอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมและรภดับเพลิงนั้นก็ขอดประจำอยู่ตลอดช่วงที่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงแต่ไม่มีรถดับเพลิงคันใดมีปฎิกริยาต่อเหตุเพลิงไหม้เล็กน้อบตรงบริเวณชั้นหนึ่งของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553แม้ว่าผู้ประท้วงเสื้อแดงจะได้ยกเลิกการชุมนุมไปหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ เริ่มต้นที่เวลาประมาณ 17ใ00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553พยานเห็นทหารหลายกองอยู่บริเวณด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บนถนนราชดำริทหารมีท่าทางสบายๆ เดินเท้า ไม่ได้มียานพาหนะและไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลัวการคุกคามใดๆ ทหารเหล่านี้ติดอาวุธเต็มรูปแบบมีทั้งปีน Israeli Tavor 21, ปีนลูกซอง Remington 12 gauge หลายกระบอกและปืนพก Barretta 9 มม. ในเวลานี้ ไฟไหม้เล็กน้อยเริ่มเบาบางพยานไม่เห็นเปลวไฟที่ยังไหม้อยู่ และควันไฟก็เบาบางและจางลง แต่ก็ยังคงเห็นได้ชัดว่าเป็นควันไฟผสมกับไอน่ำแสดงให้เห็นว่ายังมีน้ำอยู่ เวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553พยานสังเกตห็นควันไฟที่มาจากอาคารเซ็นทรัลเวิลด์พิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากควันเริ่มหนาขึ้นและดำมากขึ้นช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกล้วมาที่สุดคือช่วงเวลาประมาณ 17ใ40 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พยานได้ยินเสียงการระเบิดครั้งใหญ่หลายครั้งพยานสามารถระบุได้ว่าเสียงจากการระเบิดนั้นมาจากภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์เวลาประมาณ 17.42 น. ควันทวีความหนาแน่นมากขึ้นชี้ให้เห็นว่ามีเชื้อเพลิงมากพยานได้บันทึกภาพถ่ายเหตุการณืดังกล่าวไว้และเวลาที่ปรากฎบนภาพถ่ายคือเวลา17:42:01
105
นับเป็นครั้งแรกที่มีเหตุไฟไหม้ที่มองเห็นได้ชัดเจนตรงบริเวณชั้นหนึ่งของด้านหน้าทิศตะวันออกเฉียงใต้ของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ภายในเวลา 46 วินาที ควันไฟค่อนข้างจะเจือจางเหมือนเมื่อเชื้อเพลิงจากการระเบิดเริ่มมอด และพยานสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกว่ามีการเกิดไฟไหม้อยู่ที่บริเวณชั้นลอยที่อยู่บนชั้นที่แปดของห้างสรรพสินค้าเซนที่อยู่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของห้างเซ็นทรัลเวิลด์พยานได้บันทึกภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวไว้และเวลาที่ปรากฎบนภาพถ่ายคือเวลา17:43:36 พยานยังเห็นเปลวไฟได้ลุกลามไปทั่วบริเวณชั้นหนึ่งและชั้นสองของทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทางด้านหน้าห้าเซ็นทรัลเวิลด์เปลวไฟลุกลามเข้าไปทางหน้าต่างที่เป็นกระจกรักษาความปลอดภัยชี้ให้เห็นว่าการแตกของกระจกหน้าต่างรักษาความปลอดภัยนั้นเกิดจากการระเบิดที่รุนแรงจากด้านในของอาคาร พยานได้บันทึกภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวไว้และเวลาที่ปรากฎบนภาพถ่ายคือเวลา17:46:49
พยานได้บันทึกภาพถ่ายเหตุการณ์ต่อมาไว้และเวลาที่ปรากฎบนภาพถ่ายคือเวลา19:01:27และเวลา 19:02:54พยานบันทึกภาพเพื่อยึนยันข้อเท็จจริงที่ว่าไฟไหม้ที่บริเวณชั้นลอยของห้างสรรพสินค้าเซนทำให้มีการลุกไหม้ของเปลวไฟที่บริเวณชั้นหนึ่งและชั้นสองของห้างลักษณะเหมือนกับผลเนื่องมาจากปรากฎการณ์ปล่องควันไฟ มีระยะห่างเป็นพื้นที่โล่งหลายเมตรระหว่างภายนอกของตัวอาคารและโครงสร้างที่เป็นพื้น/หลังคาจริงของอาคาร พยานให้การว่า
106
พยานเชื่อว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้ที่ว่าไฟถูกตั้งใจวางจากภายในตัวอาคารโดยใครก็ตามที่มีความรู้ด้านวัตถุระเบิดความร้อนสูงและพลศาสตร์ของไฟมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงกับโครงสร้างอาคาร
โดยประมาณเวลา 21.00 น. ห้างสรรพสินค้าเซนถูกเพลิงไหม้ลุกท่วมทั้งห้างพยานได้บันทึกภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวไว้และเวลาที่ปรากฎบนภาพถ่ายคือเวลา20:57:28 เวลาประมาณ 21.40 น. ห้างสรรพสินค้าแซนได้ถล่มลงพยานได้บันทึกภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวไว้และเวลาที่ปรากฎบนภาพถ่ายคือเวลา
การถล่มลงของห้างสรรพสินค้าเชนเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเกิดระเบิดขึ้นครั้งแรกเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ที่เวลาประมาณ 17.40 -‐ 21.40 น. ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 พยานให้การว่าพยานไม่เห็นว่าจะมีรถดับเพลิงที่ประจำอยู่ในบริเวณ
107
ใกล้เคียงออกไปที่สถานที่ที่เกิดเพลิงไหม้เลยแม้แต่คันเดียว วันที่ 20 พฤษภาคม 2553พยานเดินไปที่บริเวณที่เกิดไฟไหม้และพยานเห็นว่ามีรถดับเพลิงหลายคันกำลังฉีดน้ำลงบนตึกที่มีไฟไหม้ครุกรุ่น พยานสังเกตเห็นว่ามีเปลวไฟที่เผาไหม้ที่บริเวณห้างเซนเท่านั้นในขณะที่ห้างอื่นไม่ได้รับความเสียหาย ดูเหมือนว่านักผจญเพลิงจะมีเจตนาในการป้องกันความเสียหายใด ๆที่จะเกิดขึ้นกับอาคารใกล้เคียงซึ่งก็เป็นส่วนเดียวกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยเข่นเดียวกัน
4.อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ข้อมูลอันสมเหตุสมผลเบื้องต้นที่ทำให้เชื่อว่าอาชญากรรมที่อยู่ในอำนาจ
ศาลนั้นมีอยู่และกำลังเกิดขึ้น
คือสิ่งสำคัญสูงสุดในการประกอบการตัดสินใจของอัยการว่าจะทำการสอ
บสวนเบื้องต้นหรือไม่ ซึ่งคุณสมบัติสองประการจะต้องครบถ้วน
ประการแรก อัยการจะตัดสินว่าข้อมูลอันสมเหตุสมผลเบื้องต้น
ว่ามีอาชญากรรมเกิดขึ้นจริงหรือไม่; ประการที่สอง จะต้องมีการพิจารณาว่าอาชญากรรมดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจศาลหรือไ
ม่
จากเหตุการณ์ในเคนย่า
สภารับพิจารณาคดีได้ยอมรับว่าข้อกำหนดว่าด้วย
“ข้อมูลอันสมเหตุสมผลเบื้องต้นที่ทำให้เชื่อว่าอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นจริง
” ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 53(1) ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันกับข้อกำหนดว่าด้วย
“ข้อมูลอันสมเหตุสมผลเบื้องต้นในการพิจารณาคดี”
ซึ่งได้กล่าวไว้ในบทนำของ มาตรา 53 (1) บทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
คำพิพากษาคดีแสดงให้เห็นว่าหลักการดังกล่าวควรจะถูกตีความและปรั
บใช้เพื่อต่อต้านวัตถุประสงค์ในการดำเนินการตามมาตรา 14 (4)ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
108
เพื่อที่จะขัดขวางไม่ให้ศาลดำเนินการสอบสวนคดีอย่างไร้ความเป็นธรรม
ไม่มีน้ำหนัก และมีแรงจูงใจทางการเมือง
ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของศาล
สภาอุทธรณ์ได้บัญญัติข้อกำหนดนี้ไว้ในมาตรา 58 บทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศก่อนหน้านี้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เป็นการพอเพียงในขั้นตอนดังกล่าว
ที่แสดงว่าบทสรุปอย่างสมเหตุสมผลอันระบุว่ามีการก่ออาชญากรรมขึ้นมี
หลักฐานและข้อมูลรองรับ
การพิจารณาว่าอาชญากรรมอยู่ภายใต้อำนาจศาลหรือไม่
การกระทำนั้นต้องประกอบองค์ประกอบสามประการด้วยกัน :
ก. อาชญากรรมจะต้องเข้าองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 5 ตามด้วยมาตรา 6, 7 และ 8 ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
(เขตอำนาจศาล)
ข.อาชญากรรมเกิดขึ้นในระยะเวลาตามบทบัญญัติในมาตรา 11 ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
(เขตอำนาจศาลว่าด้วนเรื่องระยะเวลา)
ค.อาชญากรรมดังกล่าวต้องครบองค์ประกอบอย่างน้อยหนึ่งข้อจากข้อก
ำหนดสองข้อที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒ (สถานที่เกิดเหตุและบุคคลที่เกี่ยวข้อง) ในบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
ประการต่อมาคืออาชญากรรมจะต้องเกิดขึ้นในรัฐที่ลงนาในบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือรัฐที่ประกาศตนภายใต้มาตรา ๑๒ (๓) หรือการกระทำนั้นก่อขึ้นโดยพลเรือนของประเทศนั้น
มีเอกสารอย่างแน่นหนาอันสมเหตุสมผลที่ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในประเทศไทยอันอยู่ภายใต้อำนาจศาลได้เกิดขึ้นจริง
ในกรณีนี้ ประเด็นเรื่อง การปราศจากอำนาจเฉพาะเวลา (ratione temporis) ไม่ได้เป็นประเด็นที่มีการโต้แย้ง มาตรา 11 ของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC Statute)
109
กำหนดให้ศาลมีเขตอำนาจเฉพาะกรณีอาชญากรรมได้กระทำลงหลังจากที่ธรรมนูญนี่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งแน่นอนรวมถึงเหตุเกิดในเดือนเมษายนและพฤษภาคมพ.ศ. 2553 ตลอดจนอาชญากรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่การทำรัฐประหารปีพ.ศ. 2549 ด้วย ส่วนประเด็นเรื่อง การปราศจากอำนาจเฉพาะสถานที่ (rationae loci) และ การปราศจากอำนาจเฉพาะตน (rationae personae)ได้ถูกกล่าวถึงในคำขอนี้ภายหลัง ส่วนที่เหลือในบทนี้จะกล่าวถึง การปราศจากอำนาจเฉพาะเรื่อง (ratione materiae)
4.1 อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ : หลักท ั ่วไป
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 7 (1) ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ ลักษณะของการกระทำสี่ประการ ที่อาจถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันได้อธิ
บายไว้ในคำร้องนี้
- มาตรา 7 (1)(a) อาชญากรรมต่อมนุษยชาติว่าด้วย “การสังหาร”
- มาตรา 7 (1)(e) อาชญากรรมต่อมนุษยชาติว่าด้วย “การคุมขัง และการลิดรอนเสรีภาพทางร่างกายอย่างร้ายแรง”
- มาตรา 7 (1)(h) อาชญากรรมต่อมนุษยชาติว่าด้วยการ“การคุกคาม”
- มาตรา 7 (1)(k) อาชญากรรมต่อมนุษยชาติว่าด้วย “การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในลักษณะอื่น”
โดยทั่วไป เหตุการณ์ข้างต้นอธิบายถึงการกระทำของกองทัพที่กดขี่ผู้ชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งพลเมืองที่เข้าร่วมการชุมนุมเสื้อแดงถูกยิงโดยชายในชุดเครื่องแบบทห
าร ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตกว่าแปดสิบราย และผู้บาดเจ็บราวสองพันราย และยิ่งกล่าวนั้น ใน “สมุดปกขาว”
110
ยังได้อธิบายถึงการใช้กฎ กฎเกณฑ์ และกฎหมายใหม่ที่ให้อำนาจจับกุมคุมขังพลเรือนผู้ซึ่งพยายามเผยแพร่ค
วามคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ประท้วง หรือร่วมชุมนุมในการชุมนุมขนาดเล็ก และกฎหมายดังกล่าวใช้เพื่อจัดการกับ “การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง” อย่างเป็นวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐกลับไม่ได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต่อกลุ่
มที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล
การสังหาร
ตามเองสารว่าด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรม การพิจารณาว่าอาชญากรรมการสังหารเกิดขึ้นหรือไม่ สภารับพิจารณาคดีจะต้องเชื่อว่า “ผู้กระทำความผิดสังหารบุคคลหนึ่งคนหรือมากกว่านั้น” ในคดี JP Pierre Bemba Gombo
กล่าวว่าอาชญากรรมมีอยู่หรือไม่จะต้องพิจารณาองค์ประกอบสองประก
าร: การกระทำ ( องค์ประกอบภายนอก) และเจตนา ( องค์ประกอบภายใน)
ศาลได้วางหลักว่า การกระทำการสังหารนั้น การเสียชิวิตและการตายของเหยื่อยนจะต้องเป็นผลมาจากการกระทำ โดยการกระทำดังกล่าวจะเป็นการกระทำการหรือการกระทำโดยงดเว้นก
ระทำการก็ได้ สภารับพิจารณาคดีเน้นว่า อาจสามารถสรุปการตายของเหยื่อโดยใช้เกิดสถานการณ์แวดล้อม แต่อัยการจะต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำนั้นและการตายข
องเหยื่อ
ในกรณีดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอัยการที่จะพิสูจน์การสังหารในแ
ต่ละครั้ง การระบุเหยื่อ และผู้กระทำการโดยตรง แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระบุจำนวนเหยื่อที่แน่ชัด เพราะเปิดโอกาสให้สภารับพิจารณาคดีพิจารณาพยานหลักฐานโดยอ้าง
ถึง “มีการสังหารหลายกรรม หรือหลายร้อยกรรม” โดยไม่ต้องระบุตัวเลขที่แน่ชัด
111
ตามองค์ประกอบเบื้องต้นของเจตนาร้าย ระบุว่าการ “มีอยู่” ของเจตนาและความรับรู้สามารถพิจารณาได้จากสภาวะแวดล้อม แม้จะไม่ได้มีการบัญญัติเรื่องเจตนาไว้ในมาตรา 7 (1)(a) ของบทบัญญัติ แต่สภาได้นำมาตรา 30 ของบทบัญญัตินั้นมาปรับใช้แทน โดยอัยการจะต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างการสังหารและการทำร้าย
ตามที่ได้กล่าวอย่างละเอียดแล้วในคำขอนี้ การแพร่กระจายของการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเป็นสาเหตุการตายของพลเมืองมากกว่า 80 ชีวิต ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 กองกำลังไม่สามารถสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าได้สำเร็จ และทำให้มีผู้เสียชีวิต 27 ราย นอกจากนี้ อย่างน้อยอีก 55 รายเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ในช่วงวันที่ 13 ถึง 19พฤษภาคม มีการรายงานว่าการเสียชีวิตของคนจำนวนกว่า 80 รายด้วยน้ำมือของทหารไทยระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมพ.ศ. 2553 เกิดขึ้นจากการฆาตกรรม และการกระทำที่ผู้กระทำผิด “มีเจตนาทำร้ายเหยื่อให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยประมาทและไม่ปราณีต่อชีวิต”
เมื่อคำนึงถึงเหตุความขัดแย้งที่ผ่านมา จำนวนผู้ตายหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุฆาตกรรมหมู่ในกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2553 นั้นมีมากพอๆกับการทำสงครามแบบเต็มพิกัด โดยที่การเสียชีวิตของคน 91 รายถือเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับสิ่งที่อ้างว่าเป็นการใช้กำลังปฏิบัติการอย่างมีวัฒนธรรมของตำรวจ ผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2,000 รายโดยประมาณ เป็นถ้อยแถลงถึงการใช้กำลังที่ถูกสาปแช่งว่าใช้ความโหดร้ายทารุณของรัฐบาลไทย อนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บของชาวสหรัฐและกลุ่มสัมพันธมิตรในช่วงปีแรกของสงครามอิรัก (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546) แล้ว จึงเห็นได้ชัดเจนถึงการประกาศสงครามกับประชาชนของตนเองของนายอภิสิทธิ์
ภายใน 347 วันหลังจากเริ่มมีการรุกรานของอิรักเมื่อวันที่ 20 มีนาคมพ.ศ. 2546 จนถึง 29 กุมภาพันธ์ 2547 กองกำลังของกลุ่มสัมพันธมิตรเสี่ยชีวิตเป็นจำนวน 655 ราย เฉลี่ยได้ประมาณ 1.89 รายต่อวัน58 ในช่วงเวลากว่า 41 วันจาก เหตุการณ์โจมตีในวันที่ 10 เมษายนพ.ศ. 2553 ที่จัดฉากโดยทหารไทยใกล้บริเวณสะพานผ่านฟ้าจนถึงวันที่ 20
112
พฤษภาคมซึ่งทหารไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่การชุมนุมที่ราชประสงค์ได้สำเร็จ มีประชาชนไทยเสียชีวิตในอัตรา 2.22 รายต่อวัน ซึ่งเป็นอัตราการตายที่มากกว่าเกือบร้อยละ 17.5 เมื่อเทียบกับกองกำลังของกลุ่มสัมพันธมิตร ที่ประกอบไปด้วยหลายชาติในช่วงสงครามอิรักแบบเต็มรูปแบบ
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยิ่งเป็นที่น่าตกใจหากพิจารณาตัวเลขโดยประมาณของผู้บาดเจ็บ 2,000 รายระหว่างวันที่ 10 เมษายนพ.ศ. 2553 ถึง 19 พฤษภาคมพ.ศ. 2553 โดยใช้ตัวอย่างเดิมของ 347 วันแรกในสงครามอิรัก กองกำลังทหารของสหรัฐจำนวนทั้งหมด 2,756 รายได้รับบาดเจ็บ คิดเป็นอัตรา 7.95 รายต่อวัน อัตราผู้ได้รับอันตรายและบาดเจ็บในช่วงเวลา 41 วัน จากเหตุฆาตกรรมหมู่ในกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2553 เท่ากับ 48.8 รายต่อวัน –สูงกว่าเกินร้อยละ 600 อันที่จริง ในช่วงปีที่แย่ที่สุดของการบาดเจ็บของกองทัพสหรัฐตลอดระยะเวลาสงครามอิรัก (12 เดือนนับแต่เมษายน พ.ศ. 2547) คือเมื่อ 8,624 รายได้รับบาดเจ็บ คิดเป็นอัตรา 23.63 รายต่อวัน ซึ่งยังคงน้อยกว่าเหตุฆาตกรรมหมู่ในกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2553 เกินครึ่ง
ด้วยตัวเลขเหล่านี้ ทำให้แทบไม่ต้องสงสัยว่าวิธีการปกครองของประเทศไทย ได้เปลี่ยนใจกลางกรุงเทพมหานครให้กลายเป็นสุสานในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งแสดงออกถึงความรุนแรงในระดับที่มีให้เห็นเฉพาะในสงครามสมัยใหม่ครั้งใหญ่ๆเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ประกอบกับคำให้การของผู้อยู่ในเหตุกาณ์โดยตรงที่อธิบายถึงการสลายการชุมนุมที่กระจัดกระจายไปหลายพื้นที่ในเมือง เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการฆาตกรรมที่ “มีเจตนาทำร้ายเหยื่อให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยประมาทและไม่ปราณีต่อชีวิต” อันที่จริง คำให้การของพยานสนับสนุนความคิดที่ว่าการสลายการชุมนุมเป็นการวางแผนและดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์อันเฉพาะเจาะจงในการกล่าวโทษการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงให้ได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยการเข่นฆ่ากลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงและการสั่งหารหมู่ผู้สนับสนุนบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร
113
การจำคุกและการลิดรอนเสร ีภาพทางร ่างกายอย่างร ้ายแรง
ตามองค์ประกอบความผิดทางอาญา ก่อนที่จะสรุปได้ว่ามีการก่ออาชญากรรมโดยการจำคุกและการลิดรอนเสรีภาพทางร่างกายอย่างร้ายแรง ตุลาการชั้นพิจารณาคดี Trial Chamber ต้องฟังข้อเท็จจริงจนเป็นที่พอใจว่าผู้ต้องหากระทำการลิดรอนเสรีภาพทางร่างกายของบุคคลอื่นตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เป็นเวลาหลายเดือนนับตั้งแต่การสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมนับร้อยโดนกักขังอย่างยืดเยื้อในสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากด้วยสาเหตุที่ว่าพวกเขาทำการฝ่าฝืนพ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งผู้มีอำนาจของไทยใช้เป็นเครื่องมือในการพยายามทำให้การชุมนุมทางการเมืองมีความผิดทางอาญา มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนเท่าใดที่โดนกักขังนับแต่มีการสลายการชุมนุมนั้น ยังคงถูก “ปิดเป็นความลับ” ตามที่บทความแนวสืบสวนในตอนนั้นกล่าวไว้ แต่มีการประเมินตัวเลขอิสระไว้อยู่ที่ประมาณ 470 คนขึ้นไป59 นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลได้ถูกบังคับให้หายตัวไปแม้หลังการชุมนุมได้สิ้นสุดลงแล้ว ตามรายงานล่าสุด จากจำนวนคนทั้งหมด 88 รายที่ “มูลนิธิกระจกเงา” (Mirror Foundation) ได้บันทึกไว้แต่แรกว่าสูญหาย ปรากฏว่ามี 51 รายที่โดนกักขัง และ 27 รายยังคงไม่ทราบสาเหตุ Human Rights Watch ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า:
อย่างน้อยตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม ศอ.รส.ได้ออกคำสั่งให้ใช้กำลังทหารเพิ่มเติมในสระบุรี (ค่ายอดิศร) ราชบุรี (ค่ายพานุรังสี) และจันทบุรี (ค่ายพนาสบดีศรีอุทัย) รวมถึงเขตตำรวจตระเวนชายแดนในปราจีนบุรี (ค่านเรศวร) และปทุมธานี (กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนที่1) เพื่อกักขังผู้ถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือว่าคนเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนในตอนนี้60
114
ดังนั้น จึงย่อมฟังได้ว่ายังมีผู้คนอีกไม่ทราบว่าเป็นจำนวนเท่าใด ที่กำลังถูกกักขังตามอำเภอใจอย่างยืดเยื้อและถูกลิดรอนเสรีภาพทางร่างกายอย่างร้ายแรง
การกระทำที ่ไร ้มน ุษยธรรมในลักษณะอื ่น
การจะพิจารณาว่าอาชญากรรมอันเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในลักษ
ณะอื่นครบองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรมนั้น สภารับพิจารณาคดีจะต้องเชื่อว่า “ผู้กระทำผิดกระทำการอันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หรือก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงต่อร่างกาย สภาพจิตใจ หรือสุขภาพพลานามัย ทุกวิถีทางการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม” คำจำกัดความตามบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นมีความคลุมเ
ครือ ไม่ชัดเจนว่าอะไรที่อาจถือเป็น “การกระทำที่ไร้มนุษยธรรม”
สภารับพิจารณาคดีว่าบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศได้จำกัดควา
มหมายของคำว่า “การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในลักษณะอื่น” ต่างจากบทบัญญัติก่อนหน้านั้น อย่าง กฎบัตร Nuremburg, ICTR และบทบัญญัติ ICTY โดยบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศได้กล่าวถึง “การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในลักษณะอื่น” ในลักษณะ “ครอบคลุมทุกการกระทำ” ซึ่งให้อำนาจศาลในการตีความของการกระทำนั้น
ในทางตรงข้าม บทบัญญัติแห่งโรมได้ให้คำจำกัดความที่ชัดเจน โดยจำกัดความว่าเป็นการกระทำอันประกอบด้วยการกระทำอันไร้มนุษย
ธรรม และต้องมีมาผลลัพธ์จากการกระทำนั้น ตามมาตรา 7 (1)(k)(2) ว่าด้วยองค์ประกอบของอาชญากรรม “การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในลักษณะอื่น” จะต้องเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 (1)
115
บทบัญญัติแห่งโรม เชิงอรรถ 30 ขององค์ประกอบของอาชญากรรมกล่าวว่า “ลักษณะการกระทำ” คือลักษณะและความร้ายแรงแห่งการกระทำนั้น
แม้ว่าความคล้ายคลึงของการกระทำจะเป็นองค์ประกอบที่จำเป็น แต่มาตรา 7 (1)(k) บทบัญญัติแห่งโรมได้จำกัดความหมายของการกระทำอันเป็นการกระทำ
อันไร้มนุษยธรรม “ในลักษณะอื่น” ซึ่งได้ระบุว่าการกระทำอันเข้าองค์ประกอบของอาชญากรรมต่อมนุษยชา
ติในมาตรา 7 (1) (a) ถึง (j) ไม่ถือเป็นการกระทำอันไร้มนุษยธรรมในลักษณะอื่นตามมาตรา 7 (1)(k) แห่งบทบัญญัติแห่งโรม อาทิเช่น การพิจารณาว่าการบาดเจ็บของร่างกายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติไ
ด้นั้น สภาอุทธรณ์ ICTY ได้กล่าวในคดีระหว่างอัยการและ Kordic และ Cerkez ว่าจะต้องเข้าองค์ประกอบต่อไปนี้ :
1. “ เหยื่อจะต้องได้รับอันตรายอย่างแสนสาหัสต่อร่างกาย หรือจิตใจ ; ระดับความร้ายแรงจะต้องได้รับการพิจารณาเป็นกรณี ประกอบกับสถานการณ์แวดล้อมในแต่ละกรณี ;
2. อันตรายอย่างแสนสาหัสนั้นเป็นผลมาจากการกระทำการหรืองดเว้นกระทำการของผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ใต้บังคับบัญชา; และ
3. เมื่อมีการทำร้ายดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ใต้บังคับบัญชา มีแรงจูงใจโดยมีเจตนาที่จะทำร้ายเหยื่อให้ได้รับอันตรายอย่างแสนสาหัสต่อร่างกายและจิตใจ
จากองค์ประกอบของเจตนาภายใน สภากล่าวว่าจะต้องเข้าองค์ประกอบตามเจตนาภายนอกโดยมีการกระทำ
โดยเจตนาและรับรู้ถึงการกระทำนั้น ตามมาตรา 30 ของบทบัญญัติ มาตรา7 (1)(k) ของเอกสารว่าด้วยองค์ประกอบอาชญากรรม โดยต้องพิสูจน์ว่า “ผู้กระทำความผิดจะต้อง (กระทำอย่างต่อเนื่อง) รับรู้ถึงสถานการณ์แวดล้อมอันทำให้เกิดการกระทำดังกล่าว” การทำร้ายดังกล่าวรวมถึง
116
องค์ประกอบสำคัญอย่างแรกและที่สุดคือเจตนาโดยตรง เจตนาประสงค์ต่อผล (ระดับหนึ่ง) และ เจตนาเล็งเห็นผล(ระดับสอง)
การคุกคาม
ตามเอกสารว่าด้วยเรืององค์ประกอบแห่งอาชญากรรม การพิจารณาว่าอาชญากรรมการคุกคามได้เกิดขึ้น สภารับพิจารณาคดีจะต้องเชื่อว่าจะต้องมีการกระทำอันเป็นการคุกคาม โดยผู้กระทำความผิดได้ลิดรอนสิทธิพื้นฐานของบุคคลหนึ่งหรือมากกว่าอ
ย่างร้ายแรง ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ในคดี ICTY ระหว่างอัยการ และ kupreskic สภารับพิจารณาคดีกล่าวว่าอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ว่าด้วยการคุกค
าม “มีลักษณะพิเศษคือมีเจตนากีดกันบุคคลอื่น” นอกจากนี้ สภารับพิจารณาคดียังกล่าวว่าการคุกคามคือ “การกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นการกีดกันหรือปฏิเสธ หรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่บัญญัติไว้ในกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างป
ระเทศ หรือกฎหมายสนธิสัญญา”
ก่อนที่คนเสื้อแดงจะปักหลักชุมุนมที่กรุงเทพมหานครในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓ รัฐบาลได้พยายามปลุกระดมคุกคามทางการเมืองต่อต้านฝ่ายตรงข้ามเป็
นเวลาหลายปี
ดังที่ได้เกริ่นไว้แล้ว การรณรงค์เริ่มต้นพร้อมกับรัฐประหารเมื่อปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) ตอนที่บรรดานายพลไทยยึดรัฐไว้และล้มล้างรัฐธรรมนูญของประเทศด้วยวัตถุประสงค์เดียวคือ ขจัดพรรคการเมืองที่ปกครองประเทศอยู่ ยุบพรรคดังกล่าวด้วยกฎหมายที่มีผลย้อนหลัง ปฏิเสธสิทธิส่วนตัวของนักการเมืองไทยรักไทยที่จะลงสมัครและได้รับเลือกตั้ง ทำให้บรรดาแกนนำต้องตกอยู่ภายใต้การดำเนินคดีอาญาชนิดเลือกปฏิบัติ เข้าควบคุมศาลต่าง ๆ ยึดทรัพย์สินของทักษิณ ชินวัตร และเปลี่ยนกฎกติกาการ “เล่นเกม” เพื่อขัดขวางพรรคที่ปกครองประเทศอยู่เดิมมิให้คืนกลับมาได้
117
ตลอดระยะเวลาที่บรรดานายพลทั้งหลายอยู่ในอำนาจ (กันยายน ค.ศ. 2006 – ธันวาคม ค.ศ. 2007) พวกเขาอุทิศตนในการถอนรากถอนโคนผู้สนับสนุนทักษิณ โดยใช้แทบจะทุกรูปแบบของการคุกคามทางการเมืองที่มีอยู่—การบ่อนทำลายหลักนิติธรรม การลิดรอนเสรีภาพ การปฏิเสธสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุม การเพิกถอนสิทธิพลเมืองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง การระงับเสรีภาพในการสมาคม การรังควานโดยใช้กฎหมาย การยึดทรัพย์สิน และการใช้กฎหมายโดยมุ่งต่อตัวบุคคล (laws ad personam) [หมายเหตุผู้แปล: แทนที่จะมุ่งต่อการกระทำที่เป็นความผิด] ตามคำพูดของบรรดานายพลในขณะนั้น ซึ่งกล่าวอย่างเปิดเผยถึงความจำเป็นที่จะต้องขจัด “ระบอบ” ทักษิณ มันจึงไม่มีคำถามเลยว่าความพยายามที่จะยุติไทยรักไทยนั้นเป็นการรณรงค์ซึ่งมุ่งประสงค์อย่างชัดแจ้งที่จะเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางการเมือง
คมช. ซึ่งเข้าสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังบังคับ ทำลายพรรคไทยรักไทยและทำลายความนิยมของพรรค ในเดือนมกราคม 2550 รัฐบาลทหารจัดสรรงบประมาณลับจำนวน 12 ล้านบาท สำหรับการรณรงค์เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือและนโยบายของรัฐบาลทัก
ษิณ ตามรายงานกล่าวว่ารัฐบาลทหารอนุมัติให้มีการโฆษณารณรงค์โดยใช้เงิ
นภาษีจาก ประชาชน-‐ดำเนินการโดยบริษัทโฆษณาซึ่งมีญาติของรองเลขาธิการ คมช.-‐ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นเจ้าของกิจการ -‐ ทั้งยังก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์คนสำคัญ รวมถึงกรณ์ จาติกวณิช และกอบศักดิ์ สภาวสุ
ในขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกสลายลงทันทีหลังการรัฐประหารเมื่อปี ค.ศ. 2006 รัฐธรรมนูญชั่วคราวซึ่งถูกออกบังคับใช้หลังจากนั้นไม่นานก็ตั้งคณะตุลาก
ารศาลรัฐธรรมนูญซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกเก้าคน โดยทั้งหมดมาจากฝ่ายตุลาการ แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหาร[34] เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2007
118
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถูกเลือกมานั้นก็ยุบพรรคไทยรักไทย เห็นได้ชัดว่าคำตัดสินนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำวินิจฉัยที่ว่าพรรคไทยรัก
ไทยได้ติดสินบนพรรคฝ่ายตรงข้ามที่เล็กกว่าให้เข้าร่วมการเลือกตั้งเมื่อเ
ดือนเมษายน ค.ศ. 2006 พรรคประชาธิปัตย์—พรรคตรงข้ามของไทยรักไทยในรัฐสภาที่มีเสียงมากที่สุด—ก็ถูกกล่าวหาด้วยข้อกล่าวหาทำนองเดียวกัน กลับถูกวินิจฉัยให้พ้นผิดโดยคณะตุลาการฯ ดังกล่าว นอกเหนือไปจากยุบพรรครัฐบาลเดิมแล้ว คำวินิจฉัยของคณะตุลาการฯ ยังห้ามผู้บริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 111 คนจากการเมืองเป็นเวลาห้าปี ตามนโยบายที่ออกมาให้มีผลย้อนหลังโดยศอฉ.ตามประกาศเลขที่ 27 นี่ทำให้แน่ใจว่าเมื่อพรรคถูกสลาย บรรดาแกนนำของพรรคก็จะไม่สามารถถูกเลือกเข้ามาใหม่ภายใต้ชื่ออื่น โดยไม่คำนึงว่าข้อเท็จจริงซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นการประพฤติผิดนั้นเกิดขึ้น
หลายเดือนก่อนที่ประกาศเลขที่ 27 จะถูกออกบังคับใช้ แกนนำไทยรักไทยส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธที่จะมีโอกาสได้พูดในศาลด้วยตนเอ
ง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียกล่าวถึงการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่า
“ด้วยเหตุนี้ เราได้เห็นปรากฏการณ์พิเศษที่คณะผู้พิพากษาซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาล ทหารที่ไม่ผ่านการเลือกตั้งและต่อต้านประชาธิปไตยดำเนินการตัดสินการกระทำ ของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งซึ่งถูกกล่าวหาว่าบ่อนทำลายกระบวนการ ประชาธิปไตย”
ในระบอบใหม่นี้ การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ แกนนำพรรคถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง ภาพลักษณ์ของพวกเขาเสื่อมเสีย และพรรคที่ครั้งหนึ่งไม่มีใครเอาชนะได้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ในเดือนสิงหาคม 2550 อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยรวมตัวกันอีกครั้งอย่างไม่สะทกสะท้านต่อผ
119
ลการยุบ พรรคไทยรักไทย โดยใช้ชื่อพรรค “พลังประชาชน” ผู้นำพรรคคือนายสมัคร สุนทรเวช นักการเมืองชาวกรุงเทพฯ ผู้แก่พรรษา เพียงไม่นานหลังจากที่พรรคพลังประชาชนก่อตั้งขึ้น คมช.ก็มีคำสั่งห้ามกิจกรรมทางการเมืองของพรรค ทำให้พรรคร้องทุกข์กล่าวโทษ คมช. ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการเลือกตั้งเพิกเฉยต่อคำร้องทุกข์ดังกล่าวซึ่งกล่าวหาว่า คมช. มีความผิดจากการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองโดยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ใหม่แทนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
วันที่ 23 ธันวาคม 2550 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งครั้งแรกนับจากมีรัฐประหาร แม้ คมช.จะต่อต้านและใช้กลยุทธ์ในการปราบปรามอย่างหนัก แต่พรรคพลังประชาชนก็ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนจำนวนมาก โดยชนะการเลือกตั้ง 233 ที่นั่งจากทั้งหมด 480 ที่นั่ง แม้ว่าคณะกรมการการเลือกตั้งตัดสิทธินักการเมืองคนสำคัญที่ลงเลือกตั้งในนาม พรรคพลังประชาชนไปจำนวนมากแล้วก็ตาม พรรคจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ โดยนายสมัคร สุนทรเวชขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 มกราคม 2551
กระบวนการทำลายล้างนี้ยังคงดำเนินไปในช่วงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (มกราคม 2551 – ธันวาคม 2551) แม้ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบไปก็ตาม ดังที่บันทึกไว้ในเอกสารฉบับนี้ รัฐธรรมนูญ 2550 ให้สิทธิแก่ศาลที่จะแทรกแซงการเมืองด้วยจุดประสงค์ในการพลิกผลการเลือกตั้ง เปลี่ยนองค์ประกอบของสภาผู้แทนราษฎร สั่งยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค(ไม่เว้นกระทั่งผู้ที่ไม่ได้กระทำผิด)ไม่ให้ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
วันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) เพื่อตอบสนองต่อข้อกล่าวหาซึ่งนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและคณะกรรมการการเลือกตั้งได้นำมาฟ้อง ศาลรัฐธรรมนูญบังคับให้นายกรัฐมนตรี สมัคร ต้องลาออก ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าสมัครได้เคยเป็นพิธีกรในรายการสอนทำอาหารบนโทรทัศน์ และดังนั้นจึงได้ฝ่าฝืนข้อห้ามมิให้ผู้ได้รับเลือกตั้งรับค่าตอบแทนจากแหล่
120
งอื่น สมัคร ต่อสู้ว่าเขานั้นไม่ได้ถูกจ้างโดยสถานีโทรทัศน์ และว่า ถึงแม้รายการจะได้ออกอากาศในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พวกมันก็ได้ถูกบันทึกเทปเอาไว้ก่อนที่เขาจะมาดำรงตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ข้อต่อสู้เหล่านั้นไม่เป็นผลในศาลรัฐธรรมนูญซึ่งลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ถอดถอนเขา เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) สมัคร ถูกแทนที่ด้วยผู้นำพปช. สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ
ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ระหว่างที่การยึดครองสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเริ่มเข้าสู่อาทิตย์ที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชน รวมทั้งพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล—ตัดสิทธิสมาชิกผู้บริหารพรรคทุกคนของทั้งสามพรรคจากการเมืองเป็นเวลาห้าปี ผลคือหนึ่งในนักการเมืองที่ถูกห้ามคือนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติ หลังจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญนั้นเองที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาล และให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อกำหนดเรื่องการยุบพรรคซึ่งศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็น ฐานในการตัดสินคดีนั้นอยู่ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ตามที่คณะรัฐบาลทหารเรียกร้อง มองเผินๆ แล้วก็เหมือนมีเป้าหมายที่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับฝ่ายตุลาการต่อสู้กับ การคอร์รัปชั่น รัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะทหารใช้อำนาจ อย่างกว้างขวางในการล้มล้างอำนาจผู้ที่ประชาชนเลือกมา ด้วยลักษณะที่คล้ายกันมากกับธรรมนูญชั่วคราวซึ่งถูกนำมาใช้ภายหลังการรัฐ ประหาร รัฐธรรมนูญ 2550 ให้ทางเลือกแก่ศาลในการยุบพรรคการเมืองใดๆ ก็ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งพบว่าคณะกรรมการบริหารพรรคหรือผู้สมัครของ พรรคแม้เพียงรายเดียวทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อมีการตัดสินยุบพรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญอาจตัดสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปี
121
คดีตัวอย่างเช่น ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรคโดยอาศัยฐาน การกระทำความผิดของยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานทุจริตการเลือกตั้งครั้ง ในบรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคจำนวน 215 คน ซึ่งถูกตัดสิทธิที่จะเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยผลของคำสั่งศาลที่ให้ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพียงแค่ไม่กี่คนที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดใด มากกว่าสองร้อยคนถูกลิดรอนสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเพียงแค่เพราะมีความเชื่อมโยงกับพรรค ในระบอบประชาธิปไตย ความคิดเรื่อง “ความผิดร่วม” ไม่อาจเป็นเหตุผลในการยุบพรรคการเมืองทั้งพรรคซึ่งเป็นตัวแทนสมาชิกหลายล้านคน และในบางกรณี เป็นพรรคที่ถูกเลือกโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่าสิบล้านคน หรือแม้แต่สมาชิกรัฐสภาซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ (หรือกระทั่งพลเมืองคนหนึ่งคนใด) ก็ไม่ควรถูกลิดรอนสิทธิทางการเมืองของเขา/เธอเพราะการกระทำความผิดของบุคคลอื่นโดยที่เขาหรือเธอไม่ได้รู้เรื่องด้วย (นับประสาอะไรกับการสมรู้ร่วมคิด)
กฎกติกาต่างๆ เหล่านี้ละเมิดสิทธิของปัจเจกบุคคลหลายประการดังที่ระบุไว้ใน ICCPR เช่น สิทธิในการ“มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจการรัฐ ทั้งโดยตรงหรือผ่านตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเสรี” (ข้อ 25) และสิทธิที่จะมี“เสรีภาพในการรวมตัวกับผู้อื่น” (ข้อ 22)มันแทบไม่มีความหมายอะไรเลยที่คณะรัฐประหารอุตส่าห์เขียนเนื้อหาเหล่า นี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎกติกาเหล่านี้ขัดโดยตรงกับพันธกรณีตามกติการะหว่าง ประเทศฯ ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีโดยสมัครใจ ยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่นักวิชาการด้านกฎหมายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณรงค์เดช สรุโฆษิต ได้ชี้ให้เห็นว่า บทบัญญัติเหล่านี้ขัดแย้งโดยตรงกับหลักการเรื่องเสรีภาพในการสมาคม/รวมตัว ดังปรากฏอยู่ในมาตรา 65 แห่งรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเองแน่นอนว่า
122
ในหลายประเทศศาลมีอำานาจที่จะยุบหรือถอดถอนพรรคการเมืองหากว่าพบว่าละเลยหรือมีความผิดเกี่ยว
กับข้อกำหนดทางการเงิน เกี่ยวข้องกับ กลุ่มกองกำาลัง และกระทำากิจกรรมที่มีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ไม่มีประเทศ
ประชาธิปไตยประเทศไหนที่ให้อำานาจศาลสั่งยุบพรรคการเมืองเพียงแค่
การกระทำาผิดของตัวบุคคลเอง และเป็นการ
กระทำาผิดที่เกิดจากการตัดสินใจโดยฝ่ายบริหาร (อาทิ การตัดสินใจที่ตีความโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง) และไม่
ประเทศประชาธิปไตยประเทศไหนที่ศาลมีอำานาจถอดถอนสมาชิกรับสภ
า หรือตัดสิทธ์ิเลือกตั้งหรือสิทธ์ิลงเลือกตั้ง
ของกรรมการบริหารพรรคเพราะการกระทำาผิดของบุคคลอื่น นอกจากนี้ ในจำานวนศาลใน 7 ประเทศที่มีอำานาจสั่งยุบ
พรรคการเมืองที่ไม่สามารถชี้แจงการใช้จ่ายเงินของพรรค (อาร์เจนติน่า, บัลกาเรีย, สาธารณรัฐเชค,เคนย่า, โปรตุเกส,
ปาปัวนิวกินี และประเทศไทย) มีเพียงสาสลในประเทศไทยและสาธารณรัฐเชคเท่านั้นที่สามารถตัดสินสั่ง
ยุบพรรคการเมืองด้วยเหตุผลที่พรรคการเมืองไม่สามารถแสดงเอกสาร
ภายในระยะเวลาที่กำาหนดเพียงครั้งเดียว
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอให้สายยุบพรรคผู้นำารัฐบาลอย่าง
พรรคประชาธิปัตย์ ศาลก็พยายามหาเหตุผลที่จะ
ไม่สั่งยุบพรรค ในช่วงปลายเดือนพฤจิกายนและต้นเดือนธันวาคม 2553 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกคำาฟ้ องขอให้ยุบพรรค
ประชาธิปัตย์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคโดยมิชอบถึง สองครั้ง โดย
อ้างเหตุผลทางเทคนิค แม้ศาลจะใช้เวลาพิจารณาคดีนี้ถึง 6 เดือน โดยมีการไต่สวนพยาน ตรวจสอบหลักฐาน และฟัง
123
คำาให้การของทั้งสองฝ่าย ศาลตัดสินว่าคดีทั้งสองคดีนี้ ไม่สามารถรับพิจารณาคดีได้ตั้งแต่ต้น เพราะคณะกรรมการการ
เลือกตั้งยนื่ ฟ้ องคดีช้าไป หลักจากการพิจารณาคดี นักรัฐศาสตร์ นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ได้เขียนบทความระบุว่า
การสั่งยุบพรรค หรือการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของนักการเมืองฝ่
ายเหนึ่ง ในขณะที่ไม่ทำาอะไรกับอีกฝ่ ายหนึ่ง แสดงให้
ให้ถึงสิ่งที่เรียกว่า “การขยายขอบเขตการใช้กระบวนการยุติธรรม” ในการเมืองของไทย เป็นระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อ
ให้กระบวนการยุติธรรมจัดวางทิศทางทางการเมือง
และแก้ปมที่ซับซ้อนของวิกฤตปัญหาในประเทศไทย แต่แทนที่
จะช่วยสร้างความปรองดอง เพื่อจะเดินไปข้างหน้า
การขยายการใช้กระบวนการยุติธรรมกลับทำาให้ปัญหาแย่ลงกว่า
เดิม
นอกจากกฎหมายเรื่องการยุบพรรคการเมืองของไทยจะแสดงให้เห็นถึงก
ารลิดรอนเสรีภาพที่การันตีไว้ใน ICCPR ซึ่ง
ไม่มีประเทศประชาธิปไตยหรือประเทศที่มีเสรีภาพไหนทำากันแล้ว การเลือกปฏิบัติและเลือกบังคับใช้กฎหมายกับ
พรรคใดพรรคหนึ่งยังแสดงให้เห็นถึงการใช้ระบบตุลาการเป็นเครื่องมือท
างการเมืองในการปรับเปลี่ยนรัฐสภา เปลี่ยน
ผลการเลือกตั้ง และกำาจัดฝ่ายตรงข้ามของกลุ่มอำานาจเก่า
นักการเมืองทุกคนที่ถูกตัดสิทธ์ิทางการเมืองตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งได้ในการเลือกตั้งที่
จะเกิดขึ้นในปลายปี 2554 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คนที่ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือก
124
ตั้งปี 2550 จะได้มีสิทธิทางการเมืองอีกครั้งในกลางปี 2555 ในขณะที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ชาติไทย
และมัชชิมาธิปไตยจะต้องรอจนถึงปลายปี 2556 ข้อเท็จจริงคือพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งถึงสี่ครั้งถูกสั่งยุบ และ
จำานวนสมาชิกที่มีศักยภาพของพรรคที่ถูกตัดสิทธ์ิทางการเมืองนั้นมีจำ
านวนเกือบครึ่งหนึงของสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร ผลกระทบที่รุนแรงของการตัดสินครั้งนี้ก็เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พรรคประชา
ธิปัตย์ และลิดรอนตัวเลือกในการ
เลือกตั้งของประชาชนชาวไทย
กรณีที่กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธ์ิทางการเมืองทั้ง 215 คนมีความคล้ายคลึงกับกรณีของนักการเมืองพรรคฝ่ายค้านอย่างนายลีโ
อโพลโด โลเปซ เมนโดซ่า อย่างมาก โดยเขาถูกตัดสิทธ์ิไม่ให้ลงเลือกตั้งในปี 2547 แม้เขาจะไม่ได้ทำาผิดอะไรเลยก็ตาม ในปี 2552 คณะกรรมการอเมริกันสากล ฝ่ายสิทธิมนุษยชน (Inter-‐American Commission)ซึ่งเป็นหน่วยงานใน
องค์กรของอเมริกาได้หยิบยกเรืองดังกล่าวให้ศาลมนุษยชนขององค์กรอเ
มริกันสากล โดยเรียกร้องให้ศาลสั่งให้เวเนซู
เอล่าคืนสิทธิทางการเมืองให้แก่นายลีโอโพลโด โลเปซ เมนโดซ่าทันที และจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อผลกระทบที่นาย
ลีโอโพลโด โลเปซ เมนโดซ่าได้รับจากความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น และบังคับให้เวเนซุเอล่าแก้ไขระบบกฎหมายภายใน
ประเทศ ในกรณีของประเทศไทย จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีหน่วยงานระหว่างประเทศใดพิจารณาถึงกรณีที่นัก
การเมือง
125
กว่า 200 คน (และหลายคนเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ที่ถูกตัดสิทธ์ิลงสมัครรับเลือกตั้งใช้ข้อกล่าวหาที่ไม่มี
อยู่จริง
บางทีหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของการตามทำลายล้างทางการเมืองคือการลิดรอน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินและไม่ฉุกเฉิน ด้วยการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น (censorship)ที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทยในรอบสามสิบปี ตลอดจนการดำเนินคดีต่อคนจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในข้อหาอาชญากรรมทาง ความคิด
และเช่นกัน มันไม่สำคัญเลยว่าการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นและการคุมขังนักโท
ษทางการ เมืองจะได้รับการรับรองในกฎหมายอย่างพระราชบัญญัติการกระทำผิดท
าง คอมพิวเตอร์และกฎหมายอาญามาตรา 122 กฎหมายเหล่านี้โดยตัวของมันเองเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนไทยที่จะมี เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการ “แสวงหา รับ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดทุกประเภท” ซึ่งเป็นสิ่งที่ ICCPR ปกป้อง ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐมักจะอ้างความชอบธรรมสำหรับการลิดรอนดังกล่า
วว่าจำ เป็นในการรักษาความมั่นคงของชาติ ความเสื่อมถอยของสิทธิฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไทยถูกสังเกตการณ์โ
ดยนักข่าวไร้พรมแดน โดยในรายงาน “เสรีภาพสื่อในโลก” ระบุว่าเสรีภาพของสื่อในประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 153โดยก่อนหน้ารัฐประหารปี 2549 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 66
เมื่อไม่นานมานี้ การประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ ณ วันที่ผู้เขียนเขียนบทความนี้) และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ถูกยกเลิกไปเมื่อเดือนธันวาคมพ.ศ.2553) ได้ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวกันตาม
126
ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ไว้แก่ประชาชนชาวไทย อย่างไรก็ดี มีเพียงแต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลเท่านั้นที่ถูกกลั่นแกล้ง คุมขังอย่างไม่มีกำหนด และถูกปฏิเสธมิให้ได้รับขั้นตอนการพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับการฝ่าฝืนกฎระเบียบที่ออกมาภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่ กลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนรัฐบาลได้รับอนุญาตให้ปักหลังชุมนุมครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครได้รับโทษดังกล่าวเลย นี่แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่เป็นสองมาตรฐานซึ่งไม่อาจยอมรับได้
ทั้งนี้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า กลุ่มผู้สนับสนุน ดร.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ต่อต้าน กลุ่มอำมาตย์ถูกกลั่นแกล้งและรังแกทางการเมืองตั้งแต่เกิดรัฐประหารปีพ.ศ. 2549 โดยที่การกระทำทั้งหมดที่ได้กล่าวมาในคำขอนี้ ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง การจัดการอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมายเพื่อสร้างข้อจำกัดแก่ประชาชนที่ยังคงมีความจงรักภักดีต่อดร.ทักษิณ ประชาชนที่ต่อต้านการทำรัฐประหาร และ/หรือประชาชนที่ต้องการลดการใช้อำนาจที่นอกเหนืออำนาจตามรัฐธรรมนูญของทหารไทย ซึ่งการกระทำทั้งหมดดังกล่าวได้แสดงถึงการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางการเมือง
4.2 องค์ประกอบพื ้นฐานของอาชญากรรม
มีคำอธิบายเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเพิ่มเติมในเอกสารสำคัญ
อื่นของศาลอาญาระหว่างประเทศ-‐ เช่น เอกสารว่าด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรม โดยต้องประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้:
1. การทำร้ายจะต้องเป็นการกระทำโดยตรงต่อพลเร ือน 2. เป ็นการกระทำโดยนโยบายรัฐหร ือองค์กร ; 3. การกระทำโดยเฉพาะเจาะนั้นต ้องเป ็นเป ็นวงกว้างและเป ็นระบ
บอย่างหนึ ่งอย่างใด
127
4. ความสัมพันธ์ระหว ่างการกระทำส่วนบุคคลและการทำร้าย ;
5. อย่างน้อยที่สุด ผู้กระทำการจะต้องสามารถรับร ู ้หร ือม ีเจตนาเข ้าใจว่าการการกระทำดังกล่าวคือการทำร้ายอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ
การทำร้ายจะต้องเป ็นการกระทำ
“มุ ่งโดยตรงต่อพลเร ือนโดยรวม
นิยามของ “การทำร้าย” ไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ได้ถูกขยายความไว้ในเอกสารว่าองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรร
ม ซึ่งได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของมาตรา 7(1) บทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศว่า การทำร้ายไม่ได้ถูกจำกัดแค่ “การทำร้ายโดยกองทัพ” นอกจากนี้สภารับพิจารณาคดีได้กล่าวไว้ในคดี Jean Pierre Bemba Gomba ว่า องค์ประกอบของการทำร้ายมีการกระทำที่รัฐว่าจ้างให้บุคคลที่สามกระท
ำการดังกล่าวตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 7(1)
เหตุการณ์ในเคนยา สภารับพิจารณาคดีพิจาณาว่า “พลเมืองที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นเหยื่อของอาชญากรรมตามมาตรา ๗ นั้นจะถูกแบ่งแยกโดยสัญชาติ เชื้อชาติ หรือการแบ่งแยกตามลักษณะอันโดดเด่นประการอื่น” อัยการจะต้องแสดงให้เห็นว่าการทำร้ายนั้น “เป็นการทำร้ายโดยตรงต่อพลเมืองโดยรวม ไม่ได้มุ่งทำร้ายบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยตรง” นอกจากนี้ พลเมืองกลายเป็นเป้าโดยตรงของการทำร้าย และมิได้เป็นเหยื่อของการทำร้ายโดยไม่เจตนา คำว่า “พลเมือง” หมายถึงบุคคลที่เป็นพลเรือนที่ต่อต้านสมาชิกของกองทัพหรือหรือกองก
ำลังอื่นรัฐ
ตามที่ระบุในคำร้อง กองทัพกระทำการอันรุนแรงอย่างสูงสุดต่อผู้ชุมนุมชาวเสื้อแดงในเดือนเ
128
มษาและพฤษภาคมภายใต้การสั่งการของรัฐบาลไทย แม้รัฐบาลจะอ้างว่าได้สั่งให้ใช้กำลังต่อกลุ่มหัวรุนแรงในกลุ่มคนเสื้อแดงเ
ท่านั้น แต่ไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่าผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน และในช่วงการสลายการชุมนุมทั้งอาทิตย์ วันที่ 13-‐19 พฤษภาคมได้ข่มขู่หน่วยรักษาความปลอดภัย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คลิปวีดีโอหลายคลิป ภาพถ่าย และพยานในเหตุการณ์ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่ได้กระทำการใดอันเป็น
อันตรายอย่างเด่นชัดเลย โดยส่วนใหญ่ถูกยิงที่ศีรษะในขณะที่กำลังยิงหนังสติ๊ก ถือธงชาติ กล้อง หรืออุปกรณ์ปฐมพยาบาล
รัฐบาลพยายามอธิบายว่าถึงความเป็นอันตรายของผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเ
จ็บที่เกิดจากการกระทำของกลุ่มกองทัพต่อพลเรือนราบบุคคล โดยเฉพาะ ใช้เหตุผลที่ว่าเหยื่อได้ร่วมกิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่รัฐบาลเรียกว่า “ผู้ก่อการร้าย” ไม่ว่าจะมีมูลว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช. หรือรู้จักโดยกว้างขวางว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงจะสามารถเรียก
ว่า “ผู้ก่อการร้าย” หรือไม่ แต่การกระทำของรัฐบาลที่ไล่ล่า “พลเรือน” โดยใช้เหตุผลของ “การแบ่งแยกคนโดยใช้ลักษะอันโดดเด่น” (เช่นสีเสื้อ) เพื่อระบุว่าสมาชิกของกลุ่มพลเรือน โดยไม่ได้พิจารณาการกระทำรายบุคคลว่าบุคคลนั้นได้ใช้ความรุนแรงแล
ะคุกคามหน่วยงานความปลอดภัยหรือไม่ โดยสรุป สามารถกล่าวได้ว่าพลเมืองที่ถูกคัดแยกโดยลักษณะที่โดดเด่นนั้นเป็นฝ่า
ยตรงข้ามรัฐบาล และไม่ได้เป็นเพียงแค่วัตถุที่ถูกทำร้าย คำให้การของพยานที่ปรากฎในคำร้องนี้เป็นสิ่งที่โยงให้เห็นถึงข้ออ้างที่ว่า
การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงถูกวางแผนกำจัดมาเป็นอย่างดี
เป ็นการกระทำผ่านนโยบายรัฐหร ือองค์กร
ในย่อหน้าที่ ๓ ของเอกสารว่าด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรมระบุว่า “นโยบายที่ทำให้เกิดการทำร้าย” ประกอบด้วยนโยบายของรัฐหรือองค์กรที่สนับสนุน
129
หรือปลุกระดมให้มีการทำร้ายพลเรือน นอกจากนี้ยังกล่าวว่า “นโยบายการปฏิบัติต่อพลเรือนเสมือนเป้าแห่งการทำร้ายได้กระทำโดยรั
ฐหรือองค์กรนั้น หรือในบางกรณี อาจเป็นนโยบายที่งดเว้นการกระทำตามหน้าที่โดยเจตนา ซึ่งเป็นการส่งเสริมการทำร้ายดังกล่าว การที่รัฐบาลหรือองค์กรไม่กระทำการไม่ได้หมายความว่านโยบายนั้นไม่
มีอยู่”
บทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศมิได้จำกัดความของคำว่า “นโยบาย” หรือ “รัฐหรือองค์กร” สภารับพิจารณาคดีในกรณีของเคนย่าและในคดี Katanga และ Ngudjojo Chui ได้กล่าวถึงองค์ประกอบข้อนี้ว่า “(….) จะต้องมีการจัดการที่ละเอียดและมีรูปแบบกฎบังคับ และต้องมีการดำเนินนโยบายพื้นฐานที่ใช้ทรัพยากรสาธารณะหรือเอกชน นโยบายดังกล่าวอาจจะถูกร่างโดยกลุ่มบุคคลผู้ซึ่งมีอำนาจปกครองให้บา
งพื้นที่ หรือองค์กรที่มีความสามารถในการทำร้ายพลเรือนอย่างเป็นวงกว้างและ
เป็นระบบ นโยบายไม่จำเป็นต้องมีการตีความอย่างชัดเจนโดยกลุ่มองกรค์ การทำร้ายร่างกายที่มีการวางแผน มุงประสงค์โดยตรง หรือโดยการจัดการ ซึ่งตรงข้ามกับการกระทำที่ไม่ได้วางแผนหรือการกระทำอันรุนแรงอันไม่สั
มพันธ์กัน ถือว่าเข้าองค์ประกอบดังกล่าว”
คำจัดกัดความนโยบายรัฐหรือองค์กร สภารับพิจารณาคดีในคดีของ Blaskic กล่าวว่า “นโยบายไม่จำเป็นที่จะต้องกระทำโดยกลไกลสูงสุดของรัฐ” ในคำตัดสินคดีเคนย่า สภารับพิจารณาคดีอ้างและได้บันทึกคำตัดสินนี้ว่า “นโยบายที่ถูกนำไปใช้โดยหน่วยงานส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นถือว่าเข้าองค์ประกอบของข้อกำหนดที่ว่าด้วยนโยบายรัฐ”
130
คำจัดกัดความของคำว่า “องค์กร” ที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศมีความคลุมเครือ คำตัดสินคดีเคนย่า สภารับพิจารณาคดีอ้างคำกล่าวของคณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเ
ทศว่า “บทบัญญัติไม่ได้ยกเว้นความเป็นไปที่ว่าเอกชนที่มีอำนาจในทางปฏิบัติหรื
อจัดตั้งกลุ่มหรือซ่องโจร อาจสามารถก่ออาชญากรรมละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบหรือมห
าศาล” สภารับพิจารณาคดีกล่าวว่า “การพิจารณาว่ากลุ่มองค์กรใดเข้าองค์ประกอบตามบทบัญญัติหรือไม่ จะต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป” ซึ่งมีกฎเกฎฑ์ที่อาจพิจารณาหกประการ:
(1) “กลุ่มมีส่วนรับผิดชอบต่อการสั่งการ หรือมีการจัดตั้งสายบัญชาการหรือไม่;
(2) ตามข้อเท็จจริง กลุ่มยึดถือและกระทำการทำร้ายพลเรือนอย่างเป็นวงกว้างและเป็นระบบ;
(3) กลุ่มมีอำนาจควบคุมบางพื้นที่อันตั้งอยู่ในเขตแดนของรัฐหรือไม่;
(4) กลุ่มมีวัตถุประสงค์ขั้นต้นในการก่ออาชญากรรมต่อพลเมืองหรือไม่;
(5) กลุ่มมีเจตนาจงใจ ชัดเจน และปราศจากข้อสงสัยในการทำร้ายพลเรือนหรือไม่;
(6) กลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่ที่กระทำการตามที่ได้กล่าวในข้างต้น
131
สภารับพิจารณาคดีย้ำว่าข้อพิจารณาข้างต้นนั้นช่วยในการจำกัดความ แต่ไม่จำเป็นจะต้องครบถ้วนทุกประการ
การสังหารในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระจัดกระจาย แต่เกิดจากการทำงานร่วมกันในนโยบายตอบโต้การชุมนุมของคนเสื้อแด
ง กองทัพได้เคลื่อนพลบ่อยครั้ง และคำสั่งถูกปฏิบัติตามตามสายบังคับบัญชาการ รวมถึงมีการทำงานร่วมกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ อย่างเช่น หลังจากที่สั่งให้ทหารสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน 2553รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชาการแผ่นดินในสถา
นการณ์ฉุกเฉิน หรือที่กลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนเรียกว่า “ใบอนุญาตสังหาร” โดยให้อำนาจอย่างเต็มขั้นในการใช้กำลังที่จำเป็นสลายการชุมนุม ในขณะที่รายงายของผู้เชี่ยวชาญทางการทหารจ่าสิบโทวิทตี้กล่าวว่าวิดีโอ
และหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการจ่ายอาวุธทหารแบบไม่เลือกโดยตั้งใจ ดังนั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์รู้เห็นเป็นใจหรืออนุมัติการปฏิบัติการนี้ โดยมิได้คำนึงว่าจะมีการสูญเสียเลือดเนื้ออย่างไม่จำเป็น
โดยสรุปคือ กองทัพปฏิบัติการทำร้ายคนเสื้อแดงซึ่งเป็นพลเรือนตามคำสั่งของรัฐบาล อันเป็น “นโยบายของรัฐบาลหรือองค์กร” และได้รับการเห็นชอบและอนุมัติโดยรัฐบาลพลเรือนระดับสูงและนายทหา
รในกองทัพระดับสูง
การกระทำที ่ระบ ุน ี ้ เป ็นการกระทำที ่อาจถือเป ็น”การทำร้ายอย่า
งกว้างขวางหรือเป ็นระบบ
การกระทำอันอาจถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เมื่อมีการทำร้ายมุ่งตรงต่อพลเรือนอย่างเป็นวงกว้างและเป็นระบบ สภารับพิจารณาคดีได้กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า “การกระทำที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวต้องเป็นการกระทำในวงกว้างและเป็นระบบจึงจะเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ นอกจากนี้
132
การทำร้ายอย่างเป็นวงกว้างอาจจะเป็น “ผลกระทบที่เพิ่มขึ้นจากการกระทำอันไร้มนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง หรือผลกระทบครั้งเดียวจากการกระทำอันไร้มนุษยธรรมอันเลวร้ายอย่าง
ใหญ่หลวง”
คำว่าเป็นระบบนั้นหมายถึง “ลักษณะการกระทำอันรุนแรงโดยมีการจัดการและมิใช่การกระทำโดยบังเ
อิญ” ในคำตัดสินคดีเคนย่า สภารับพิจารณาคดีอ้างถึงคำกล่าวของ ICTY และระบุว่าองค์ประกอบพื้นฐานของ “ความเป็นระบบ” อาจอธิบายได้ดังนี้:
(1) มีการจัดการอย่างละเอียด;
(2) มีการปฏิบัติตามรูปแบบที่เป็นปกติวิสัย;
(3) ตามนโยบายพื้นฐานร่วมกัน;
(4) มีการใช้ทรัพยากรสาธารณะหรือเอกชน;
ในกรณีของประเทศไทย ระดับและช่วงเวลาของการสังหาร รวมถึงลักษณะการกระทำ อาจชี้ให้เห็นถึงความสมบูรณ์ขององค์ประกอบทั้งสองประการ หรืออีกนัยหนึ่งคือยอดพลเรือนผู้เสียชีวิตกว่าแปดสิบราย และผู้บาดเจ็บราวสองพันรายภายในสี่สิบวัน ชี้ให้เห็นถึงความเป็น “วงกว้าง” ของการทำร้าย และประการหนึ่งคือ เหตุการณ์เดิมที่เกิดขึ้นหลายครั้งและเป็นประจำแสดงให้เห็นถึง “ความเป็นระบบ” และการทำร้ายอย่างเฉพาะเจาะจงอธิบายถึงพฤติการณ์ของกองทัพที่ปฏิ
บัติตามนโยบายร่วมกัน โดยการทำร้ายนั้นมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และมีการใช้ทรัพยากรของรัฐ
133
ความสัมพันธ์ของการกระทำแต่ละกรรมและการทำร้าย
หากพิจารณาคดีตัวอย่างในอดีตจะพบว่า องค์ประกอบว่าด้วย “ความสัมพันธ์กันของการกระทำแต่ละกรรมและการทำร้าย” ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในพิจารณาว่าคดีดังกล่าวว่าเข้าข่ายเป็น
การกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไม่ นอกจากนี้ หากจะพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของมาตรา 7 (1) ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ สภาจะต้องพิจารณาถึงลักษณะ จุดมุ่งหมาย และผลลัพธ์ของการกระทำนั้น
ในขณะที่รัฐบาลไทยได้ปฎิเสธคำร้องที่สภาทนายความยื่นเพื่อขอดูหลักฐ
านเกี่ยวกับการเคลื่อนกำลังทหาร, กฎการใช้กำลัง, และคำสั่งต่างๆ ที่มีผลต่อพลเรือนและทหารในระหว่างการปราบปรามการชุมนุมในเดือนเ
มษายนและพฤษภาคม 2553 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หลักฐานที่ปรากฏในคำร้องฉบับนี้พิสูจน์ว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่า
ง การโจมตีของทหารต่อการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และการสังหารแบบเจาะจง, การกักขัง และการลิดรอนเสรีภาพทางด้านร่างกายอย่างรุนแรง รวมถึงการกระทำโหดร้ายป่าเถื่อนตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงของคนเสื้อแด
งเป็นต้นมา เช่นเดียวกับการกลั่นแกล้งทางการเมืองที่มีมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งการกลั่นแกล้งนี้เป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ของรัฐบาลเพื่อกวาดล้างอง
ค์กรที่ตั้งตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจเก่าไปให้พ้นจากพื้นที่การเมือ
งของประเทศไทย ในแง่หนึ่ง ข้อมูลที่เผยแพร่ในสาธารณะที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะ, วัตถุประสงค์ และผลที่ตามมาของการโจมตีที่เป็นข้อสังสัยอยู่ในขณะนี้เป็นหลักฐานที่มี
รายละเอียดที่อธิบายความเกี่ยวข้องกันระหว่าง การกระทำดังกล่าวและการร่วมมือในการโจมตีในวงกว้าง ในอีกแง่หนึ่ง ข้อมูลที่ได้มาจากบุคลต่างๆ ภายในกองทัพบกไทยและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ไม่เพียงแต่เป็นการย้ำว่ามีการโจมตีดังกล่าวจริง แต่ยังอธิบายวิธีการโจมตี,
134
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการกำหนด
และการปฎิบัติการโจมตีเหล่านี้ด้วย
“ความรับร ู ้หร ือเจตนา”
องค์ประกอบของอาชญากรรมต้องประกอบด้วย mens rea หรือเจตนาร้าย ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยระบุถึงเจตนาร้ายสองแบบด้วยกัน คือเจตนาร้ายโดยประสงค์ต่อผลซึ่งมีความร้ายแรงระดับหนึ่ง และเจตนาร้ายโดยเล็งเห็นผลซึ่งมีความร้ายแรงระดับสอง มาตรา 30 บัญญัติว่า บุคคลจะต้องรับผิดชอบและถูกลงโทษในอาชญากรรมที่ก่อขึ้นในอำนาจศ
าลโดยเจตนาและโดยรับรู้ นอกเสียจากว่าจะพิสูจน์ว่าเป็นอย่างอื่น สภาอุทธรณ์ ICTY ใน คดีระหว่างอัยการแลt Tadic กล่าวว่า “ผู้กระทำการต้องรู้ว่าการทำร้ายดังกล่าวเกิดขึ้นต่อพลเมือง และการกระทำของผู้กระทำความผิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการทำร้ายดังก
ล่าว นอกเหนือไปจากการรับรู้ถึงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยการกระทำของ
ผู้กระทำความผิด บุคคลดังกล่าวยังเต็มใจกระทำการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำการไม่จำเป็นที่จะต้องรู้รายละเอียดทั้งหมดของแผนการทำรายนั้
น”
ความแตกต่างของระดับเจตนาโดยตรง (dolus directus) นำมาใช้กับสายการบังคับบัญชาในระดับที่แตกต่างกัน อย่างน้อยก็ในคดีฆาตรกรรมหรือการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอื่น ๆ
โดยดูจากหลักฐานที่อธิบายไว้ในคำร้องฉบับนี้, ผู้ที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการโจมตีต่อต้านการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแ
ดง ได้แก่ผู้นำทหารระดับสูงได้มีเจตนาเพื่อก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและการ
บาดเจ็บทางร่างกายที่ร้ายแรง นับว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในระดับที่ 1 คือมีเจตนาตรง (dolus directusin)
135
ความผิดสำหรับผู้นำพลเรือนของประเทศที่เห็นชอบต่อการกระทำดังกล่า
วรวมถึงมีส่วนรู้เห็นในการโจมตีให้นับว่ามีเจตนาตรงเล็กน้อย (dolus directus) เป็นความผิดในระดับที่ 2 ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับรายวัน ระบุว่าคณะทำงานที่แต่งตั้งขึ้นโดยพรรคประชาธิปัตย์ในห้องประชุมยุทธก
ารณ์ (war room) พอใจที่มียอดผู้เสียชีวิต “แค่” 35 ราย ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บประมาณ 200-‐500 ราย96 ตัวเลขนั้นสอดคล้องกับทั้งหลักฐานที่ระบุไว้ในคำร้องฉบับนี้และรายงานข้
อมูลภายในของรัฐบาลที่รั่วออกมาที่แกนนำนปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ได้เปิดเผยข้อมูลในรายงานฉบับนั้นต่อสื่อในวันที่ 19 เมษายน 2553 ที่ว่าทหารวางแผนจะดำเนินการปราบปรามเป็นเวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ตั้งยอดตัวเลขผู้สียชีวิตที่ยอมรับได้ไว้ที่ 500 ราย97 ในขณะที่คำให้การในเรื่องเดียวกันนี้ที่ผู้มีส่วนรู้เห็นในพรรคประชาธิปัตย์ใ
ห้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์มติชนนั้นไม่ได้มีเนื้อหาแสดงถึงความต้องการ
ที่จะฆ่าหรือทำร้ายผู้ประท้วงเลย และคำให้การนี้ไม่ได้กล่าวถึงการโจมตี, ความเข้าใจถึงผลที่จะตามมาจากการโจมตี และความเต็มใจที่จะเสี่ยงรับผลที่ตามมาหากจะทำให้การโจมตีนร้ำเร็จลุ
ล่วง ผู้บังคับบัญชาระดับกลางที่เป็นผู้ออกคำสั่งหรือเป็นผู้นำทหารในการปฎิบั
ติภารกิจอาจการให้เหตุผลที่คล้ายตลึงกันนี้
ต่อมาได้มีการยอมรับว่า กองกำลังรักษาความปลอดภัย ผู้ลงมือสังหารและกระทำการอื่นๆ ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม (เช่น เหนี่ยวไกปืน) ตลอดระยะเวลาที่มีการปราบปรามในปี 2553 กระทำการดังกล่าวโดยมีเจตนาที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรงหรื
ออย่างน้อยเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงชีวิตหรือเกียรติของบุคคลอื่น แม้ว่าการสรุปว่ากองทหารที่เกี่ยวข้องในการโจมตีกลุ่มพลเรือนที่เป็นผู้ชุ
มนุมรู้รายละเอียดทั้งหมดของการปฎิบัติการจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ทว่ากองทหารที่มีความเชี่ยวชาญที่ต้องฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น (เช่น พลซุ่มยิง)
136
นั้นน่าจะได้รับข้อมูลว่าจะมีการโจมตีและน่าจะได้รับการซักซ้อมทำความเ
ข้าใจรายละเอียดตร่าวๆ นี้ด้วย โดยสรุปแล้ว อย่างน้อยที่สุด ข้อเท็จจริงที่ว่ามีการปราบปรามการชุมนุมในเดือนพฤษภาคมที่กินเวลา 1 สัปดาห์เต็มและคำสั่งที่ให้มีการปฎิบัติภารกิจที่เหมือนกันของกองกำลังติ
ดอาวุธที่ประจำอยู่ในพื้นที่ต่างกันนั้นชี้ให้เห็นว่ากองกำลังที่มีส่วนเกี่ยวข้อ
งกับการปราบปรามนี้ปฎิบัติภารกิจด้วยการโจมตีที่แม่นยำและปฎิบัติในลั
กษณะที่ต้องให้ภารกิจลุล่วง ถือว่ามีเจตนาตรงเล็กน้อย (dolus directus) เป็นความผิดในระดับที่ 2
เมื่อพิจารณาข้อมูลโดยรวม มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องในการปราบปรามการชุมนุมของคน
เสื้อแดงที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในสายบังคับบัญชาแต่ละระดับของหน่วยงานทห
ารและพลเรือนได้กระทำการปราบปรามโดยรับรู้ว่ามีการโจมตีพร้อมทั้งมี
เจตนาที่จะฆ่าและ/หรือก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกายที่ร้ายแรงหรือรับรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมียอดผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการโ
จมตีผู้ชุมนุม นับว่าเป็นความผิดที่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ฆ่าเพราะมีเจตนาร้าย (mens rea)
4.3 ความรับผ ิดทางอาญา
ตามเอกสารว่าด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของอาชญากรรม ตามหลักของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ผู้กระทำความผิดจะต้องรับผิดทางอาญา และจำเป็นต้องมีการกระทำที่ถูกห้ามภายใต้กฎหมายทั่วไปของกฎหมายร
ะหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ไดรับการยอมรับทั่วโลก
ความรับผิดชอบทางอาญาของบุคคล
มาตรา 25(3) ธรรมนูญกรุงโรมกำหนดหลักการทั่วไปของความรับผิดชอบทางอาญาของบุคคล, แยกแตกต่างระหว่างแบบต่างๆของความรับผิดชอบแต่ละ
ตามธรรมนูญนี้ให้ผู้ต้องอาญาและรับผิดชอบกับการลงโทษส
137
ำหรับการกระทำความผิดทางอาญาภายในเขตอำนาจของศาลถ้าบุคคลนั้น:
(ก) กระทำความผิดทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคล, ร่วมกับผู้อื่น หรือผ่านทางบุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าบุคคลนั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อคดีอาญาหรือไม่ก็ตาม;
(ข) คำสั่ง, คำเวิงวอน หรือคำพูดโน้มน้าว ให้กระทำความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้นหรือมีความพยายามให้เกิดการกระทำดังกล่าว;
(ค) เพื่อจุดมุ่ฝหมายในการช่วยสนับสนุนการกระทำความผิดทางอาญา, การให้ความช่วยเหลือ, การยุยง, หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยในการกระทำความผิดทางอาญาหรือความพยายามในการกระทำความผิดทางอาญารวมถึงการให้แนวทางในการกระทำการดังกล่าว;
(ง) การกระทำอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดหรือพยายามก่อให้เกิดการกระทำความผิดทางอาญาโดยกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายเหมือนกัน การสนับสนุนดังกล่าวจะต้องมีความตั้งใจและมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้:
(i) ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดทางอาญาต่อไปเรื่อยๆ หรือมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำความผิดทางอาญาของกลุ่มคน ซึ่งการกระทำดังกล่าวหรือวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวอยู่ภายในเขตอำนาจของศาลนั้น;หรือ
(ii) ทำโดยรับรู้ถึงความเจตนาของกลุ่มเพื่อการกระทำความผิดทางอาญา;
(จ) ในส่วนที่เกี่ยวกับอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปลุกระดมทั้งทางตรงและทางสาธารณชนให้ผู้อื่นกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์;
138
(ฉ) การพยายามที่จะกระทำความผิดทางอาญาโดยการดำเนินการที่ต้องใช้ขั้นตอนมากมายแต่อาชญากรรมนั้นไม่เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์ขัดต่อความตั้งใจของบุคคลนั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ละทิ้งความพยายามที่จะกระทำความผิดทางอาญาหรือมีปัจจัยที่ทำให้การกระทำความผิดนั้นไม่สำเร็จและไม่ต้องรับโทษจากการกระทำความผิดตามธรรมนูญนี้ สำหรับความพยายามในการกระทำความผิดทางอาญาและยุคคลนั้นได้ล้มเลิกความตั้งใจในการกระทำความผิดทางอาญาอย่างเต็มใจและโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าในขั้นนี้ศาลอาญาระหว่างประเทศ ไม่มีความจำเป็นต้องระบุชื่อของผู้กระทำผิดแต่ละราย หลักฐานที่แนบในคำร้องนี้มีความสัมพันธ์กับการตีความของสภารับพิจา
รณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 25(3)(a) แห่งธรรมนูญโรม
ประเด็นแรกที่กล่าวถึงในบทนี้คือความรับผิดส่วนบุคคลตามหลักการภาย
ใต้กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ ประเด็นที่สองคือ การสมรู้ร่วมคิดกระทำอาชญากรรมตามมาตรา (25)(3)(a) แห่งธรรมนูญโรม ผู้สมรู้ร่วมคิด “ร่วมกันตระเตรียมการ” ย่อมมีความรับผิดส่วนบุคคล ในกรณีของคดี Lubanga สภารับพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศได้กล่าวถึง การแยกความแตกต่างระหว่างหลักการที่สำคัญ ตามที่กล่าวไว้ในมาตรา (25)(3)(a) ของธรรมนูญแห่งโรม และบทบัญญัติย่อย ว่าบุคคลสามารถควบคุมอาชญากรรมได้ ในคดี Lubanga ระบุว่าการกระผิดร่วมมีความเกี่ยวพันกับองค์ประกอบทางวัตถุวิสัยสองข้
อและจิตวิสัยสามข้อ
ในคดี Benba สภารับพิจารณาคดีได้กล่าวถึงองค์ประกอบภายนอกสองประการ (1) ผู้ต้องสงสัยจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนการหรือข้อตกลงทั่วไปกับอีกบุค
คลหนึ่งหรือมากกว่านั้น และ (2)
139
ผู้ต้องสงสัยและผู้ร่วมกระทำความผิดอื่นจะต้องปฏิบัติการส่วนสำคัญในลั
กษณะที่เป็นการกระทำร่วมกัน ซึ่งส่งผลทำให้องค์ประกอบของอาชญากรรมนั้นสมบูรณ์
ส่วนกรณีขององค์ประกอบภายใน จะต้องมีองค์ประกอบร่วมสามประการ โดนเฉพาะ ผู้ต้องสงสัยจะต้อง (ก) จะต้องกระทำครบองค์ประกอบของอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา ซึ่งประกอบด้วย เจตนาและความรับรู้ ตามที่บัญญัติในมาตรา 30 ของธรรมนูญ (b) รับรู้และยอมรับว่าแผนการทั่วไปส่งผลทำให้องค์ประกอบภายนอกของอา
ชญากรรมสมบูรณ์ (ค) รับรู้ว่าข้อเท็จจริงของสถานการณ์ส่งผลทำให้บุคคลนั้นควบคุมการกระท
ำอาชญากรรมร่วมกับบุคคลอื่น หลักฐานที่แนบมากับคำร้องฉบับนี้ครบตามองค์ประกอบหลักฐานที่สันนิษ
ฐานว่าเป็นจริงจนกว่าจะมีการหักล้าง (prima facie)
ประเด็นที่สามภายใต้มาตรา 25 (23)(a) บัญญัติว่าเรื่องวีธีการกระทำ ในกรณีนี้ หลักการ (วิธีการของผู้กระทำ)ใช้บุคคลอื่นสังหาร (ผู้กระทำโดยตรง) เป็นเครื่องมือในการกระทำอาชญากรรม
สภารับพิจารณาคดีในคดี Lubanga อธิบายถึงหลักการของวิธีการกระทำความเพื่อทำให้การแยกระหว่างควา
มรับผิดหลักและการรับผิดย่อยมีความชัดเจนขึ้นภายใจเนื้อหาการกระทำ
อาชญากรรมร่วมและการกระทำอาชญากรรมหลายระดับ ในคดี Katanga และ Chui สภาตัดสินว่าลักษณะของการกระทำดังกล่าวมีความเกี่ยวเนื่องกัน เมื่อมี “ผู้กระทำการอยู่เบื้องหลังผู้กระทำการ” มีการกระทำอาชญากรรมระหว่างประเทศโดยบุคคลอื่นภายใต้ “การสั่งการ” ผ่านทางสายบังคับบัญชา สภารับพิจารณาคดีระบุว่าในคดี Lubanga, Katanga และ Chui ประกอบด้วยองค์ประกอบสี่ประการซึ่งทำให้เห็นถึงรูปแบบการกระทำควา
140
มผิด ซึ่งจะกล่าวถงในบทข้างล่าง ในการตัดสินพิจารณาคดี Katanga และ Chui สภาระบุเพิ่มในเรื่องคุณสมบัติของการกระทำโดยอ้อม รวมถึงระบบโครงสร้างสายบังคับบัญชา ซึ่งมีการกระทำโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งทำให้การกระทำโดยทางอ้อมมีความผิดทางอาญา
ประการแรก องค์กรจะต้องมีความสัมพันธ์แบบสายบังคับบัญชาระหว่างผู้บังคัญบัญช
าและผู้ใต้บังคับบัญชา องค์กรจะตอ้งประกอบไปด้วยจำนวนผู้ใต้บังคัญบัญชาที่พอเพียงแก่การท
ำให้คำสั่งของผู้บังคับบัญชานั้นปรรลุผล ต้องมีการกระทำตามคำสั่งโดยผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่การันตีว่าคำสั่งที่ออกโดยผู้บังคับบัญชานั้นจะมีผู้บังคับบัญชา
ปฏิบัติตาม นอกจากนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาใดที่ไม่กระทำตามคำสั่งจะถูกแทนที่ด้วยบุคค
ลที่จะทำตามอาชญากรรมโดยอัตโนมัต องค์ประกอบอื่นที่สภาย้ำคือ ในคดี Lubanga ผู้บัญชาการหรือผู้นำเป็นคนใช้อำนาจและมีอำนาจเหนือสายบังคับบัญชา และอำนาจหรือการควบคุมของบุคลลนั้นเป็นที่ชัดแจ้งต่อผู้ใต้บังคับบัญช
าที่จะทำตามคำสั่ง วิธีการควบคุมอาจรวมถึงความสามารถที่จะจ้าง ฝึก ตั้งกฎระเบียบและจัดหาทรัพยากรให้ผู้ใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้ ผู้นำจะต้องมีต่อสายบังคับบัญชาในการกระทำอาชกรรม ซึ่งหมายถึงบุคคลนั้นคือผู้กระทำที่อยู่เบื้องหลังผู้กระทำนั้น สามารถเคลื่อนย้ายจัดวางอำนาจภายในองค์กรเพื่อให้มีการกระทำตาม
คำสั่ง และคำสั่งนั้นรวมถึงการกระทำที่ถือเป็นอาชญากรรมภายใต้อำนาจการพิ
จารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ
141
ตามคำให้การของพยานในคำร้องฉบับนี้ คดีดังกล่าวจึงมีองค์ประกอบครบถ้วนตามที่ผู้พิพากษาศาลอาญาระหว่า
งประเทศระบุ
การรับผิดชอบของผู ้บ ังค ับบ ัญชา
นอกเหนือจากความรับผิดชอบทางอาญาของบุคคล คำอธิบายนี้เป็นความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา "ความรับผิดชอบผู้บังคับบัญชา" การลงโทษฐานละเลยที่จะกระทำการใดๆ ในฐานะที่เป็นผู ้บ ังค ับบ ัญชาอาจจะต้องรับผิดชอบทางอาญาภายใต้กฎเกณฑ์ที่แม้จะมีการรับรู้การกระทำความผิดทางอาญาของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ล้มเหลวในการปฏิบัติตามหน้าที่ในฐ่านะที่เป็นผู้บังคับบัญชาในการป้องกันและลงโทษการกระทำความผิดดังกล่าว การขาดการเอาใจใส่ดูแลเป็นผลให้ต้องรับผิดชอบการกระทำความผิดทางอาญาโดยตรง และหากเป็นการกระทำความผิดทางอาญาของผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดทางอ้อม
"ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา" อยู่ในมาตราที่ 28 ของธรรมนูญกรุงโรม
นอกเหนือจาก ความรับผิดชอยด้านอื่นๆ ของการกระทำความผิดทางอาญาภายใต้ธรรมนูญนี้ สำหรับการกระทำความผิดทางอาญาภายในเขตอำนาจของศาล:
(ก) ผู้บัญชาการทหารหรือบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดทางอาญาภายในเขตอำนาจของศาลที่กระทำโดยกองกำลังภายใต้คำสั่งและการควบคุมของบุคคลนั้น เขาหรือเธอล้มเหลวในการใช้อำนาจในการบังคับ; ในกรณีที่
142
(i) ผู้บัญชาการทหารหรือผู้ที่รู้เห็นหรืออยู่ในสถานการณ์ในขณะนั้นควรจะรู้ว่ากองกำลังได้กำลังกระทำความผืดทางอาญาหรือกำลังจะกระทำความผิดทางอาญาดังกล่าวและ
(ii) ผู้บัญชาการทหารหรือบุคคลล้มเหลวในการใช้มาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมภายในอำนาจของเขาหรือเธอ ล้มเหลวในการป้องกันหรือระงับการกระทำ หรือส่งเรื่องไปยังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการสืบสวนและการฟ้องคดี
(ข) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ได้ระบุไว้ในวรรคคือ (ก) ผู้บังคับบัญชาจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำความผิดทางอาญาภายในเขตอำนาจของศาลที่กระทำโดยผู้ใต้บังคับบัญชา ภายใต้อำนาจและการควบคุมที่เด็ดขาดของเขาหรือเธอ การควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาหรือเธอล้มเหลว, เมื่อ:
(1) ผู้บังคับบัญชารับรู้หรือไม่เช่นนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ข้อมูลที่ได้รับการแจ้งอย่างชัดเจนว่าผู้ใต้บังคับบัญชาได้กระทำความผิดหรื่อกำลังจะกระทำผิดทางอาญา
(2) ความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการกระทำที่เคยทำภายความรับผิดชอบและการควบคุมของผู้บังคับบัญชา; และ
(3) ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถใช้มาตรการที่จำเป็นและเหมาะสมภายในอำนาจของตนเพื่อป้องกันหรือระงับการกระทำหรือรส่งเรื่องต่อไปให้ยังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการสืบสวนและการฟ้องคดี
มาตราที่ 28 ของธรรมนูญกรุงโรมร่างขึ้นมาเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างผู้บังคับบัญชาและความสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ เช่น ทหาร หรือ ทหาร เช่น
143
ผู้บังคับบัญชา และพลเรือนที่ได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย
การเท ียบเคียงกับกรณีของไทย
แม้จะไม่มีข้อกำหนดให้ผู้ร้องต้องระบุรายชื่อของกลุ่มผู้กระทำผิดหรือบุค
คลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอันระบุในคำร้องนี้ในขั้นตอนการยื่นเ
อกสาร แต่ถือเป็นเรื่องอันเหมาะสมที่จะสรุปความรับผิดทางอาญาของกลุ่มผู้นำ
พลเรือนและนายทหารระดับสูงในรัฐบาลไทย การที่กองทัพไทยใช้กำลังทำร้ายพลเรือนตามสั่งการของศูนย์อำนวยการ
แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยอำนาจของพระราชกำหนดบริหารราชการใน
สถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ มีอำนาจสั่งการและควบคุมการปฏิบัติการตอบโต้การชุมนุมของคนเสื้อแ
ดง และนี่คอืรายชื่อเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งสำคัญใ
นรัฐบาล และส่วนใหญ่เป็นสมาชิกระดับสูงของศอฉ. และมีส่วนร่วมในการร่างแผนการที่ก่อให้เกิดการกระทำอาชญากรรมตา
มที่ระบุไว้ในคำร้อง:
ก.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ข.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์ อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
144
ค. พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้บัญชาการสถานการณ์ฉุกเฉิน
ง. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตรองผู้อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ)
จ. พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉินในปัจจุบัน (ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับบัญชาทหารบกในช่วงสลายการชุมนุม)
ฉ. พลเอกกิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ช. พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ซ. พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ ผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ และผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ฌ. พลอากาศเอกอิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ญ. พลตำรวจเอกประทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในระหว่า
งการสลายชุมนุม
145
ฎ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ผู้อำนวยการกรมสอบสวนคดีพิเศษ และสมาชิกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ฏ. พลเอกวิทย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกในระหว่างการสลายการชุมนุม และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก
ฐ. พลเอกธีระวัฒน์ บุญยะประดับ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกในระหว่างการสลายการชุมนุม และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก
ฑ. พลเอกดาวว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบกในระหว่างการสลายการชุมนุม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก
5. เขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ
ในกรณีของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ศาลอาญาระหว่างประเทศทำงาน “คู่ขนาน”ไปกับกระบวนการยุติธรรมของแต่ละประเทศซึ่งทีหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัย เหตุผลเบื้องหลังคือ เมื่อใดก็ตามที่กระบวนการยุติธรมของประเทศล้มเหลว ศาลอาญาระหว่างประเทศอาจจะเข้ามาช่วยเหลือเหมือนเป็น “ที่พึ่งพาสุดท้าย” บทนี้กล่าวถึงประเด็นสองประเด็นที่อาจทำให้คดีตกอยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ 1)การร้องทุกข์โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ; และ 2)เขตอำนาจเหนือบุคคล (jurisdiction ratione personae) การร้องขอเริ่มการสอบสวนโดยรัฐที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 14 นั้นไม่ได้ระบุในคำร้องฉบับนี้
146
เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ลงนามและให้สัตยาบันต่อบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ
5.1 การร ้องท ุกข ์โดยคณะมนตรีความมั ่นคงแห่งสหประชาชาติ
กลไกในการเรียกเขตอำนาจศาลกลไกแรกในการยื่นคำร้องเฉพาะหน้านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความเป็นไปได้ที่คณะมนตรีความมันคงร้องทุกข์ให้จัดการตามมาตราที่ 13(ข) บทบัญญัตินี้อนุญาตให้ศาล ใช้เขตอำนาจของตนตามความในมาตรา 5 ในกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงทำหน้าที่ภายใต้ของกฎบัตรของสหประชาชาติ บททึ่ 7 ยื่นคำร้องต่ออัยการศาลอาญาในกรณีที่มีการก่ออาชญากรรม
ตามมาตราที่ 2 ว่าด้วยข้อตกลงแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสหประชาชาติและศาลอาญาระหว่างประเทศว่าความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันอาจทำได้เฉพาะบนพื้นฐานของการเคารพหลักเกณฑ์ของการทำงานของทั้งสององค์กร มาตราที่ 17 ว่าด้วยข้อตกลงแห่งความสัมพันธ์ให้ความร่วมมือในกรณีที่มีการร้องทุกข์โดยคณะมนตรีความมั่นคง
สิทธิของคณะมนตรีความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับธรรมนูญของศาลอาญาระหว่างประเทศ
มาตราที่ 53 (1), (3) และ (4) ธรรมนูญของศาลอาญาระหว่างประเทศและกฎของขั้นตอนและหลักฐานเพิ่มเติมกำหนดสิทธิของคณะมนตรีความมั่นคง ข้อ 104-‐110 ในการเข้าถึงศาล ซึ่งรวมถึงสิทธิ์ของคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อขอให้อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศเริ่มต้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงในสถานการณ์นั้นๆ103 นอกจากนี้ยังเป็นไปได้สำหรับคณะมนตรีความมั่นคงในการส่งผ่านข้อมูลในการยื่นคำร้องให้สำนักงานอัยการ104 เมื่ออัยการศาลคำร้องไปดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นคณะมนตรีความมั่นคงมีสิทธิที่จะรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นในการยื่นคำร้อง105
147
คณะมนตรีความมั่นคงมีสิทธิที่จะได้รับคำตัดสินใจจากสำนักงานอัยการในการยื่นส่งคำร้อง106
เมื่อสำนักงานอัยการได้ตัดสินใจที่จะไม่เริ่มต้นการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น (กฏข้อที่ 105 (1) ของ RPE) 107 หรือมีการตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินคดี (กฎข้อที่ 106 (1) ของ RPE) คณะมนตรีความมั่นคงมีสิทธิในการได้รับแจ้ง นอกจากนี้คณะมนตรีความมั่นคงอาจจะขอให้องค์คณะพิจารณาคดีทบทวนการการตัดสินใจไม่หาข้อเท็จจริงในเบื้องต้นของการดำเนินคดี (กฎข้อที่ 107 (4) RPE) 108 นอกจากนี้คณะมนตรีความมั่นคงจะต้องได้รับการแจ้งการตัดสินใจขององค์คณะพิจารณาคดีที่มีต่อคำ ร้องขอให้ตรวจสอบ (กฎข้อ 109 (2) RPE) 109 คณะมนตรีความมั่นคงอาจจะขอองค์คณะอุทธรณ์ เพื่อกลับคำตัดสินใจขององค์คณะพิจารณาคดีที่ไม่ให้มีการขอฟ้องเพื่อพิจารณาการตัดสินใจที่จะปฏิเสธคำขอทั้หมดหรือบางส่วนอีกครั้ง10 และมี สิทธิในการได้รับแจ้งการตัดสินใจขององค์คณะการอุทธรณ์111 คณะมนตรีความมั่นคงได้รับอนุญาตให้ส่งคำขอใหม่เพื่อการฟ้องเกี่ยวกับสถานการณ์เดียวกันแต่เป็นข้อเท็จจริงหรือข้อมูลใหม่
ขอบเขตของสิทธิในการเข้าถึงศาลของคณะมนตรีความมั่นคงสะท้อนให้เห็นถึงสถานะเที่ป็นผู้ร้องหรือบุคคลที่ร้องขอในขั้นตอนการเรียกเขตอำนาจศาล กลไกนี้ยังควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า "เนื้อหาสาระเรื่องที่ร้องขอและขอบเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น [ถูก] จำกัดให้อยู่ในคดีอาชญากรรมที่มีแนวโน้มที่จะทำลายสันติภาพและความมั่นคงนานาชาติ”112
ข้อกำหนด
ในการร้องทุกข์โดยคณะมนตรีความมั่นคง ธรรมนูญของศาลอาญาระหว่างประเทศและธรรมนูญดำเนินการฟ้องร้องและพยานหลักฐาน (RPE) กำหนดว่าต้องผ่านเกณฑ์ข้อกำหนด 2 ข้อเสียก่อน ข้อแรก ตามธรรมนูญดำเนินการฟ้องร้องและพยานหลักฐาน ข้อที่ 45 กำหนดว่าให้ยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษร113 ข้อที่สอง ตามมาตราที่ 13(ข) ธรรมนูญกรุงโรมกำหนดไว้ว่าการร้องทุข์ต้องขึ้นอยู่กับมติคณะมนตรีความมั่นคงภายใต้บทที่ VII ของกฎบัตรสหประชาชาติ
148
นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงที่สำคัญที่ต้องเข้าเกณฑ์ อีก 2 ข้อ ข้อแรก แม้ธรรมนูญกรุงโรมจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนแต่การร้องทุกข์ให้ต้องมีการตระเตรียมล่วงหน้าในเรื่องข้อจำกัดส่วนตัว, ดินแดน, และสถานการณ์ที่ร้องทุกข์ ต่อมา การยื่นร้องทุกข์โดยคณะมนตรีความมั่นคงจะต้องมีเหตุผลในการ ยื่นขอคำร้อง ได้แก่ สิ่งที่จำเป็นในการยืนยันการยื่นร้องทุกข์ที่ต้องมีก่อนในเรื่องที่เกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะหน้า114 ทั้งธรรมนูญกรุงโรมและ RPE ไม่มีบทบัญญัติสำหรับข้อกำหนดอย่างเป็นทางการและข้อกำหนดหลักต่อการตัดสินใจของอัยการศาลในการยืนยันการร้องทุกข์ของคณะมนตรีความมั่นคง
บรรทัดฐาน
สำหรับกรณีนี้ ตรวจสอบแนวบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2547 คณะมนตรีความมั่นคงมีมติเห็นชอบ 1564 เกี่ยวกับสถานการณ์ในดาร์ฟูร์ ประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันตกซูดาน ในการแก้ปัญหา คณะมนตรีความมั่นคงขอให้คณะกรรมการระหว่างประเทศของสอบถามรายละเอียดการตรวจสอบรายงานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนในดาร์ฟูร์."นอกจากนี้คณะมนตรีความมั่นคงขอให้คณะกรรมการตรวจสอบว่าการกระทำที่เป็นการสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่และระบุตัวผู้กระทำความผิดดังกล่าว
ในรายงานเดือนมกราคม 2548 คณะกรรมาธิการสอบสวนสากล (International Commission of Inquiry) ได้ร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงยื่นคำร้องต่อศาลอาญาภายในประเทศในกรณีของสถานการณ์ในดาร์ฟูร์ คณะกรรมการให้มีหลักคุณธรรม 6 ประการ คณะกรรมการได้แย้งว่า : "[...] มีการตั้งศาลเพราะมีอาชญากรรมที่คุกคามสันติภาพและความมั่นคง" นี่คือ "เหตุผลหลักว่าทำไมคณะมนตรีความมั่นคงอาจทำให้มีเขตอำนาจศาลตามมาตราที่ 13 (ข) ธรรมนูญต่อมา คณะมนตรีความมั่นคงมีมติ 1593 ที่อ้างถึงสถานการณ์ในศาล”
เท ียบเคียงกับคดีในปัจจ ุบ ัน
149
ประเทศไทยได้เข้าเป็นรัฐสมาชิกของสหประชาชาติตั้งแต่ปี 2489 ดังนั้นคณะมนตรีความมั่นคงทำหน้าที่ภายใต้บทที่ 7ของกฎบัตรสหประชาชาติเป็นผู้มีอำนาจแท้จริงที่จะนำมติที่อ้างถึงกรณีของประเทศไทยเต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ
สมัชชาสหประชาชาติอาจหารือเกี่ยวกับข้อสงสัยประการใดก็ตามที่เกี่ยวกับการรักษาสันติภาพและความมั่นคงนานาชาติก่อนที่เสนอโดยสมาชิกสหประชาชาติหรือโดยคณะมนตรีความมั่นคงหรือโดยรัฐที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ตามมาตราที่ 35 วรรค 2 ของกฎบัตรของสหประชาชาตินอกจากนี้สมัชชาอาจเสนอแนะต่อคณะมนตรีความมั่นคงเกี่ยวกับข้อคำถามดังกล่าว
นอกจากนี้ยังอาจจะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงเข้าไปดูแลสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสันติภาพและความมั่นคงนานาชาติ ในขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงดำเนินการที่เกี่ยวกับข้อพิพาทหรือสถานการณ์ใดๆ ตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎบัตร, สมัชชาจะต้องไม่ให้คำแนะนำใด ๆ เกี่ยวกับข้อพิพาทหรือสถานการณ์ที่ยกเว้นกรณีที่คณะมนตรีความมั่นคงร้องขอ
สมัชชาประกอบด้วยคณะกรรมการและคณะทำงานหลายชุดที่รายงานเรื่องราวต่างๆ ต่อสมัชชา อาจเป็นไปได้สำหรับประเทศสมาชิกหรือเอ็นจีโอที่จะส่งปัญหาไปยังคณะกรรมการและกคณะทำงานเหล่านี้โดยหวังให้ประเด็นปัญหานั้นถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันในการประชุมสามัญของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีของประเทศไทย สถานการณ์นี้สามารถนำเข้าไปในเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยการส่งคำร้องไปยังสมัชชา ซึ่งอาจจะส่งต่อไปให้คณะมนตรีความมั่นคง ด้วยเหตุนี้สำนักงานอัยการสามารถส่งต่อคำร้องนี้ไปที่คณะกรรมการชุดที่หนึ่งหรือชุดที่สามของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
ในทางกลับกันนี้ (ที่หวังไว้) กลไกในการเรียกเขตอำนาจศาลสร้างฐานกฎหมายให้แก่อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศในการตรวขสอบข้อเท็จจริงต่อประเทศที่ไม่ใช่รัฐภาคี เพื่อร้องขอมติจากคณะมนตรีความมั่นคงให้ช่วยอ้างถึงสถานการณ์ให้กับประเทศไทยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามมาตราที่ 53 ของธรรมนูญกรุงโรม
150
ให้มีหลักเกณฑ์ที่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ดังคำว่า "ภายในเขตอำนาจของศาล" ไม่ได้ละเว้นความเป็นไปได้ที่อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ อาจจะลงมือตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อการเตรียมการสำหรับการร้องทุกข์ให้โดยคณะมนตรีความมั่นคง
5.2 เขตอำนาจเหนือบ ุคคล
กลไกในการเรียกเขตอำนาจศาลที่สองที่กล่าวไว้ในคำร้องนี้จะขึ้นอยู่กับเขตอำนาจส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจในการดำเนินคดีกับคนชาติอื่นของรัฐที่ไม่ใช่รัฐภาคี (เช่น ประเทศไทย) ได้เฉพาะในกรณีที่ของรัฐนั้นๆ ยอมรับเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ บนพื้นฐานแบบเฉพาะกิจหรือตามคำวินิจฉัยของคณะมนตรีความมั่นคง แฟ่งสหประชาชาติ ศาลอาญาระหว่างประเทศใช้อำนาจศาลกับคนของรัฐภาคีผู้ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมโดยไม่คำนึงว่าจะก่ออาชญกรรมนั้นที่ใด ตามมาตราที่ 12 (2) (ข) ธรรมนูญกรุงโรม
ดังเช่นในกรณีของประเทศเคนยา นอกเหนือจากเงื่อนไขของเขตอำนาจศาลตามเหตุผลเนื่องจากมูลกรณี (ratione materiae) และเขตอำนาจศาลดวยเหตุผลเรื่องเวลา (ratione temporis) คณะอุทรณ์ของศาลอาญาระหว่างประเทศ วินิจฉัยว่าสำหรับอาชญากรรมให้อยู่ภายในเขตอำนาจของศาลนั้นก็จะต้องเข้าเกณฑ์หนึ่งในสองข้อ ที่ระบุไว้ในมาตราที่ 12 ของธรรมนูญ (ratione loci หรือ ratione personae ) เขตอำนาจศาลตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคล (ratione loci) ใช้ในสถานการณ์ที่อาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นในดินแดนของรัฐภาคีที่ได้ประกาศสัตยาบันตามมาตราที่ 12 (3) ของธรรมนูญ ส่วน (ratione personae ) ใช้ในสถานการณ์ที่อาชญากรรมก่อขึ้นโดยคนในชาติของรัฐภาคีใดๆ ที่ได้ลงนามและให้สัตยาบัน
สถานการณ์ในอดีต
ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่เคยมีการใช้อำนาจศาลตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคลที่เป็นคนของรัฐภาคี (ratione personae) แต่ใช้เขตอำนาจบนหลักการที่ว่าอาชญกรรมได้ก่อขึ้นในเขตแดนของรัฐภ
151
าคีหรือจากการร้องขอโดยคณะมนตรีความมั่นคง อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับอิรัก อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศระบุว่า รายงานปี 2549 ที่ได้มีคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องเชื่อชาติที่เป็นคนสหราชอาณาจัก แต่ปก่ออาชญากรรมในดินแดนของประเทศอิรัก ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐภาคีตามธรรมนูญกรุงโรม ในกรณีของประเทศเคนย่า อย่างไรก็ตามองค์คณะอุทธรณ์ได้ทำบันทึกในเรื่องของอำนาจศาลตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคล (ratione personae) “ถ้าข้อตกลงด้านดินแดนไม่เข้าเกณฑ์ องค์คณะยังคงมีข้อผูกพันภายใต้อำนาจในมาตราที่ 53 (l)(ก) ของธรรมนูญ ในการตรวจสอบอำนาจศาลตามเหตุผลบุคคล แม้ว่าจะจำกัดอยู่เพียงให้ตรวจสอบดูว่าผู้กระทำความผิดเป็นคนของรัฐภาคีหรือไม่เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าสามารถเปิดการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงได"้
กฏการคุ ้มก ันจากการรับโทษ
ธรรมนูญกรุงโรมตัดการคุ้มกันความผิดทางอาญาใดๆ ที่จะจัดสรรให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกไป มาตรา 27 ให้เป็นจุดสำคัญของธรรมนูญกรุงโรมเกี่ยวกับการคุ้มกันต่อหน้าศาล,ระยุว่า:
(1) ธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับแก่บุคคลอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่ให้มีความแตกต่างขึ้นอยู่กับหน้าที่ทางราชการใด ๆ โดยเฉพาะหน้าที่ทางราชการในฐานะ ผู ้นำประเทศ หรือผู ้นำร ัฐบาล สมาชิกของรัฐบาลหรือรัฐสภา ผู้แทนที่ได้รับเลือกหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาลจะต้องไม่ได้รับการยกเว้นบุคคลนั้นจากความรับผิดชอบทางอาญาไม่ว่าในกรณีใดๆตามธรรมนูญนี้และไม่มีการลดหย่อนในการตัดสินโทษ
(2) การคุ้มกันหรือกฎระเบียบขั้นตอนพิเศษที่อาจจะมีมาพร้อมกับหน้าที่ทางราชการของบุคคล ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้กฎหมายประตำชาติหรือนานาชาติก็ดี จะต้องไม่ขัดขวางการใช้อำนาจของศาลที่มีต่อบุคคลนั้น
152
มาตรา 27 ของธรรมนูญกรุงโรมมีความสมบูรณ์ชัดเจนว่าการดำเนินงานของธรรมนูญกำจัดการคุ้มกันทั้งหมดที่บุคคลใด ๆ อาจเรียกร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ตามมาตราที่ 27 ศาลอาญาระหว่างประเทศใช้อำนาจตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคล (ratione personae ) ที่เป็นคนชาติของรัฐภาคีโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งของพวกเขา -‐-‐ รวมทั้งผู้นำประเทศและผู้นำรัฐบาล
เท ียบเคียงคดีในเหตุการณ์ป ัจจ ุบ ัน
อย่างน้อยที่สุด อ้างถึงบุคลคนหนึ่งที่กล่าวถึงในคำร้องนี้ว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ศาลอาญาระหว่างประเทศอาจถือเขตอำนาจเหนือสถานการณ์ของประเทศไทยขึ้นอยู่กับเขตอำนาจศาลพิจารณาตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือสัญชาติของสหราชอาณาจักร เพราะสหราชอาณาจักรได้ให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม ศาลอาญาระหว่างประเทศ จะมี (ratione personae) เขตอำนาจเพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคลกับนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามมาตราที่ 12 (2) (ข) นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เกิดที่ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2507 ภายใต้กฎหมายของสหราชอาณาจักร บุคคลที่เกิดในสหราชอาณาจักรก่อนปี พ.ศ. 2526 “จะถือเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรและประเทศอาณานิคมโดยกำเนิด” นอกจากจะเป็นบุตรของทูตหรือศัตรูต่างชาติ การถือสัญชาติกระทำได้ทันทีและเป็นกรรมสิทธิ์ถาวร ไม่ว่าจะมีสถานะพำนักอยู่ในประเทศสถานะใดก็ตาม นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์จึงถือเป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรในระหว่างที่อาชญากรรมต้องสงสัยเกิดขึ้น นอกเสียจากว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้สละสัญชาติอย่างเป็นทางการ โดยการประกาศ “สละสิทธิ์การพลเมืองของสหราชอาณาจักรและประเทศอาณานิคม” ผู้ร้องทราบและเชื่อว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไม่เคยประกาศสละสัญชาติ ดังนั้น
153
แน่นอนว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เป็นพลเมืองของประเทศสหราชอาณาจักร
5.3 สรุป
จากข้อความด้านบน ทำให้สามารถสรุปได้ว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศ มีอำนาจศาลต่อกรณีดังกล่าวในสองลักษณะ ลักษณะแรก อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศอาจเปิดการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นในการเตรียมเพื่อการร้องทุกข์ตามเขตอำนาจศาล โดย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามมาตราที่ 13(ข) ของบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ ลักษณะที่สอง เนื่องจากสหราชอาณาจักรเป็นรัฐภาคีที่ให้สัตยาบันต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ดังนั้นภายในอำนาจของเจ้าหน้าที่ศาล (แม้ว่าจะไม่มีมติคณะมนตรีความมั่นคง) ในการถือสิทธิ์ของอำนาจศาลตามเหตุผลเนื่องจากตัวบุคคล (ratione personae) ต่อนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยอ้างจากการที่นายอภิสิทธิ์ถือสัญชาติอังกฤษ
6. การรับพิจารณาคดีตามบทบัญญัต ิมาตรา
17 ธรรมนูญแห่งกร ุงโรม
ประเด็นที่ว่าด้วยการรับพิจารณาคดีนั้นเกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่าคดีที่ศาล
อาญาระหว่างประเทศที่มีอำนาจพิจารณานั้นสมควรที่จะมีการดำเนินคดีใ
นศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ กระบวนการรับพิจารณาคดีนั้นปรับใช้กับทุกคดีที่ขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่าง
ประเทศ แม้ว่าคดีดังกล่าวจะเป็นผลจากการอ้างอิงโดยคณะกรรมการความมั่นคง
ก็ตาม สภาพิจารณารับคดีได้ตั้งข้อกำหนดการรับพิจารณาคดีว่า มาตรา 53 (1)(b) ของข้อบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศต้องตีความตามบริบทของบทบั
ญญัติ ดังนั้นการพิจารณาเรื่องการรับพิจารณาคดีตามหลักมาตรา 53 (1) นั้นควรที่จะมีความเกี่ยวข้องกันขอ“เหตุการณ์”(แทนที่จะอ้างถึงคดีความทั้งหมด)
154
การตัดสินรับพิจารณาคดี จะต้องมีองค์ประกอบทั้ง 2 ประการครบถ้วน
1.ข้อกำหนดเรื่องความร้ายแรงแห่งเหตุการณ์
2.ต้องมีการพิจารณาว่าระบบตุลาการในประเทศดังกล่าวนั้น “หยุดนิ่ง” หรือ “ไม่เต็มใจหรือไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินคดี” นี่คือประเด็นของ “หลักการที่ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณา เมื่อรัฐล้มเหลวที่จะกระทำการดังกล่าว” ที่กล่าวไว้ในบทนำของบทบัญญัติ
6.1 ความร้ายแรงแห่งคดี
ข้อกำหนดที่ว่าด้วยความร้ายแรงแห่งคดีนั้นได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๗ (๑)(d) ของบทบัญญัติแห่งกรุงโรม ในคดี Lubanga สภาพิจารณารับคดีกล่าวว่า ผู้ร่างคำร้องดังกล่าวได้คัดเลือกลักษณะอาชญากรรมอย่างระวังตามข้อก
ำหนดที่ว่าด้วยความร้ายแรงแห่งคดี
ตามข้อบัญญัติในมาตรา ๖-‐๘ ของบทบัญญัติ การคัดเลือกนั้นตั้งอยู่บทพื้นฐานของความร้ายแรงและเป็นการจำกัดโดย
ตรงของเขตศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยต้องเป็น “อาชญากรรมอันร้ายแรงที่ประชาคมโลกเป็นกังวล” เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ “” สภาพิจารณารับคดีระบุว่า จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบสี่ประการ:
1.การกระทำที่เป็นประเด็นหลักของคดีจะต้องเป็นการกระทำที่เป็นระบบ (รูปแบบของเหตุการณ์) หรือเป็นการกระทำที่ใหญ่โต
155
2.ลักษณะของการกระทำที่ผิดกฎหมายของอาชญากรรม (อาทิ การเกิดของอาชญากรรม)
3.ลักษณะของการกระทำ
4.ผลกระทบจากอาชญากรรมที่เหยื่อและครอบครัวได้รับ ในกรณีนี้ ตัวแทนของเหยื่อจะเป็นบุคคลสำคัญต่อการรับพิจารณาของสภา
สภาคณะได้เน้นย้ำว่าคดีอาญาทุกคดีที่มาถึงมือของอำนาจศาลอาญาระ
หว่างประเทศล้วนแต่มีความร้ายแรงทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงในเรื่องความสำคัญที่ไม่มากเพียงพอแสดงให้เห็นว่ามีการป้อ
งกันมิให้ศาลตรวจสอบข้อเท็จจริง, ฟ้องร้องดำเนินคดี และ เหตุการณ์รอบนอก
6.2 หลักศาลอาญาระหว ่างประเทศมีอำนาจพิจารณาคดี
เม ื ่อร ัฐล ้มเหลวในการดำเน ินการดังกล่าว
ประเด็นเรื่องความไม่เต็มใจเกิดขึ้นเมื่อรัฐเริ่มกระบวนการสอบสวนแต่ขา
ดการพิจารณาคดีอย่างถ่องแท้ และมีสิ่งที่ระบุว่ามีการ “พิจารณาคดีจอมปลอม” บทบัญญัติกำหนดให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาประเด็นดังกล่าว
ประกอบการพิจารณารับคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ
หลักการสำคัญของศาลอาญาระหว่างประเทศคือ ศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีอำนาจพิจารณาคดีเมื่อรัฐไม่เจ็มใจหรือล้
มเหลวจากการะกระทำการดังกล่าว ศาลอาญาระหว่างประเทศจะสังเกตการณ์ศาลภายในประเทศนั้นๆก่อน หมายความว่าศาลอาญาระหว่างประเทศคือ “ที่พึ่งพิงสุดท้าย” และจะเข้ามาดำเนินการตามมาตรา 17แห่งธรรมนูญกรุงโรมเมื่อไม่มีความเต็มหรือสามารถการสอบสวนหรือ
ดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างจริงจังได้
156
ในการสอบสวนสามกรณีแรกของอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้แก่ เหตุการณ์ในสาธารณรัฐคองโก สาธารณรัฐแอฟฟริกันกลาง และอูกานดา เกิดขึ้นโดยการร้องทุกข์จองรัฐดังกล่าวตามมาตรา 14
“หยุดนิ ่ง” หรือ “ไม ่เต ็มใจ”
ตามที่ องค์คณะอุทธรณ์ (Appeals Chambers) ในกรณี Katanga คำถามเบื้องต้นที่จะถามเมื่อพิจารณาว่าคดีเป็นคดีที่ไม่สามารถยอมรับได้ตามมาตราที่ 17(1)(ก) และ (ข) ของธรรมนูญมีดังต่อไปนี้
(1) มีการตรวจสอบหรือดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องหรือไม่;
(2) ได้มีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงในอดีตและเขตอำนาจศาลของรัฐได้ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ปัญหาของความไม่เต็มใจและความไม่สามารถเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีที่คำตอบของคำถามเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งคือ ใช่ หากรัฐหยุดนิ่ง คำถามถึงความไม่เต็มใจและ / หรือการไร้ความสามารถจะไม่เกิดขึ้น การตัดสินใจของรัฐที่จะไม่ตรวจสอบและ / หรือการดำเนินคดี จะทำให้คดีนี้เป็นคดีที่ยอมรับได้ต่อหน้าศาลตามมาตราที่ 17 (1)(ง) ของธรรมนูญ
ในขณะที่มาตรฐานที่ถูกต้องในการตรวจสอบได้ที่จัดทำโดยหลักกฎหมายของศาลอาญาระหว่างประเทศ มาตราที่ 17 ของธรรมนูญกรุงโรม ได้ให้คำนิยามที่ต้องทำความเข้าใจได้แก่คำว่า "ไม่เต็มใจ"และ "ไม่สามารถ" เพื่อดำเนินคดี
เกี่ยวกับคำนิยาม "ไม่เต็มใจ" ดำเนินคดี ตามมาตราที่ 17(2) ของธรรมนูญกรุงโรมให้:
เพื่อตรวจสอบความไม่เต็มใจในคดีนั้นๆ ศาลจะต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงหลักการของกระบวนการที่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายต่างประเทศ ให้เข้าเกณฑ์อย่างน้อยหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งข้อ:
(ก) ได้มีการดำเนินการหรือกำลังมีการดำเนินการหรือการตัดสินใจระดับชาติขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันผู้ที่เกี่ยวข้อ
157
งจากความรับผิดชอบทางอาญาสำหรับความผิดที่อยู่ภายในเขตอำนาจของศาลที่กล่าวถึงในมาตราที่ 5;
(ข) มคีวามล่าช้าที่ไม่สมเหตุสมผลในการดำเนินคดีในกรณีที่ไม่สอดคล้องกับเจตนาในการนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
(ค) ไม่ได้เคยมีหรือกำลังมีการดำเนินการอย่างเป็นอิสระหรือเที่ยงธรรม และได้มีหรือกำลังมีการดำเนินการในกรณีที่ไม่สอดคล้องกับเจตนาในการนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
เกี่ยวกับคำนิยาม "ไม่สามารถ" ดำเนินคดี ตามมาตราที่ 17 (3) ของธรรมนูญกรุงโรมให้:
เพื่อตรวจสอบการไร้ความสามารถในคดีนั้นๆ ศาลจะต้องพิจารณาว่า การยกเลิกหรือความไม่พร้อมของระบบตุลาการของชาติ ทำให้รัฐไม่สามารถให้ได้ข้อกล่าวหาหรือหลักฐานที่จำเป็นและพยานหลักฐานหรือไม่สามารถดำเนินการอย่างอื่นได้.
หากศาลอาญาระหว่างประเทศพบว่ากรณีใด ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นเหล่านี้เข้าเกณฑ์ที่กำหนด ก็อาจประกาศให้คดีดังกล่าวเป็นที่จะยอมรับได้และดำเนินการในคดีดังกล่าวโดยใช้เขตอำนาจศาล แม้จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือดำเนินคดีอยู่ในปัจจับุนหรือในอดึตที่ผ่านมาในคดีเดียวกันในระดับชาติ
หลักการไม่พ ิจารณาคดีซ ้ำ
ในกรณีที่คดีดังกล่าวได้ขั้นสู่กระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ บทบัญญัติในพระราชบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศได้บัญญัติข้อยกเ
ว้นไว้ในมาตรา 20 ว่า หากกระบวนการพิจาณาคดีภายในถึงที่สุดแล้ว คำตัดสินนั้นมีผลทำให้การดำเนินคดีโดยศาลไม่สามารถกระทำได้ ยกเว้น หากเป็นการ “ดำเนินคดีอันจอมปลอม” เพราะสามารถตีความได้ว่ากระบวนการพิจารณาคดีดังกล่าวนี้ถูกใช้ปกป้
158
องผู้กระทำผิดจากความรับผิดหรือการดำเนินคดีทางอาญา ซึ่งเป็นการดำเนินคดีที่ไม่เป็นอิสระและยุติธรรม เพื่อพยายามจะนำบุคคลดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
6.3 ปรับใช ้ก ับสถานการณ์ไทย
สืบเนื่องจากข้อกำหนดในเรื่องความสำคัญ ตำร้องฉบับนี้ได้อธิบายรูปแบบของเหตุการณ์ตามลำดับความสำคัญ การฆ่าโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมหรือการฆ่าตัดตอนส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจาก“ความรุนแรงของการสู้รบ,” แต่เกิดจากพลซุ่มยิงที่เล็งเป้าสังหารพลเมืองที่ปราศจากอาวุธจากระยะไกล นอกเหนือไปจากนั้น รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินที่กำหนดขึ้นมาเองโดยพลการ เพื่อมีจุดประสงค์ในการอำนวยความสะดวกให้รัฐบาลในการสร้างหลักเกณฑ์ที่เป็นกฎหมายหลอกที่ละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของพลเมือง โดยรัฐบาลมีอำนาจในการจับกุมและกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามหลายร้อยคน รวมถึงจำกัดการถือครองสิทธิ์อื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ตามที่ได้เน้นในคำร้องฉบับนี้ การกระทำที่เป็นความผิดทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่มีความชอบธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว และความเสียหายที่เกิดแก่เหยื่อ, ครอบครัวของเหยื่อ และสังคมโดยรวมนั้นเป็นความเสียหายที่หนักหนาสาหัสอย่างเห็นได้ชัด อาจกล่าวได้ว่า ความรุนแรงจากเหคุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสี่สิบปีที่แล้วเป็นต้นมาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การละเว้นโทษทำให้ทหาร/ตำรวจและข้าราชการพลเรือนไม่ต้องรับความผิดในขณะที่ประชาชนหลาร้อยรายถูกสังหารหมู่ในปี 2516, 2519 และ 2535 ซึ่งการละเว้นโทษนี้ทำให้รัฐบาล “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต่อต้านการเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยโดยการหันปืนใส่ประชาชนของเขาเอง
159
เนื่องจากปัญหาด้านความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่เคยมีการพูดถึงในประวัติศาสตร์ชาติไทยหรือแม้แต่จะมีการแก้ไขปัญหานี้บรรจุอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้เชื่อว่าจะมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่จริงจังและเป็นกลางในเร็วๆ นี้ กว่าที่คณะบริหารงานของนายอภิสิทธิ์จะยอมรับหน้าที่ในการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงในการกระทำรุนแรงต่างๆ ในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมปี 2553 มาตรการที่มีก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ในการพิจารณานับตั้งแต่การสังหารหมู่ ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นนี่การกระทำเพื่อปกปิด ตามสถานการณ์ที่ยกตัวอย่างไว้ในมาตราที่ 17(2) ของธรรมนูญกรุงโรม การสืบสวนที่กระทำโดยรัฐบาลไทยมี ความล่าช้าอย่างไม่มีเหตุผลและการขาดความเป็นกลางและความยุติธรรมโดยสิ้นเชิง หลักฐานแสดงให้เห็นว่าขั้นตอนต่างๆ ที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่ของไทยนั้นมีเป้าหมายเพื่อการ ปกป้องผู้ที่กระทำความผิดจากการรับโทษตามความผิดทางอาญา มากกว่าเป็นการดำเนินการ เพื่อประโยชน์ในการนำบุคคลที่ต้องรับผิดชอบมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีหลายปัจจัยที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยนั้นทั้ง "ไม่เต็มใจ" และ "ไม่สามารถดำเนินการอย่างจริงใจ" ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสังหารหมู่ในกรุงเทพฯได้
ประว ัต ิความเป็นมาของการละเว ้นโทษ
การสังหารหมู่ในปี 2553 ในกรุงเทพฯ มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นที่รู้จักกันดีเพราะเป็นเหตุการณ์ที่กองทัพไทยได้ใช้กำลังรุนแรงในการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงขนาดใหญ่ที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้ง (หรือฟื้นฟู) ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยช่วงเดือนตุลาคม 2516, ตุลาคม 2519 และพฤษภาคม 2535 ทั้งสามเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครออกมารับผิดชอบต่อการตายของผู้ประท้วงเลยแม้แต่ครั้งเดียว คงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลนักที่จะหวังให้มีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงในประเทศไทยที่ยุติธรรมและสมบูรณ์ต่อการสังหารในเหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้
160
โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเหตุการณ์ทั้งสี่ครั้งที่ผ่านมาล้วนแต่มีตัวแปรที่คล้ายกันมากและยังมีผู้เล่นคนเดิมอีกด้วย
นอกจากตัวเลขของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังมีอย่างน้อยอีกสามเรื่องใหญ่ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันกับการสังหารหมู่ในปี 2553 และการปราบปรามประชาชนของทหารในปี 2516, 2519 และ 2535
เรื่องที่หนึ่ง ซึ่งไม่ต่างกับการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา คนเสื้อแดงได้กลายเป็นเหยื่อของสงครามสื่อที่เสนอภาพของพวกเขาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และเป็นปรปักษ์ต่อระบอบกษัตริย์ การทำให้กลุ่มผู้ประท้วงกลายเป็นผู้ร้ายอย่างเป็นระบบเป็นเทคนิคที่รัฐใช้สร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนเพื่อให้รัฐการกระทำความรุนแรงได้ เทคนิคนี้นับว่าเป็นเทคนิคที่มีประวัติอันยาวนานในประเทศไทย แล้วรัฐก็ใช้เทคนิคที่ว่านี้กับการประท้วงมาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 กลุ่มผู้ประท้วงถูกมองว่าเป็น “นักปฎิวัติ” หัวรุนแรง ที่หมายจะโค่มล้มสถาบันพระมหากษัตริย์135 ในขณะที่ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทหารก็ได้เรียกกลุ่มผู้ประท้วงในปี 2516 ว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์
การบรรยายภาพของเสื้อแดงในสายตาของรัฐบาลชวนให้นึกถึงวิธีการที่ทหารได้พยายามทำให้ประชาชนเชื่อว่าการสังหารผู้ประท้วงที่เป็นนักศึกษาเป็นสิบๆ ราย ซึ่งมีนักศึกษาบางรายถูกทรมาน, ถูกทุบตีตามร่างกายจนจำสภาพไม่ได้ และถูกเผาทั้งเป็น ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 136 เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งก็เหมือนกันกับกรณีคนเสื้อแดง นักศึกษาที่รวมตัวกันอยู่ภายในแนวรั้วภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ถูกกล่าวหาอย่างไม่ถูกต้องว่านักศึกษาได้เก็บสะสมอาวุธมากมายไว้ภายใน ซึ่งก็เหมือนกันกับกรณีคนเสื้อแดง นักศึกษาถูกมองว่าไม่ใช่มนุษย์ โดยมีการใช้ภาษาที่มีลักษณะยั่วยุให้เกิดการฆ่ากันเอง เช่น เรียกนักศึกษาว่าเป็นพวกป่าเถื่อน, ไม่ใช่คนไทย และเหมือนกับเนื้อหาในเพลงปลุกใจที่โด่งดังในช่วงปี 2518 เป็นต้นมาอย่างเพลง “หนักแผ่นดิน” 137 ซึ่งก็เหมือนกันกับกรณีคนเสื้อแดง นักศึกษาถูกกล่าวหาว่าได้แสดงข้อความที่เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระม
161
หากษัตริย์, ถูกแทรกแซงโดยชาวต่างชาติ, และมีความคิดหัวรุนแรง ในปี 2519 นักศึกษาถูกตราหน้าว่าเป็นพวก “คอมมิวนิสต์”, แต่ในปี 2553 รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนการใช้คำให้ทันสมัยต่อบริบทภูมิศาสตร์การเมืองที่เปลี่ยนไปและตราหน้าคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
เรื่องที่สอง ตลอดเหตุการณ์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ให้ผู้ก่อกวนความไม่สงบทางการเมืองซึ่งเป็นคนของรัฐบาลแทรกซึมเข้าไปเพื่อก่อความวุ่นวายและตระเตรียมเหตุการณ์ล่วงหน้าเพื่อให้มีการปราบปรามที่รุนแรง เหมือนในกรณึการประท้วงของคนเสื้อแดงในปี 2553 ผู้ก่อกวนที่เป็นคนของรัฐบาลปลุกปั่นยั่วยุให้มีการจลาจลได้สำเร็จ ส่งผลให้ทหารยิงปืนเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงที่ไม่มีอาวุธในปี 2516 และ ปี 2535 วันที่ 14 ตุลาคม 2516 กองกำลังรักษาความปลอดภัยเข้าล้อมผู้ประท้วงที่รวมตัวกันอยู่นอกพระราชวังสวนจิตรลดาฯ เพื่อขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้ามาแทรกแซงรัฐบาลทหารที่นำโดยอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อผู้ประท้วงยอมทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับตัวแทนพระราชวังคือการยอมสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังต้อนผู้ประท้วงนับหมื่นคนให้ถอยร่นไปบริเวณลานพระราชวังที่ที่ผู้ประท้วงติดอยู่ตรงทางออกแคบๆ แค่ทางเดียว ความโกลาหลวุ่นวายที่ตามมาทำให้ทหารมีข้ออ้างในการยิงใส่กลุ่มผู้ประท้วง138 ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 การปราบปรามอย่างรุนแรงของทหารปะทุขึ้นจากเหตุการณ์การจลาจลต่างๆ และจากการวางเพลิงที่เกิดขึ้นโดยรอบบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ซึ่งเชื่อว่าต้นเหตุของการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ นั้นมาจากกลุ่มคนที่ไม่สามารถระบุตัวได้หรือ “มือที่สาม” นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของการสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดอย่างยืดเยื้อและวินาศกรรมเกิดขึ้นในปี 2553 คือ นโยบายความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐและกลุ่มอันพาลพลเรือนเพื่อจะทำล
162
ายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นระบบในกลางยุค 70 ก่อนเหตุการณ์การเลือกตั้งในปี 2519 ทางการจัดตั้งและสนับสนุนกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน นวพล และกระทิงแดงทางด้านการเงิน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มศาลเตี้ยที่กำจัดกลุ่มฝ่ายซ้าย นักการเมืองท้องถิ่น และนักกิจกรรมตามชนบท และกลุ่มดังกล่าวยังมีส่วนรับผิดชอบต่อการจลาจลต่อต้านเชื้อชาติในชุมนุมคนเวียดนามในภาคอีสาน และการวางระเบิดที่สังหารผู้ชุมนุมทั่วประเทศ ความรุนแรงสร้างบรรยากาศของความไร้เสถียรภาพและความหวาดกลัว ทำให้นำไปสู่เหตุการณ์การสังหารหมู่ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่กลุ่มอันธพาลชุมนุมในกรุงเทพเพื่อปกป้องประเทศไทยจากภัย “คอมมิวนิสต์” (และผู้ชุมนุมถูกป้ายสีว่าพยายามเผาวัดบวรนิเวศวิหาร) กลุ่มอันธพาลเข้าล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสังหารหมู่นักศึกษา
ประการที่สาม หลักจากเหตุการณ์การสังหารหมู่ดังกล่าว รัฐบาลพยายามโทษว่าเป็นความผิดของเหยื่อ ก่อนจอมพลถนอมและจอมพลประภาส และกองกำลังของพวกเขาจะเดินทางออกนอกประเทศไทย นายทหารทั้งสองนายพยายามจะสร้างความชอบธรรมให้กับการสังหารประชาชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ดัวยการยืนยันว่าผู้ชุมนุมมีส่วนรับผิดชอบในเหตการณ์ความรุนแรง และบางคนติดอาวุธสงคราม เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังความรุนแรงวันที่ 17-‐18 พฤษภาคม 2535 ที่กองทัพอ้างว่ายิงเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น และรายการโทรทัศน์ยังกล่าวหาผู้ชุมนุมว่าติดอาวุธและพยายามบุกเข้าไนพระราชวังจิตรลดาโรหฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีมูล
อีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์สังหารหมู่ปี 2553 นั้นคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ปี 2519 ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ป่าเถื่อน นักศึกษานับร้อยถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุม ซึ่งคล้ายกับแกนนำเสื้อแดงในเหตุการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ ผู้นำนักศึกษาปี 2519/กลุ่มเคลื่อนไหวภาคแรงงานชื่อว่า “Bangkok Eighteen” ถูกดำเนินคดีในศาลทหารหลายข้อหา รวมถึงข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระบรมโอรสาธิราช จัดกองกำลังติดอาวุธ สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ สังหารและพยายามสังหารเจ้าหน้าที่รัฐ
163
พวกเขาถูกปล่อยตัวหลังจากมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมในปี 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายละเว้นความผิดไม่ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มศาลเตี้ย ซึ่งเป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์สังหารหมู่
เหตุการณ์การชุมนุมตามมาด้วยความรุนแรงล่าสุดนั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ปี 2516, 2519 และ 2535 ตัวอย่างคือ คนเสื้อแดงที่เรียกร้อง “ประชาธิปไตย”ถูกรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นแนวคิดจอมปลอมที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง คนเสื้อแดงกระทำความรุนแรง บุกรุกและทำลายอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้เพราะในสถานการณพวกเขาถูกโจมตี แต่พวกเขาไม่ใช่ “ผู้ก่อการร้าย” ติดอาวุธอย่างที่รัฐบาลกล่าวหา อย่างไรก็ตาม การกล่าวหาที่เลวร้ายว่าผู้ชุมนุมมีหัวรุนแรงและใช่วิธีการรุนแรงนี้เป็นไปเพื่อเป็นข้ออ้างให้ทหารกดขี่และยิงผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธอย่างไม่ต้องรับผิดใดๆ แม้กระทั่งปัจจุบัน กลุ่มอำมาตย์ไทยยังตอบโต้ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย
องค์ประกอบอีกข้อที่มีลักษณะคล้ายกันในการสังหารหมู่ก่อนหน้านี้คือ ไม่มีผู้กระทำความผิดคนใดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือรับผิดใดๆต่อการสังหารประชาชน ไม่มีผู้มีส่วนรับผิดชอบคนใดต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ปี 2516 ถูกดำเนินคดี ในขณะที่อาชญากรรมในเหตุการณ์ในปี 2519 และ 2535 ถูกเปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว และมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้เกี่ยวข้อง และมีเพียงเหตุการณ์ความรุนแรงพฤษภาฑมิฬปี 2535 เท่านั้นที่มีการสอบสวนอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตามรายงานในปี 2543 ตอบคำถามบางอย่าง 60เปอร์เซ็นต์ของรายงาน และข้อมูลที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ทหาร กรมกอง คำสั่งและการกระทำถูกแก้ไขบนพื้นฐานของข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่มีส่วนรับผิดไม่ถูกละเมิด
สามารถกล่าวเพิ่มเติมได้ว่า “การสอบสวน” ของรัฐบาลอยู่ในมาตราฐานที่แย่ โดยล้มเหลวที่จะสอบสวนถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งกระทำโดยรัฐบาล อาทิเช่น การเสียชีวิตของผู้ลี้ภัยชาวโรหิงญ่าทั้ง 500 ราย เพราะกองทัพเรือผลักเรือของพวกเขาออกไปยังน่านน้ำสากลในเดือนมก
164
ราคม 2552 เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คาดว่าการสอบสวนเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 ไม่น่าจะมีความคืบหน้าเช่นกัน
การขาดความเป็นอ ิสระของระบบตุลาการ
นักวิชาการและผู้สังเกตการณ์ต่างทราบและเห็นการถึงที่แทรกแซงทางกา
รเมืองของระบบตุลาการที่เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างดี และในเวลาเดียวกับมีการใช้ระบบตุลาการเป็นเครื่องมือทางการเมือง
นอกจากศาลจะไม่มีความน่าเชื่อถือและเต็มไปด้วยการโกงกิน ซึ่งเหมือนเป็นโรคระบาดในสถาบันรัฐบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทย ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าศาลกระทำตามแรงกดดันจากกลุ่มอำมาตย์ ในเดือนเมษายน 2549 มีการเผยแพร่วิดีโอเสียงบทสนทนาทางโทรศัพท์ของตุลาการศาลรัฐธรร
มนูญเกี่ยวกับการตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะโดยเหตุผลทางเมืองทั้
งหมด และมีวิดีโอถูกถูกเผลแพร่กลางเดือนตุลาคมปี 2553 โดยวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเวปไซต์ยูทูป ซึ่งวิดีโอดังกล่าวแสดงภาพให้เห็นว่าสมาชิกทีมกฎหมายของพรรคประชา
ธิปัตย์กำลังขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญช่วยเหลือในคดียุบพรรค และยังมีการสนทนาว่าหากศาลปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์หลุดคดี อาจจะทำให้คนเสื้อแดงอ้างถึง “ความสองมาตรฐาน” นอกจากนี้ตุลาการยังเรียกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่า “มัน” ตลอดการสนทนา ซึ่งในประเทศไทยใช้เรียกสัตว์ ในวิดีโอดังกล่าว ยังสามารถได้ยินตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปรึกษากันว่าจะขโมยข้อสอบเข้
าทำงานที่ศาลไปให้ญาติพี่น้องของตนได้อย่างไร ในขณะที่มีการดำเนินคดีกับบุคคลที่อัดและเผยแพร่วิดีโอดังกล่าว แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูณได้ถูกดำเนินคดีหรือสอบสวนวินัยถึงเรื่องกา
รกระทำทุจริตแต่อย่างใด
การใช้ระบบตุลาการเป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นสิ่งที่ยืนยันว่ารัฐจะไม่ทำการสอบสวนถึงความรุนแรง
165
หรือปฏิบัติต่อคนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาทางอาญาร้ายแรงอย่างเหมาะสม
และยุติธรรม
กรมสอบสวนคดีพ ิเศษ
ในวันที่ 20 เมษายน 2553 ศอฉ.ได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำหน้าที่สอบสวนการสังหารในกรุงเทพมหานคร การโอนอำนาจการสอบสวนคดีจากกรมตำรวจทำให้การสอบสวนที่ดำเนิ
นไปอย่างกว้างหน้าของกรมตำรวจหยุดชะงักลงทันที เมื่อมีการมอบอำนาจในการสอบสวนให้ดีเอส ทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความน่าเชื่อถือที่จะทำการสอบสวนที่เป็นอิสระแล
ะเป็นธรรม
ปลายเดือนสิงหาคม 2553 หลังจากดีเอสไอประกาศว่าจะมีการรายงานผลความคืบหน้าของการสอบสวนและผลการชันสูตรของศพผู้เสียชีวิตทั้ง ๙๑ ศพ ให้ประชาชนทราบ ดีเอสไอจัดการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงความคืบหน้าอย่างทันที แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ผู้อำนวยการดีเอสไอได้ออกมาประกาศว่าการชันสูตรทั้งหมดเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว แต่โฆษกดีเอสไอกลับคำพูด และกล่าวว่ามีการชันสูตรศพเสร็จสิ้นแล้วเพียง ๔๒ ศพ และจะไม่มีการเปิดเผยผลการชุนสูตรดังกล่าวจนกว่าการสอบสวนทั้งหมดเสร็จสิ้น นอกจากนี้ โฆษกดีเอสไอยังรีบประกาศว่า ในรายงานบางส่วนที่เขาไม่สามารถเปิดเผยได้นั้น ระบุว่า ศพทั้งหมด“ไม่ได”้ ถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หลายเดือนหลังจากนั้น ดีเอสไอยังคงเก็บผลการชันสูตรไว้เป็นความลับ เจ้าหน้าที่วงในที่รู้ว่ารัฐบาลพยายามปกปิดหลักฐานการกระทำผิดกฎหมายได้แอบนำเอกสารดังกล่าวออกไปให้สื่อมวลชน รวมถึงรายงานผลชันสูตร คำให้การพยาน และผลการสอบสวนเหตุการณ์แวดล้อมของการตามของประชาชนกว่า 12 รายในการชุมนุม ในแต่ละคดี เจ้าหน้าที่สอบสวนสรุปว่าเป็นการสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
166
คดีพิเศษของดีเอสไอ หมายเลขคดี 61/2553 ซึ่งเป็นคดีของนายมูราโมโต ซึ่งสอยสวนถึงการละเมิดกฎหมายอาญาไทน มาตรา 288 และมาตรา 289 (การฆ่าโดยเจตนา) การสอบสวนกระทำโดยเข้าหน้าที่ดีเอสไอสองนาย ได้แก่ พันตำรวจโทวีรวัชร์ เดชบุญภา และพันตำรวจโทบัณฑูร ฉิมกระ (“เจ้าหน้าที่สอบสวนดีเอสไอ”) เจ้าหน้าที่สอบสวนสัมภาษณ์พยาน 7รายที่อยู่ในเหตุการณ์บริเวณถนนดินสอ ซึ่งเป็นบริเวณที่มูราโมโตมอบหมายจากสำนักข่าวรอยเตอร์ให้ไปบันทึกภาพการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พยานในจำนวนนี้รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่วมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ซึ่งยืนอยู่ห่าจากมูรามูโตเพียง 1 เมตร ตอนที่มูราโมโตถูกยิง และดูแลมูราโมโตจนกระทั่งถูกส่งตัวไปรักษาพยาบาล
จากการสัมภาษณ์พยาน เจ้าหน้าที่สอบสวนตีพิมพ์ข้อเท็จจริงดังนี้ (1) นายมูราโมโตเสียชีวิตจากกระสุกความเร็วสูง ยิงทะลุหน้าอกซ้าย พุ่งออกทางต้นแขนขวา (2) กระสุนปืนไรเฟิลมาจากทหารราบที่ 2 (ทหารเสือราชินี) ภายต้การนำของพันเอกธรรมนูญ วิถี ซึ่งเป็นคนที่เห็นนายมูราโมโตบันทึกภาพวิดีโอการชุมนุม และ (3) นายมูราโมโตถูกยิงขณะที่หันข้าง และใบหน้าด้านข้างเขาหันไปทางกองทัพ และเขาถูกยิงในขณะที่บันทึกภาพวิดีโอของการชุมนุมคนเสื้อแดง ซึ่งยืนยันได้จากกล้องวิดีโอของเขา และตอนนี้กล้องอยู่ในการครอบครองของดีเอสไอ
จากข้อมูลนี้ เจ้าหน้าที่สอบสวนสรุปว่าการเสียชีวิตของมูราโมโตเกิดจาก “การยิงของทหารในขณะทำหน้าที่” และเจ้าหน้าที่สอบสวนแนะนำให้มอบหมายคดีดังกล่าวให้สำนักงานตำรวจเพื่อทำการสอบสวนที่เหมาะสมภายใต้กฎหมายไทย
คดีพิเศษของดีเอสไอ หมายเลขคดี 3234/2553 เกี่ยวข้องกับการสอบสวนการเสียชีวิต 6ราย ที่เสียชีวิตในวันที่ 19 พฤษภาคม 2010 ภายในวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนเสื้อแดงเข้าไปหลบภัยหลังจากแกนนำเสื้อแดงประกาศสลายการชุมนุม การสอบสวนกระทำโดยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอพันตำรวจโททรนินท์ กลางทอง และนภัสนันท์ วัฒนาทัชพงษ์ เจ้าหน้าที่สอบสวนสัมภาษณ์พยาน 41ราย และรวบรวมหลักฐานหลายชิ้น รวมถึงรายงานทางการแพทย์
167
รายงานวิถีกระสุน อาวุธ วิดีโอบันทึกเหตุการณ์ และสำเนาการเบิกจ่ายอาวุธของทหารแต่ละนาย
จากหลักฐานดังกล่าว เจ้าหน้าที่สอบสวนเขียนรายงานระบุว่า (1) กองพันรบพิเศษที่ 1 ทั้ง4กอง และกรมรบพิเศษที่สามถูกสั่งให้ประจำการบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสที่อยู่นอกวัดในตอนกลางวัน วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ภายใต้การนำของพันตรีนิมิตร วีระพงศ์ (2) ทหาร 5นายยิงกระสุนจริงเข้าไปในบริเวณวัด โดยใช้ปืนไรเฟิล ชนิด M16A2 ยิงกระสุน5.56 มม. (3) สะเก็ดหัวกระสุนเขียวขนาด 5.56มม. ซึ่งเป็นชนิดที่กองพันรบพิเศษที่ 1 และกรมรบพิเศษที่สามใช้ เป็นชนิดเดียวที่พบในร่างของเหยื่อทั้ง 6ราย (4) กระสุนที่พบในร่างของเหยื่อถูกยิงจากที่สูง; และ (5) ปอกกระสุนขนาด 5.56มม.ยังพบอยู่บนรางรถไฟฟ้า บริเวณนอกวัด เมื่อพิจารณามหลักฐานเหล่านี้ เจ้าหน้าจึงสรุปว่ามีมูลที่น่าเชื่อถือว่าเหยื่อทั้ง 6รายที่อยู่ในบริเวณวัดถูกทหารสังหาร โดยทหารยิงกระสุนลงมาจากรางรถไฟฟ้าบริเวณนอกวด และคดีดังกล่าวควรมอหบมายให้สำนักงานตำรวจทำการสอบสวนที่เหมาะสมภายใต้กฎหมายไทย
มีรายงานอย่างน้อยอีก 8 รายงานที่รั่วไหลออกมาสู่สื่อมวลชน ซึ่งมีข้อสรุปเดียวกัน โดยระบุว่าทหารในกองทัพไทยมีส่วนรับผิดชอบต่อการสังหารพลเรือนที่ปราศจากอาวุธในระหว่างการสลายการชุมนุม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการส่งยื่นเอกสารนั้นให้ผู้บังคับบัญชาในดีเอสไอ เอกสารนั้นกลับถูกปกปิด
ไม่เพียงแต่ไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายหรือดำเนินการทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเท่านั้น แม้จะมีหลักฐานมากมาย แต่โฆษกศอฉ. พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิดยังอ้างว่า “ผมขอปฏิเสธอย่างมั่นใจว่ากองทัพไม่ได้สังหารหรือทำร้ายคนเสื้อแดงหรือผู้ชุมนุม” ในที่สุด วันที่ 20 มกราคม 2554 ดีเอสไอประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับผลการสอบสวนที่รอคอยกันมานาน ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ปล่าวประกาศว่า “ยังไม่มีการสรุป” ผลการสอบสวนถึงการสังหารของผู้สียชีวิตส่วนใหญ๋
168
รวมถึงเหตุการณ์ที่กล่าวไว้ข้างต้นที่ระบุว่าเจ้าหน้าสอบสวนดีเอสไอได้ระบุบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวไว้ในรายงาน นายธาริตยังยกข้ออ้างหลายข้อระบุถึงความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในการระบุตัวบุคคลผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตดังกล่าว
คำให้การของพยานปากที่ 22 คือข้อมูลประกอบที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่มีหน้าที่บังคับใชกฎหมาย “อยู่ในตำแหน่งที่รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวกับการสอบสวนซึ่งกระทำโดยสำนักงานตำรวจและดีเอสไอ” ขอย้ำเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า คำให้การนี้เกี่ยวข้องบุคคลที่ต้องเสี่ยงต่อหน้าที่การงานและชีวิตดังนั้นจึง
เป็นเรื่องลำบากที่จะระบุชื่อ คำให้การระบุถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับการสอบสวนคดีการสังหารของดีเอสไอ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ที่จะหยิบยกคำให้การเต็มขึ้นมาอีกครั้ง เพราะแสดงให้เห็นถึงความพยายามปกปิดหลักฐานของดีเอสไอหลายครั้
ง
พยานเป็นข้าราชการรับราชการในกรุงเทพ ตำแหน่งพยานทำให้พยานรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวนของ
สำนักงานตำรวจ (“ตำรวจ”) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (“ดีเอสไอ”) เกี่ยวกับการสังหารที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงใน
กรุงเทพเมื่อเดือนเมษษยนและพฤษภาคม ปี 2553
รัฐบาลมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะปกปิดและทำลายหลักฐานทั้
งหมดที่เกี่ยวกับการกระทำผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับการสังหารพ
ลเรือนของรัฐบาลหรือผู้นำกองทัพ ตัวอย่างแรกคือรัฐจะส่งคือศพของเหยื่อพลเรือนเมื่อแน่ใจว่าครอบ
ครัวของเหยื่อจะประกอบพิธีฌาปนกิจ เป็นการทำลายความเป็นไปได้ที่อาจมีการพิสูจน์หรือตั้งคำถามในร
ายงานทางการแพทย์ และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ นโยบายของกรุงเทพมหานคร-‐ โดยการสั่งการของศอฉ. – ให้ทำความสะอาดถนนในกรุงเทพทันทีหลังจากการชุมนุมของคนเสื้
169
อแดงสิ้นสุดลงในวันที่ 19 พฤษภาคม นี่คือนโยบายที่คงอยู่หลายวัน และผลก็คือ กรุงเทพมหานครทำลายหลักฐานวัตถุของกการตายของพลเรือนแ
ละสถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่ นโยบายนี้ละเมิดต่อกฏหมายไทยที่ให้มีการเก็บหลักฐาน แต่นโยบายนี้สั่งการเพื่อมีวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนย้ายหลักฐานก
ารกระทำผิดทางอาญาของผู้นำทหารและ/หรือรัฐบาลไทย
หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2553 ในระหว่างที่ประชาชนราว 25คนถูกสังหาร ศอฉ.ให้อำนาจดีเอสไอในการสอบสวนคดี สาเหตุที่ตำรวจไม่ได้รับมอบหมายให้สอบสวนคดีนี้เพราะตำรวจมีจ
ำนวนมากและมีหลายหลายความเห็น จึงยากที่จะควบคุมผลการสอบสวน ตรงกันข้ามกับดีเอสไอซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ ผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ และรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณยังเป็นสมาชิกศูนย์อำวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
อีกด้วย (ศอฉ.) อย่างไรก็ตาม การมอบหมายคดีนี้ให้ดีเอสไอแสดงถึงความขัดแย้งทางผลประโยช
น์โดยรวมที่ว่าสมควรหรือไม่ที่จะทำการสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับการสั
งหารในวันที่ 10 เมษายน
แม้กระนั้น ในวันที่ 16 เมษายน 2553 ผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริตได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนการสังหารในวั
นที่ 10 เมษายน นายธาริตมอบหมายให้เจ้าหน้าสอบสวนดีเอสไอ นายวีรวัชร์ เดชบุญภา ซึ่งเป็นคนของนายธาริต
ทำการสอบสวนการเสียชีวิตทั้ง 25 รายอย่างรวดเร็ว
ซึ่งนายวีรวัชร์ไม่ทำการสอบสวนคดีดังกล่าวเลย
หลังจากการสังหารในเดือนพฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพื่อเป็น 89
170
รายนายวีรวัชร์ก็ได้รับมอยหมายให้สอบสวนคดีดังกล่าวอีก
จนถึงปัจจุบันนี้
นายวีรวัชร์ล้มเหลวในการทำการสอบสวนการเสียชีวิตของพลเรือน
ผู้บริสุทธิ์ และพยายามโยนความผิดให้กับแกนนำเสื้อแดงที่ถูกคุมขัง
เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวก่อการร้ายที่รัฐบาลป้ายให้แกนนำเสื้อแดงอย่างออกนอกหน้า
ตรงข้ามกับหน้าที่
การสอบสวนของนายวัรวัชร์เต็มไปด้วยความลำเอียงเอื้อประโยชน์
ให้แก่ฝ่ายรัฐบาล
อย่างเช่นของสรุปการสอบสวนของนายวัรวัชร์ที่ระบุว่าคนเสื้อแดงมีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ระเบิดที่ถนนดินสอในคืนวันที่ 10
เมษายน 2553 ซึ่งทำให้พันเอกร่มเกล้า
ธุรวธรรมและเจ้าหน้าที่ทหารอีกหลายคนเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม
ข้อสรุปของเขาไม่มีหลักฐานใดสนับสนุนเลย
การขาดหลักฐานนี้ยิ่งชัดเจนเมื่อไม่การจับกุมบุคคลที่วางระเบิด
ช่วงเวลาระหว่างวันที่ 13-‐19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นกว่า 60 รายในเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดง แต่นายธาริตไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำการสอบสวนจนกระทั่งวันที่ 30 สิงหาคม 2553 ทั้งนี้เนื่องจากมีเสียงเรียกร้องจากประชาชน ความล้าช้านี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายไทย ที่กำหนดระยะเวลาในการสรุปผลการสอบสวนถึงการเสียชีวิตที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
คดีที่เหลือหลายคดีถูกมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สอบสวนที่ไม่ต้องการจะมองข้ามความจริง และไม่ต้องการฟอกอาชญากรรมเพียงเพราะต้องการซื่อสัตย์ต่อนายธาริตหรือนายอภิสิทธิ์ แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของดีเอสไอปฏิบัติตามหน้าที่ และไม่ต้องการจะสร้างหลักฐานหรือปกความจริงเพื่อสนับสนุนข้อสรุปที่มีธงไว้แล้ว ณ.จุดนี้ การสอบสวนการเสียชีวิตของการเสียชีวิตของประชาชน 89
171
รายที่ทำโดยเจ้าหน้าที่สอบสวนมีความก้าวหน้ากว่าครึ่งหนึ่ง โดยมีข้อสรุปเบื้องต้นว่ากลุ่มทหารจากกองทัพไทยภายใต้การนำของรัฐบาลและศอฉ.มีส่วนรับผิดชองต่อการเสียชีวิตส่วนหนึ่ง
เจ้าหน้าที่สอบสวนดีเอสไอบางรายถูกผู้บัญชาการสั่งให้เปลี่ยนผลการสอบสวนดังกล่าว
เหตุการณ์สังหารในช่วงวันที่ 13-‐19 พฤษภาคม 2553ถูกมอบหมายให้แก่เข้าหน้าที่ที่ภักดีต่อนายธาริต และเต็มใจที่จะเพิกเฉยต่อกระบวนการการสอบสวนที่ถูกต้องเหมาะสม เจ้าหน้าที่สอบสวนดีเอสไอเหล่านี้ไม่ทำการสอบสวนใดๆเลย นอกจากนี้พวกเขายังหวังที่จะนายธาริตจะแนะนำให้รัฐบาลเลื่อนตำแหน่งให้พวกเขาเป็นแบบพิเศษ
ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบางนายทำรายงายเบื้องต้นที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชนอย่างน้อยสี่รายที่เสียชีวิตในเดือนพฤษภาคม 2553 เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสรุปว่าทหารบางนายจากกองทัพภายใต้คำสั่งรัฐบาลมีส่วนรับผิดต่อการเสียชีวิตของบุคคลดังกล่าว หลังจากนั้นดีเอสไอจะปรึกษากับสำนักงานอัยการเพื่อขอให้อัยการทำงานร่วมกับเจาหน้าที่สอบสวนของดีเอสไอเพื่อจะพิจารณาว่าการสังหารนั้นกระทำโดยเจตนา หรือเป็นการป้องกันตัว อย่างไรก็ตาม นายธาริตยังไม่ได้เริ่มการสอบสวนถึงเจตนาของการกระทำนั้น ซึ่งขัดต่อกระบวนการของดีเอสไอและกฎหมายไทย และยังเป็นความพยายามที่จะทำให้คดีล่าช้า
ผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริตมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามที่จะทำให้ผลการสอบสวนของดีเอสไอล้าช้า เห็นได้จากความล้มเหลวของนายธาริตที่จะเริ่มทำการสอบสวนในเรื่องของเจตนาการกระทำ ความล้มเหลวในการทำให้คดีมีความคืบหน้า ซึ่งอย่างน้อยมาจากการที่นายธาริตเป็นสมาชิกของศอฉ. ซึ่งในทำให้เขาไม่สนใจสอบสวนคดี
นอกจากนี้ ยังรวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการปกปิดหลักฐาน
172
ผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริตห้ามเจ้าหน้าที่สอบสวนของดีเอสไอเรียกเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพมาสอบสวน ซึ่งขัดต่อหลักปฏิบัติของดีเอสไอที่สามารถสอบสวนบุคคลที่ดีเอสไอสรุปว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อการสังหาร
ในเดือนพฤษจิกายน 2553 เอกสารรายงานดีเอสไอที่เกี่ยวกับการสังหารประชาชนในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้รั่วไหลออกมายังสื่อมวลชน และแกนนำเสื้อแดง นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวต่อสื่อถึงข้อสรุปที่ว่าทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชน ไม่นานหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีรายงานจากสื่อว่าผู้บังชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้เรียกร้องให้ปลดผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริต และรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณเรียกให้ผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริตเข้าพบ
หลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์กล่าวต่อหน้าสื่อมวลชนโดยให้การสนับสนุนผู้อำนวยการดีเอสไอ นายธาริต โดยนายธาริตรอดจากการถูดปลดเพราะเขามีอำนาจตัดสินใจสุดท้ายไม่สั่งดำเนินคดีกับผู้นำทหารหรือสมาชิกของศอฉ.
ส่วนนายธาริตกล่าวกับสื่อมวลชนว่าคำพูดของนายจตุพรเกี่ยวกับเอกสารที่รั่วไหลว่าไม่ตรงกับข้อสรุปการสอบสวนของดีเอสไอ คำกล่าวของนายธาริตไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ไม่นานหลังจากการพบปะการรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ นายธาริตได้ออกประกาศภายในดีเอสไอ โดยระบุว่าเขามีอำนาจที่จะตัดสินว่าการสังหารประชาชนดังกล่าวกระทำโดยเจตนาร้ายหรือไม่เพียงคนเดียว หากไม่มีการค้นหาว่าการกระทำดังกล่าวมีเจตนาร้ายหรือไม่ ตามกฎหมายไทย ผู้นำกองทัพ สมาชิกศอฉ.หรือรัฐบาลไทย ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวนอกจากนี้ หลังจากการพบปะครั้งหลังกับรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ นายธาริตกล่าวกับทีมเจ้าหน้าที่สอบสวนว่า หากพวกเขาไม่สามารถระบุรายชื่อของบุคคลที่ลั่นไกปืนในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงได้
173
พวกเขาจะต้องสรุปว่าคนเสื้อแดงเป็นคนทำ ยิ่งกว่านั้น นายธาริตยังสั่งให้ลดจำนวนเหยื่อที่ถูกสังหารโดยทหารในวัดปทุมวนาราม ซึ่งมีการสรุปก่อนหน้านี้ว่ามีจำนวนอย่างน้อย 5ราย ให้เหลือเพียง 3 ราย
จากเหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่านายธาริตยืนยันกับนายกรัฐมนตรอภิสิทธิ์ ผ่านทางรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ ว่าเขาจะสรุปว่าทหารไม่มีเจตนาร้ายในเหตุการณ์การเสียชีวิตของพลเรือนและทหารในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ไม่ว่าผลการสอบสวนจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม จากข้อตกลงนี้ ทำให้นายธาริตรักษาตำแหน่งของเขาไว้ได้
ไม่มีความเป็นไปได้อย่างแน่ชัดว่าดีเอสไอจะกระทำการสอบสวนอย่างถูกต้องเหมาะสมถึงการที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหารถูกสังหารในระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง
เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว รองผู้อำนวยการดีเอสไอ พันตำรวจโทเสกสรรค์ ศรีตุลาการ ระบุว่า มีความกดดันจากภายนอกเป็นประจำที่จะทำให้ดีเอสไอกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง”
การดำเนินคดีก ับคนเส ื ้อแดง
รัฐบาลจะหาทางยับยั้งการสอบสวนการสังหารประชาชน แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายแสดงถึงอาชญากรรมของกองทัพไทย รัฐบาลอภสิทธิ์กลับดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงอย่างไม่หยุดหย่อน วันที่ 30 กรกฎาคม 2553 ดีเอสไอยื่นขอให้สำนักงานอัยการดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 24 คน รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในข้อหา “ก่อการร้าย” ในวันที่ 11 สิงหาคม อัยการตัดสินใจดำเนินคดีกับแกนนำ 19รายตามคาดหมาย และเลื่อนการตัดสินดำเนินคดีต่อแกนนำอีก 6 คน โดยทั้งหมดอาจต้องโทษประหารชีวิต
นอกจากแกนนำเสื้อแดงจะถูกกล่าวหาว่าทำให้เกิดการเสียชีวิตของประช
าชนในระหว่างการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553-‐
174
แต่ข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดการสอบสวนและข้อสรุปจากตำรวจ และปราศจากการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการสัง
หารเกือบทั้งหมด (หากไม่ใช่ทุกการสังหาร)-‐ ศาลลิดรอนสิทธิการดำเนินคดีในกระบวนการศาลของแกนนำเสื้อแดงใน
การแก้ต่างให้กับตนเอง ผู้พิพากษาที่มีอำนาจพิจารณาคดีดังกล่าวคือ ผู้พิพากษาสุจิตรา โพธายา ซึ่งมีส่วนร่วมในการดำเนินคดีอาญาต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
แม้ว่าข้อหาของแกนนำเสื้อแดงจะเป็นข้อหาที่มีความร้ายแรงแต่ผู้พิพาก
ษาสุจิตราได้กล่าวย้ำตังแต่เริ่มแรกว่า ห้ามไม่ให้จำเลยเข้าฟังการพิจารณาของตนเอง ในการพิจารณาคดีเบื้องต้นในวันที่ 27 กันยายน 2553 จำเลยถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาในศาล ในคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการพิจารณาคดีเบื้องต้น ผู้พิพากษาสุจิรากล่าวว่า
เนื่องจากมีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเข้าฟังการพิจารณาคดี ที่นั่งจึงไม่เพียงพอ ในการเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไปจะมีการกำหนดจำนวนพย
าน และจำนวนครั้งการพิจารณาคดี ดังนั้น จำเลยจึงไม่จำเป็นต้องเข้าฟังการพิจารณาคดี แต่ทนายของจำเลยจะต้องเข้าฟังการพิจารณาคดี
ในการพิจารณาคดีครั้งถัดมา จำเลยถูกนำตัวออกมาจากเรือนจำไปยังใต้ถุนศาล แต่ผู้พิพากษาสุจิตราไม่อนุญาตให้นำตัวจำเลยเข้าฟังการพิจารณาคดี คำร้องขอให้ดำเนินคดีให้ห้องพิจารณาคดีที่ใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ ดังนั้น จำเลยจึงถูกลิดรอนสิทธิพื้นฐานที่จะปรึกษากับทนายเพื่อตระเตรียมคดีข
องตน เพราะเหตุผลที่ห้องพิจารณาคดีมีขนาดเล็กเกินไป แม้ว่าครอบครัวของจำเลยและเหยื่อยจะถูกกันไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาค
ดี แต่มีสื่อมวลชนไทยบางรายได้รับอนุญาติให้เข้าสังเกตการณ์และเขียนรา
ยงาน
175
ประการที่สองคือ ผู้พิพากษาสุจิตราสั่งห้ามไม่ให้จำเลยนำพยานคำสำคัญที่สามารถแก้ต่าง
ให้จำเลยขึ้นเบิกความในศาล โดยเฉพาะ รายการชื่อพยานรวมถึงพยานที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลในกรุงเทพ
ทั้ง 13แห่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่เหยื่อเข้ารับการรักษาระหว่างการชุมนุมคนเสื้อแดง รายชื่อพยานเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพราะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นบุคคลเดียวที่สามารถระบุรายชื่อแพทย์ที่ทำ
การรักษาเหยื่อได้ หากปราศจากคำให้การของผู้อำนวยการ จำเลยจะไม่สามารถระบุหรือเรียกให้แพทย์มาให้ปากคำในกรณีของลักษ
ณะการบาดเจ็บของเหยื่อ อย่างไรก็ตามผู้พิพากษาสุจิตราสั่งห้ามไม่ให้เรียกผู้อำนวยการมาให้ปาก
คำ โดยกล่าวว่า
ศาลเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นไม่ใช่แพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นศาลจึงมาอนุญาติให้ใส่ชื่อบุคคลเหล่านั้นในฐานะพยาน และปฏิเสธคำร้องขอให้บุคคลเหล่านั้นเข้าเบิกความในศาล
นอกจากนี้ ผู้พิพากษาสุจิตรายังได้ร่างคำสั่งของตนในแบบที่ทนายของจำเลยจำเป็น
ต้องตกลงถอนรายชื่อของผู้อำนวยการออกจากรายชื่อพยาน ซึ่งตามกระบวนการพิจาณาคดีอาญา เป็นการจำนนต่อข้อเสนอที่ไม่สามารถอุทรณ์ได้ ผลคือทนายของจำเลยได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ปฎิเสธที่จะลงนานในคำสั่งขอ
งผู้พิพากษาสุจิตรา
รัฐบาลไทยยังคงปฏิเสธให้แกนนำเสื้อแดงเข้าถึงหลักฐานผลชันสูตร เอกสาร และวิดีโอภาพและเสียงที่ใช้ประกอบการดำเนินคดี นอกจากนี้ยังขาด “หลักฐาน” ที่จะเชื่อมโยงการกระทำการก่อการร้ายกับการเป็นแกนนำเสื้อแดงเข้าด้ว
ยกัน ดังนั้น จนถึงทุกวันนี้ หลักฐานที่รัฐบาลอ้างถึงคือคำปราศรัยสองครั้งในเดือนมกราคม 2553
176
ของแกนนำเสื้อแดงสองคน ได้แก่ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง มีการเตือนว่าจะมีการตอบโต้หากทหารทำรัฐประหาร (ในกรณีของณัฐวุฒิ) หรือจะมีการใช้กำลังความรุนแรงต่อคนเสื้อแดง (ในกรณีของอริสมันต์) ในกรณีของทักษิณ ก็ถูกกล่าวหาให้การสนับสนุนการกระทำดังกล่าวทางการเงิน และมีการกล่าวหาว่ามีคนปฏิบัติตามคำสั่งของทักษิณเพื่อจะทำลาย “ร่างแผนการปรองดอง” แต่รัฐบาลล้มเหลวที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าวด้วยข้อเท็จจริง รัฐบาลไทยมักจะประนามฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” อย่างรวดเร็ว แต่ล้มเหลวในการพิสูจน์ข้อกล่าวหานั้น
หากพิจารณาว่ารัฐบาลพยายามเผยแพร่ข้อมูลที่สนับสนุนเรื่องราวโศกน
าถกรรมในเดือนเมษษยนและพฤษภาคมที่รัฐบาลบอกเล่าอย่างหนัก แต่การที่รัฐบาลปฏิเสธที่จะแสดงหลักฐานหนักที่แสดงให้เห็นว่าแกนนำเสื้
อแดงเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายต่อทีมทนายหรือสาธารณชนทำให้สรุป
ได้ว่าการจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องทางการเมือง ข้อเท็จจริอคือ ข้อกล่าวหา “ก่อการร้าย” ต่อคนเสื้อแดงสนับสนุนโดยเจ้าหน้าที่สอบสวนที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางก
ารเมืองและกระบวนการตุลาการที่คดงอ และที่แน่นอนคือ การไต่สวนดังกล่าวไม่เป็นเพื่อค้นหาความจริง แต่การดำเนินคดีดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้ความชอบธรรมกับการโฆษนาปร
าสัมพันธ์ของรัฐบาล หรือเพื่อจะขังแกนนำเสื้อแดงในนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าการสอบสวนจะช่วยค้นหาข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่มีหลายครั้งในการเมืองไทยที่ ระบบรัฐธรรมนูญและกฎหมายเหมือนฉากละครย่อยหรือภาพประกอบที่พ
ร่ามัว ในขณะที่อำนาจการตัดสินเด็ดขาดเป็นของที่อื่น
สร้างความซับซ ้อนโดยใช ้กระบวการ “ปรองดองสมานฉันท์”
หลักจากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและรัฐบาลพยายามสร้าง
177
“ความสมานฉันท์ปรองดอง” น่าเสียดาย เพราะเป็นที่ชัดเจนว่า ผู้นำประเทศไทยไม่มีความสามารถหรือเจตนารมย์ที่จะสร้างความปรองด
องสมานฉันท์ รัฐบาลใช้วิธที่เข้มงวดและนโยบายคุกคามทางการเมืองในรอบหลายเดือ
นที่ผ่านมา-‐ สังเกตได้จากการใช้พรก.ฉุกเฉิน ตามมาด้วยพรบ.ความมั่นคง มีการจับกุมคุมขังคนที่เห็นใจเสื้อแดงนับร้อย การกักตัวแกนนำเสื้อแดงในค่ายทหาร และการคุกคามเซ็นเซอร์สื่อทางเลือก การแต่งตั้งคธะกรรมการภายใต้ความพยายามอย่างหลอกๆที่จะพาประเ
ทศก้าวไปข้างหน้า แสดงให้เห็นว่า “การสมานฉันท์ปรอดอง”ที่รัฐบาลหมายถึง แท้ที่จริงแล้วคือ “อุดมการความสามัคคี” นโยบายดังกล่าวถูกบังคับผ่านทางการผสมผสานระหว่างการโฆษณาประ
ชาสัมพันธ์และการกดขี่
เพื่อตามสนองความตอบสนองท่าทีของประชาคมโลกต่อเหตุการความรุ
นแรงในเดือนเมษายนและฤษภาคม รัฐบาลอภิสิทธิ์เห็นชอบที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการ “ค้นหาข้อเท็จ”เพื่อที่จะสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงและนำไปสู่ “ความปรองดองสมานฉันท์” คณะกรรมการดังกล่าวนำโดยอดีตอัยการ นายคณิต ณ นคร และมีการแต่งตั้งบุคคลที่ภักดีต่อกลุมอำมาตย์อย่างไม่ต้องสงสัยเป็นคณ
ะกรรมการ คณะกรรมการได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นอิสระและไร้ซึ่
งการพยายามปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการ
ยิ่งไปกว่านั้น มีรายงานว่านายคณิตได้กล่าวว่า “คณะกรรมการค้นหาความจริง” นั้นไม่สนใจที่จะ “ข้อหาข้อเท็จจริงหรือระบุว่าใครถูกหรือใครผิด” แต่สนใจที่จะ “สนับสนุนการให้อภัยซึ่งกันและกัน”
178
แต่ต้องชื่นชมนายคณิตในแง่ที่ว่าหลังเหตุการณ์ความรุนแรง นานคณิตได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลหลายครั้ง หลักจากการแต่งตั้ง นายคณะวิจารณ์การกระทำที่บังคับให้แกนนำเสื้อแดงปรากฏตัวต่อหน้าศ
าลในขณะที่โดนล่ามโซ่ที่ข้อมือข้อเท้าอย่างหนักว่าเป็นสิ่งที่ “ละเมิดกฎบังคับของสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน” ต้นเดือนสิงหาคม นายคณิตขอให้รัฐบาลทบทวนการใช้พรบ.ฉุกเฉิน ต่อมานายคณิตสัมภาษ์แกนนำและผู้สนับสนุนกลุ่มองค์กรต่างๆในสังงงค
มไทยและเรียกร้องให้รัฐบาลอนุญาติให้คนเสื้อแดงที่ถูกขังเพื่อรอพิจารณ
าคดีอยู่หลายเดือนประกันตัว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า “คณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์และค้นหาความจริง” ของนายคณิตไมได้พยายามสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงหรือพบปำพู
ดคุยกับเหยื่อ แต่ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์วิกฤตทางการเมืองมากกว่า ตั้งแต่เริ่มทำงาน นายคณิตอธิบายว่าการทำงานของเขาเจาะจงไปที่การหา “ปัญหารากเหง้า” ของความขัดแย้ง และไม่เห็นด้วยที่จะสอบสวน “เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์” บางทีอาจเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่า นายคณิตยอมรับว่า คณะกรรมการไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่สมบูรณ์เกี่ยวกับแผนการและปฏิ
บัติการของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง รายงานการชันสูตร คำให้การพยาน ภาพถ่าย และวิดีโดที่ศอฉ.มีอยู่ได้ ไม่น่าแปลกเลยว่า จนถึงวันนี้การสอบสวนล้มเหลวที่จะค้นหาข้อเท็จจริงใดๆ
นายคณิตแสดงความสนใจเกี่ยวกับเรื่อง “การฟื้นฟูความยุติธรรม” ซึ่งเป็นความคิดที่ว่าความรุนแรงในอนาคตสามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ห
ากมีการพูดคุยกับระหว่างเหยื่อและผู้กระทำโดยไม่จำเป็นต้องมีการดำเนิ
นคดี หนึ่งในหลักการสำคัญของ “การฟื้นฟูความยุติธรรม” คือการหาความเป็นกลาง “ระหว่างสิทธิของผู้กระทำและความต้องการของเหยื่อ” และ “ระหว่างความจำเป็นในการฟื้นฟูผู้กระทำและหน้าที่ในการปกป้องสาธา
179
ณชน” แต่แม้ความมุ่งหมายของนายคณิตจะเป็นสิ่งที่น่าชื่นชน แต่ด้วยเหตุผลทั่วไปและเฉพาะเจาะจง ข้อเสนอดังกล่าวไม่มีความเหมาะสมในสถานการณ์ดังกล่าว
ตาม “คำประกาศแห่งนูเร็มเบิร์กว่าด้วยความสงบสุขและความยุติธรรม” ปี 2551 ระบุว่าความสงบสุขที่มีความมั่งคงสาสารถสร้างขึ้นได้บนพื้นฐานของควา
มยุติธรรมเท่านั้น -‐ “เป็นคำประการที่กล่าวถึงความรับผิดและความยุติธรรมในการปกป้องและป้องกันสิทธิและป้องกันแก้ไขการกรำทำผิด”
เหมือนในประเทศอื่นๆ ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองและมีอนาคตที่สงบสุขได้ก็ต่อเมิ่อมีการจัดกา
รปัญหาการบิดเบือนการใช้กระบวนการยุติธรรมและเหตุการณ์ในอดีต
แน่นอนที่สุดว่า ไม่นานมานี้ประชาคมโลกกล่าวถึง “การเปลี่ยนผ่านความยุติธรรม” ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้กระทำความผิดต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ องค์กรสหประชาชาติระบุใน “หลักการล่าสุดว่าด้วยการปกป้องและสนับสนุนสิทธิมนุษยชนโดยการต่อสูเพื่อไม่ต้องรับผิด” ว่าไม่เพียงสังคมต้องมี “สิทธิเฉพาะบุคคลที่จัเข้าถึงความจริง” และเหยื่อ “มีสิทธิจะรู้” แต่พวกเขาต้อง “มีสิทธิ์จะได้รับความยุติธรรม” ซึ่งรัฐจะต้องประกันว่า “ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในอาชญากรรมร้ายแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประ
เทศนั้นถูกดำเนินคดี พิจารณาคดี และลงโทษ” หลักการขององค์กรสหประชาชาติประกอบด้วยแนวทางการดำเนินกิจกร
รมการไต่สวนและการค้นหาความจริงนอกจากนี้ หน่วยงานดังกล่าวต้องถูกแต่งตั้งผ่านทางกระบวนการที่การันตีว่าพวกเข
าจะมีความเป็นอิสระและเป็นธรรม หลักการในสหประชาชาติยังเน้นว่าการสอบสวนควรจะมุ่งความสนใจอย่า
งแรกไปที่การละเมิดอาชญากรรมร้ายแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเท
ศ คำสนอแนะของนายคณิตเรื่อง“ปัญหารากเหง้า” ของความขัดแย้ง มากกว่าการสอบสวนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเฉพาะเจาะจง
180
ทำให้หน่วยงานคณะกรรมการ “ค้นหาความจริงและปรองดองสมานฉันท์” ของนายคณิตไม่ได้มาตราฐานตามที่องค์กรสหประชาชาติระบุ
ในกรณีของประเทศไทย “การฟื้นฟูความยุติธรรม” ตั้งอยู่บนหลักการที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษซึ่งเป็นปัญหา กรณีแรกคือ เหตุการณ์การสังหารหมู่ในปี 2516 แสดงให้เห็นว่ารัฐให้เกราะคุ้มกันการรับผิดของเจ้าหน้าที่ผ่านทาง “การปรองดองสมานฉันท์” และ “การให้อภัย” และนั้นเป็นการการันตีว่าโศกนาถกรรมจะเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ประการที่สอง หากนายคณิตและคณะตั้งใจจะขุดหา “รากเหง้าของปัญหา” ของความขัดแย้งจริง พวกเขาไม่จำเป็นต้องขุดลึกเพราะความคับแค้นใจหลักของคนเสื้อแดงคื
อการไม่มีความเท่าเทียมภายใต้กฎหมายในประเทศไทย กระบวนการตุลาการเต็มไปด้วย “สองมาตราฐาน” นั้นคือการสร้างเกาะกำบังให้ผู้มีอำนาจจากอาชญกรรมร้ายแรง อาทิ การสังหารให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งการย้ำให้เห็นถึงข้อกล่าวอ้างข้างต้น นอกจากการปกป้องไม่ให้ผู้กระทำความผิดรับผิดต่อการกระทำในปี 2553 จะขัดต่อกฎหมายะหว่างประเทศแล้ว ยังทำให้ปัญหาความขัดแย้งแย่ลง
อย่างไรก็ตาม นายคณิตยังมีความจริงใจที่หยิบยกและสนับสนุนเรื่องการพูดคุยกันระหว่
างผู้กระทำและเหยื่อ แต่บางทีสิ่งที่สำคัญคือ รัฐบาลไทยไม่ได้พยายามทำอะไรที่จะดำเนินตามข้อเสนอดังกล่าวเลย นอกจากนี้รัฐบาลยังทำทุกวิถีทางที่จะใช้กระบวนการยุติธรรมในทางที่ผิด การคุมขังแกนนำเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง การกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย การลิดรอนสิทธิทางการพิจารณาคดีของคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง และการใช้ระบบทรัพยากรเพื่อกดขี่และสร้างความถูกต้องให้การลิดรอน
สิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไ
ทยไม่สนใจที่จะสร้าง “ความปรองดอง” ระหว่างเหยื่อและผู้กระทำ แต่เป็นการทำให้เหยื่อยอมจำนนต่อผู้กระทำมากกว่า นอกจากนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังปิดบังข้อมูล เปลี่ยนการสอบสวนจากดำให้เป็นขาว
181
และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เล่าเรื่องข้างเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานที่แสดงว่ารัฐบาลไทยไม่เต็มใจและไม่สามารถที่จะ
ค้นหาความจริงได้ แต่พยายามที่ปกปิดความจริงมากกว่า
เหตุการณ์ในรอบแปดเดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแผนการ “สมานฉันท์ปรองดอง” ของรัฐบาลไม่เป็นอะไรไปมากกว่าแผนการโน้มน้าวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น
ของการความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะทำลายฝ่ายตรงข้าม และปกป้องไม่ให้บุคคลที่มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่ร้าย
แรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีความจริงหรือการปรองดองสมานฉันท์จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
ของคณะกรรมการนายคณิต ซึ่งเหมือนกับหน่วยงานที่รัฐบาลไทยจัดตั้งขึ้นในนามของ “การปรองดองสมานฉันท์” ส่วนมาก ที่คณะกรรมการมีหน้าที่สร้างเกราะป้องกันการรับผิดแก่ผู้กระทำความผิด
ให้ดูดีในสายตาของสาธารณชนและประชาคมโลก กระบวนการเหล่านี้จึงสามารถนิยามได้ว่าว่า “กระบวนการจอมปลอม” ตามที่อธิบายไว้ในบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ-‐ การสอบสวนหรือการพิจารณาคดีนั้นต้อง “กระทำในลักษณะที่สภาวะแวดล้อมนั้นประกอบไปด้วยเจตนาที่จะนำบุคค
ลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าสูกระบวนการยุติธรรม”
6.4 สรุป
นอกจากจะเข้าองค์ประกอบแห่งความร้ายแรงของคดีที่บัญญัติในมาตรา 17 (d) ของข้อบัญญัติแห่งกรุงโรมแล้ว เหตุการณ์ในประเทศไทยยังเข้าองค์ประกอบการรับพิจารณาคดีของศาล
อาญาระหว่างประเทศ ตามหลักของศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจในการพิจารณาเมื่อรัฐไ
ม่เต็มใจหรือล้มเหลวในการสอบสวนเหตุการณ์
เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า รัฐบาลไทยไม่มีทางจะสอบสวนเหตุการณ์อย่างยุติธรรมและสมบูรณ์
182
รัฐบาลอภิสิทธิ์ และกลุ่มผู้สนับสนุนไม่ต้องการที่จะสละอำนาจของตนโดยการดำเนินคดีกั
บกองทัพและผู้นำพลเรือนในการกระทำอาชญากรรมระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การคุมขังที่ยาวนานและละเลยสิทธิในกระบวนการดำเนินคดีของคนเสื้อแ
ดง บุคคลที่รัฐบาลตัดสินว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทำให้เกิดคำถามถึงความเป็นธรรม ท้ายนี้ การทุจริตและการแทรกแซงทางการเมืองของกระบวนการยุติธรรมในปร
ะเทศไทย การขาดความเป็นอิสระของการสอบสวนที่กระทำโดยดีเอสไอ หน่วยงานที่รัฐบาลเลือกให้ทำคดีเพราะเป็นพวกเดียวกัน มากกว่าความสามารถ และการเพิกเฉยของคณะกรรมการค้นหาความจริงและสมานฉันท์ของนา
ยคณิตในการค้นหาข้อเท็จจริงของการละเมิดทำให้กระบวนการสอบสวน
แปดเปื้อน
กล่าวอีกนับหนึ่งคือ รัฐบาลไทยไม่เต็มใจและไม่สามารถที่จะทำการสอบสวนที่เป็นธรรมและสมบูรณ์ ภายใต้พันธกรณีที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถพิจารณาได้จากการสังหารหมู่ของผู้เรียกร้องประชาธิปไตยโดยรฐไทยในปี 2516, 2519 และ 2535 แต่หารศาลอาญาระหว่างประเทศไม่เข้าแทรกแซง การฆ่าหมู่ในปี 2553 มีแนวโน้มจะถูกเปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว ผ่านทางกระบวนการเดิม ที่ผิดกฎหมายซึ่งเป็นการประกันไม่ให้บุคคลที่สังหารประชาชนในประเทศไทยนับร้อยต้องร้บผิด
7. หนทางบรรเทาทุกข ์
ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับข้อมูลหลักที่แสดงในเอกสาร ผู้ร้องจึงร้องขออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศด้วยความเคารพให้เริ่ม
ทำการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกั
บเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 รวมถึงนโยบายการคุกคามทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประ
หารในปี 2549
183
จากการพิจารณาหลักฐานพบว่าสมาชิกในรัฐบาลไทยและกองทัพไทยมีส่
วนรับผิดชอบกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องและนโยบายคุกค
ามทางการเมืองอย่างเป็นระบบ อาทิเช่น :
(1) มีมูลอันสมเหตุสมผลที่ทำให้เชื่อว่าอาชญากรรมที่อยู่ภายใต้อ
ำนาจการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศเกิดขึ้นจริง
โดยเฉพาะอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่รวมถึงการสังหาร, คุมขัง
และการลิดรอนเสรีภาพทางร่างกายอย่างร้ายแรงในลักษณะอื่น,
การคุกคามทางการเมือง, และการกระทำที่ไร้มนุษยชนลักษณะอื่น;
(2)
มีหลักฐานที่ชี้ว่ากลุ่มผู้นำระดับสูงทางพลเรือนและทหารในประเทศไ
ทยมีส่วนรับผิดชอบในส่วนผู้คนและการสั่งการ
จากหลักฐานที่แสดงในรายงานทำให้สามารถกล่าวได้ว่าครบถ้วนตามอง
ค์ประกอบของอำนาจการพิจารณาและรับวินิจฉัยคดี เช่น
มีความชอบธรรมที่จะเริ่มทำการสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานการณ์ใน
ประเทศไทย
แม้จะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยภายใต้กฏหมายระหว่างประเทศที่จะสอบส
วนการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐและนำตัวบุคคลเหล่านั้นเข้าสู่กระบวน
การยุติธรรม แต่ “การสอบสวน”
โดยรัฐบาลไทยนั้นจะจบลงด้วยการเปลี่ยนเหตุการณืทั้งหมดจากดำให้เป็
นขาวอย่างแน่นอน
เหมือนกันที่เกิขึ้นกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐในรอบสี่ทษวร
รษที่ผ่านมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
รัฐบาลไทยหลีกเลี่ยงดำเนิการสอบสวนเหตุการณ์การฆ่าหมู่กรุงเทพมหา
184
นครอย่างเหมาะสมทุกวิถีทาง
แม้เจ้าหน้าที่พลเรือนมีความตั้งใจที่จะสอบสวน
แต่ความสามารถกระทำการดังกล่าวจะถูกจำกัดโดยการที่พลเรือนไม่สา
มารถควบคุมกองทัพได้
ดังนั้นสถานการณ์ของไทยจึงมีคุณสมบัติต้องตามอำนาจพิจารณาคดีขอ
งศาลอาญาระหว่างประเทศ
ตามหลักการที่ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาคดีเมื่อรัฐไ
ม่เต็มใจหรือล้มเหลวในการสอบสวนเหตุการณ์ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศสามารถพิจารณาความธรรมของคำร้อ
งนี้ได้จากการสอบสวนที่ดำเนินอยู่ในประเทศไทยขณะนี้
ผู้ร้องเสนอให้อัยการกำหนดระยะเวลาต่อเจ้าหน้าที่รัฐไทยจะต้องตัดสินใ
จว่าการสอบสวนดังกล่าวจะลงเอยด้วยการดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่
หากอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศร้องขอ
ผู้ร้องเต็มใจและสามารถยื่นหลักฐานเพิ่มเติมจากคำร้องนี้
ซึ่งรวมถึงชื่อและข้อมูลประวัติของพยานนิรนามหลายรายที่ให้การในคำร้
องนี้
185
อ้างอิง 1 “Announcement on the Appointment of the Leader of the Council for Democratic Reform,” September 20, 2006. http://www.mfa.go.th/internet/document/2826.pdf 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 4-‐7. Full text reproduced in the Appendix.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 8-‐12.
1 Marwaan Macan-‐Markar, “Thailand: Lese Majeste Cases Rise but Public in the Dark,” Inter Press Service, May 14, 2010. http://ipsnews.net/login.asp?redir=news.asp?idnews=51434
1 Freedom House, “Freedom in the World, 2010 Edition,” http://www.freedomhouse.org 1 Human Rights Watch: “Thailand Serious Backsliding on Human Rights,” January 20, 2010. http://www.hrw.org/en/news/2010/01/20/thailand-‐serious-‐backsliding-‐human-‐rights 1 Human Rights Watch, “Thailand: Serious Setbacks in Respecting Rights,” January 25, 2011. http://www.hrw.org/en/news/2011/01/25/thailand-‐serious-‐setbacks-‐respecting-‐rights 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 13-‐21.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 22-‐23.
186
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶ 27-‐30. 1 The Prime Minister’s special directive No. 1/2553 Re: The Establishment of the Center for the Resolution of the Emergency Situation, issued on 7 April B.E. 2553 (2010). 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 32-‐33. 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 34-‐35. 1 Gary J. Ordog, Peter Dornhoffer, Greg Ackroyd, Jonathan Wasserberger, Micheal Bishop, William Shoemaker, and Subramanium Balasubramanium, “Spent Bullets and Their Injuries: the Result of Firing Weapons Into the Sky,” The Journal of Trauma Injury, Infection, and Critical Care, December 1994. 1 Expert Report of Joe Ray Witty, at ¶¶ 23-‐37. 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 36-‐37. 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 38-‐41. 1 Expert Statement of Joe Ray Witty, at ¶¶ 38-‐50.
1 See Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶ 44.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 42-‐44
1 Expert Statement of Joe Ray Witty, at ¶¶ 51-‐58.
1 Expert Statement of Joe Ray Witty, at ¶¶ 59-‐62.
1 Expert Report of Joe Ray Witty, at ¶¶ 63-‐66. The Statement of Anonymous Witness No. 15 is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Anonymous Witness No. 15 is reproduced in the Appendix.
1 The Statement of Anonymous Witness No. 2 is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Anonymous Witness No. 5 is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Mr. Bordin Vajropala is reproduced in the Appendix.
1 The Statement of Anonymous Witness No. 15 is reproduced in the Appendix.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 45-‐46.
187
1 Seh Daeng was shot in the head in front of Thomas Fuller of the New York Times. See Thomas Fuller and Seth Mydans, “Thai General Shot; Army Moves to Face Protesters, New York Times, May 13, 2010. http://www.nytimes.com/2010/05/14/world/asia/14thai.html 1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶ 53.
1 Ministry of Foreign Affairs, “Backgrounder: Current Political Situation in Thailand,” June 15, 2010, note 3. http://www.thaiembassy.sg/announcements/backgrounder-‐current-‐political-‐situation-‐in-‐thailand 1 Expert Statement of Joe Ray Witty, at ¶ 73.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 47-‐48, 52.
1 Nick Nostitz, “Nick Nostitz in the Killing Zone,” New Mandala, May 16, 2010. http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/05/16/nick-‐nostitz-‐in-‐the-‐killing-‐zone/ For an update on the fate of some of the Red Shirt protesters who were at the scene described in the report, see “Daughter of a Slain Red Shirt Hears Story of Father from Nick Nostitz,” Prachatai, June 21, 2010. http://www.prachatai.com/english/node/1899 1 Expert Report of Joe Ray Witty, at ¶74.
1 Expert Report of Joe Ray Witty, at ¶¶ 75-‐76.
1 The Statement of Krittipoj Buadee is reproduced in the Appendix.
1 The Statement of Nattapon Tongkoun is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Anonymous Witness No. 8 is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Mr. Kangsadal is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Anonymous Witness No. 12 is reproduced in the Appendix. 1 The Statement of Pratak Nutsathit is reproduced in the Appendix.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 49-‐55.
1 “Medics Banned from Entering 'Red Zones',” The Nation, May 16, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/2010/05/16/national/Medics-‐banned-‐from-‐entering-‐red-‐zones-‐30129456.html
188
1 Bill Schiller, “Why Did So Many Civilians Die in Bangkok Violence?,” The Star, May 23, 2010. http://www.thestar.com/news/world/article/813547-‐-‐why-‐did-‐so-‐many-‐civilians-‐die-‐in-‐bangkok-‐violence
1 Expert Report of Joe Ray Witty, at ¶¶ 77-‐78.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 56-‐58.
1 Expert Report of Joe Ray Witty, at ¶¶ 79-‐80. 1 Andrew Buncombe, “Eyewitness: Under Fire in Thailand,” The Independent, May 20, 2010. http://www.independent.co.uk/news/world/asia/eyewitness-‐under-‐fire-‐in-‐thailand-‐1977647.html See also: Bangkok Pundit (pseud.), “What Happened at Wat Pathum Wanaram?,” Bangkok Pundit, May 31, 2010. http://asiancorrespondent.com/bangkok-‐pundit-‐blog/what-‐happened-‐at-‐wat-‐pathum-‐wanaram
1 The Statement of Anonymous Witness No. 4 is reproduced in the Appendix. 1 The Statements of Anonymous Witnesses No. 6 and No. 9 are reproduced in the Appendix. 1 Internal Security Act, B.E. 2551 (2008), s. 3.
1 Human Rights Watch, “Thailand: Internal Security Act Threatens Democracy and Human Rights,” November 5, 2007. http://www.hrw.org/en/news/2007/11/04/thailand-‐internal-‐security-‐act-‐threatens-‐democracy-‐and-‐human-‐rights 1 For a brief account of ISOC’s disturbing human rights record, see Paul Busbarat, “Thailand, International Human Rights and ISOC,” New Mandala, January 27, 2009. http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2009/01/27/thailand-‐international-‐human-‐rights-‐and-‐isoc/ 1 Internal Security Act, B.E. 2551 (2008), ss. 4-‐5. 1 Internal Security Act, B.E. 2551 (2008), ss. 5.
1 Internal Security Act, B.E. 2551 (2008), s. 18. 1 International Commission of Jurists, “Thailand’s Internal Security Act: Risking the Rule of Law?” February 2010 (http://icj.org/IMG/REPORT-‐ISA-‐THAILAND.pdf)
189
1 “Announcement of the Centre for the Resolution of the Emergency Situation Re: Prohibition of Assembly or Gathering to Conspire, April 8 B.E. 2553 (2010).” 1 “Regulation pursuant to Section 9 of the Emergency Decree on Public Administration on Emergency Situation, B.E. 2548 (2005).”
1 “Announcement pursuant to Section 9 of the Emergency Decree on Public Administration on Emergency, Situation B.E. 2548 (2005).”
1 “Announcement pursuant to Section 11 of the Emergency Decree on Public Administration on Emergency Situation B.E. 2548 (2005).”
1 Asian Legal Resource Centre, “Thailand: Arbitrary Detention and Harassment under the Emergency Decree,” August 31, 2010. http://www.ahrchk.net/statements/mainfile.php/2010statements/2791/
1 Chris Baker, “From Smoke and Mirrors to Fear and Folly,” The Nation, February 21, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/2010/02/22/opinion/From-‐smoke-‐and-‐mirrors-‐to-‐fear-‐and-‐folly-‐30123119.html
1 “Strategy of tension” is an expression originally coined to describe a campaign of terrorism that extreme right wing groups carried out in Italy beginning with the bombings at Piazza Fontana in the late 1960s. The purpose of the campaign, which was blamed on left wing extra-‐parliamentary groups, was to prompt the Italian state to impose the State of Emergency and manipulate public opinion to support the state’s recourse to authoritarian measures.
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶¶ 24-‐26.
1 “Sabotage Threat: PM,” The Nation, March 7, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/2010/03/07/politics/Sabotage-‐threat-‐PM-‐30124083.html
1 “PM Vows to Mull Lifting Decree Urgently,” Bangkok Post, July 25, 2010. http://www.bangkokpost.com/breakingnews/187820/pm-‐vows-‐to-‐mull-‐lifting-‐decree-‐urgently
1 Statement of Anonymous Witness No. 22, at ¶ 59.
190
1 Prosecutor v. Kenya, ICC-‐01/09-‐19, Decision Pursuant to Article 15 of the Rome Statute on the Authorization of an Investigation into the Situation in the Republic of Kenya, March 31, 2010. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 32. 1 Appeals Chamber, Judgment on the Appeal of the Prosecutor against the “Decision on the Prosecution’s Application for a Warrant of Arrest against Omar, Hassan Ahmad Al Bashir,” February 3, 2010, para. 33. 1 See Elements of Crimes, Article 7(1)(a)(1). the term 'killed' is interchangeable with the expression “caused death.” 1 JP Bemba Gomba Decision, para.134. 1 Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 421; see also ICTR, The Prosecutor v. Akayesu, Case No. ICTR-‐96-‐4-‐T, “Judgment”, September 2 1998, para. 589; ICTR, The Prosecutor v Rutaganda, Case No. ICTR-‐96-‐3-‐T, “Judgment,” December 6, 1999, para. 80; ICTY, Prosecutor v. Blaskic, Case No. IT-‐35-‐14, “Judgment,” March 3, 2000, paras 216-‐217; ICTY, Prosecutor v Delalic, et al, Case No. IT-‐96-‐21, “Judgment,” November 16, 1998, para. 424. 1 See also for the same finding in Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, 1CC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 287. 1 See also ICTY, Prosecutor v Knojelac, Case No. IT-‐97-‐25, “Judgment,” March 15, 2002, paras 326-‐327. 1 P. Currat, Les crimes contre l'humanité dans le Statut de la Cour pénale internationale, (Bruylant, 2006), p. 146; ICTY, Prosecutor v Krnojelac, Case No. IT-‐97-‐25, “Judgment,” March 15, 2002, para. 329. 1 For a similar approach, see ICTY, Prosecutor v. Stokte, Case No. IT-‐97-‐24-‐T, “Judgment,” July 31, 2003, para. 201. 1 This approach was also taken in ICTR, The Prosecutor v. Akayesu, Case No. ICTR-‐96-‐40-‐T, “Judgment,” September 2, 1998, para. 282: Pursuant to a question from the Chamber as to the killing of teachers, witness K stated she was unsure how many were killed, but that she knew the names of some of them; ICTR, The Prosecutor v Kamuhanda, Case No. ICTR-‐95-‐54A-‐T, “Judgment,” January 22, 2004, para. 345: “Prosecution Witness GEA testified that he could not say how many people had died at that location, because ‘that day there were very many.’;” ICTR, The Prosecutor v Ntakirutimana, Case No. ICTR-‐96-‐10 & TCTR-‐96-‐17-‐T, “Judgment and Sentence,” February 21, 2003, para. 631: the witness specified that “many people were killed as a result of this attack.” 1 Pre Trial Chamber I, Decision on the Prosecutor’s Application for a Warrant of Arrest against Omar Hassan Ahmad Al Bashir, ICC-‐02/05/01/09-‐3, para. 36. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 39.
191
1ICC, Situation in the Democratic Republic of the Congo in the Case of the Prosecutor v. Germain Katanga and Mattieu Ngudjolo Chui, ICC-‐01/04-‐01/07 Decision on the Confirmation of the Charges, September 30, 2008, (Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717), para. 423. 1 Elements of Crimes, Article 7(l)(a) of the Statute, para. 2. 1 Figures about Iraq war casualties are from the website “Iraq Coalition Casualty Count,” http://icasualties.org/Iraq/USCasualtiesByState.aspx. 1 Human Rights Watch, “Thailand: Revoke ‘Live Fire Zones’ in Bangkok,” May 15, 2010. http://www.hrw.org/en/news/2010/05/15/thailand-‐revoke-‐live-‐fire-‐zones-‐bangkok 1 Amnesty International, “Thai Military Must Halt Reckless Use of Lethal Force,” May 18, 2010. http://www.amnestyusa.org/document.php?id=ENGNAU2010051816851&lang=e 1 Reporters Without Borders, “Thailand: Licence to Kill,” July 2010. http://en.rsf.org/IMG/pdf/REPORT_RSF_THAILAND_Eng.pdf 1 International Crisis Group, “Bridging Thailand’s Deep Divide,” ICG Asia Report 192, July 5, 2010, p. 18. http://www.crisisgroup.org/~/media/Files/asia/south-‐east-‐asia/thailand/192_Bridging%20Thailands%20Deep%20Divide.ashx
1 Marwaan Macar-‐Markan, “Jails Fill Up with Political Prisoners, Critics,” Inter-Press Service, August 23, 2010. http://ipsnews.net/news.asp?idnews=52571 1 Human Rights Watch, “Thailand: Repeal the Emergency Decree,” November 24, 2010. http://www.hrw.org/en/news/2010/11/24/thailand-‐repeal-‐emergency-‐decree 1 See Elements of Crimes, Article 7(1)(k)(1). 1 Boot, M. revised by C.K. Hall, C. K., “Article 7 -‐ Crimes against Humanity”, in O. Triffener (ed.), Commentary on the Rome Statute of the International Criminal Court, 2nd Edition (München: C.H. Beck, 2008), p.230. 1 Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 450. 1 Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 451. 1 Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 452. 1 ICTY The Prosecutor y Kordic and Cerkez, Case No. IT-‐95-‐14/2-‐A, Appeals Judgment, December 17, 2004, para. 117.
192
1 Pre-‐Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 461. 1 For English translations and summaries of the original Thai reports, see Andrew Spooner, “Thai Style Human Rights,” Siam Voices, October 3, 2010. http://asiancorrespondent.com/41045/thai-‐style-‐human-‐rights/ ) See also Andrew Spooner, “Thai Army Brutality— An Account,” Siam Voices, November 16, 2010 (http://asiancorrespondent.com/42679/thai-‐army-‐brutality-‐an-‐account/) 1 See “Panel Claims Red Shirt Inmates Tortured,” Bangkok Post, December 7, 2010.
http://www.bangkokpost.com/news/politics/210009/panel-‐claims-‐red-‐shirt-‐inmates-‐tortured
1 See Elements of Crimes, Article 7 (1) (h) (1). 1 ICTY, Krnojelac, Case No. IT-‐95-‐16-‐T, Judgment, March 15, 2002, para.436. 1 ICTY, Krnojelac, Case No. IT-‐95-‐16-‐T, Judgment, March 15, 2002, para.436.
1 “CNS’s Anti-‐Thaksin Campaign,” Bangkok Post, April 8, 2007. http://pages.citebite.com/i1t5f0u5a3yao 1 “Saprang's Cousin Given PR Work 'Because of Experience',” The Nation, Apr. 11, 2007. http://www.nationmultimedia.com/2007/04/11/politics/politics_30031650.php 1 “Nine Constitution Tribunal Members,” The Nation, October 7, 2006. http://nationmultimedia.com/breakingnews/read.php?newsid=30015571; See also “Thailand’s Struggle for Constitutional Survival,” Article 2 of the International Covenant on Civil and Political Rights (Special Edition), 6(2007), p. 4. 1 Vorajet Pakirat et al., “Decision of the Constitutional Tribunal to Dissolve Thai Rak Thai — A Legal Analysis,” Faculty of Law, Thammasat University. 1 Asian Human Rights Commission, “THAILAND: The Judiciary is the Real Loser,” May 31, 2007. http://www.ahrchk.net/statements/mainfile.php/2007statements/1041/ 1 “Junta ‘Never Harmed PPP’,” Bangkok Post, December 13, 2007. http://thailandpost.blogspot.com/2007/12/junta-‐never-‐harmed-‐ppp.html
1 “Thai Election Agency Disqualifies More Winning Candidates,” People’s Daily, January 7, 2008. http://english.people.com.cn/90001/90777/90851/6333842.html
193
1 Narongdech Srukhosit, “Some Reflections on the Dissolution of Political Parties in Thailand,” International Association of Law Schools, September 11-‐12, 2009. http://www.ialsnet.org/meetings/constit/papers/SrukhositNarongdech(Thailand).pdf 1 “EC Hits Back at Critics of Its Actions,” Bangkok Post, December 2, 2010. http://m.bangkokpost.com/topstories/209253
1 Thitinan Pongsudhirak, “Thailand's Growing Political Abyss,” OpinionAsia, December 22, 2010. http://opinionasia.com/node/850 1 Inter-‐American Commission on Human Rights, “Application to the Inter-‐American Court of Human Rights in the case of Leopoldo Lopez Mendoza (Caso 12.668) against Venezuela,” December 14, 2009. 1 See Article 7 (2) Rome Statute and Kenyan Decision on Article 15, para. 79. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 80 and Elements of Crimes, Introduction to Article 7 of the Statute, para. 3. 1 Pre-‐Trial Chamber II, ICC-‐01/05-‐01/08-‐424, Decision Pursuant to Article 61 (7) (a) and (b) of the Rome Statute on the Charges of the Prosecutor on against Jean Pierre Bemba Gomba, June 15, 2009, para 75. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 81 and JP Bemba Gomba Decision, para. 76.
1 Kenyan Decision on Article 15, para. 81and JP Bemba Gomba Decision, para. 76. 1 Kenyan Decision on Article 15, para 82. 1 Kenyan Decision on Article 15, para 82.
1 Pre-‐Trial Chamber II, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, Decision on the Confirmation of the Charges, para 396. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 89. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 93. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 93. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 93.
1 Kenyan Decision on Art. 15, para. 94, See also Pre-‐Trial Chamber I, Decision on the confirmation of charges, ICC-‐01/04-‐01/07-‐717, para. 412; ICTY, Prosecutor v. Kunarac et al. Case No. IT-‐96-‐23 & IT-‐96-‐23/1-‐A, Appeal Judgement, June 12, 2002, para. 97. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 95, ICTY, Prosecutor v. Blagojevic and Jokic, Case No. IT-‐02-‐60-‐T, Judgment, January 17, 2005, para. 545. See also Pre-‐Trial Chamber II, Decision Pursuant to Article 61(7)(a) and (b) of the
194
Rome Statute on the Charges of the Prosecutor Against Jean-‐Pierre Bemba Gombo, ICC-‐01/05-‐ 01/08-‐424, para. 83, ICTY, Prosecutor v. Blaskic, Case No. IT-‐95-‐14-‐T, Judgement, March 3, 2000, para. 206; ICTY, Prosecutor v. Kordic and Cerkez, Case No. IT-‐95-‐14/2-‐A, Appeal Judgement, December 17, 2004, para. 94; ICTY, Prosecutor v. Blaskic, Case No. IT-‐95-‐14-‐A, Appeal Judgment, July 29, 2004, para. 101. 1 ICTY, Prosecutor v. Blagojevic and Jokic, Case No. IT-‐02-‐60-‐T, Judgement, January 17, 2005, para. 545. See also Pre-‐Trial Chamber II, JP Bemba Gomba Decision, para. 83, ICTY, Prosecutor v. Blaskic, Case No. IT-‐95-‐14-‐T, Judgement, March 3, 2000, para. 206; ICTY, Prosecutor v. Kordic and Cerkez, Case No. IT-‐95-‐14/2-‐A, Appeal Judgement, December 17, 2004, para. 94; ICTY, Prosecutor v. Blaskic, Case No. IT-‐95-‐14-‐A, Appeal Judgment, July 29, 2004 , para. 101; R. Dixon, C. K. Hall, “Article 7,” in O. Triffterer (ed.), Commentary on the Rome Statute of the International Criminal Court. 1 ICTR, Prosecutor v. Akayesu, Case No. ICTR-‐96-‐4-‐T, Judgement, September 2, 1998, para. 580. 1 See Elements of Crimes, Article 7(l)(a)(2); 7(l)(d)(4); 7(1) (g)-‐l (3); (2), 7 (l)(g)-‐6 (4); 7(1) (k)(4); JP Bemba Gomba Decision, para. 85. 1 JP Bemba Gomba Decision, para. 86. See also ICTR, Prosecutor v. Kalelijeli, Case No. ICTR-‐98-‐44A-‐T, Judgement, December 1, 2003, para. 866; Prosecutor v. Semanza, Case No. ICTR-‐97-‐20-‐T, Judgement, May 15, 2003, para. 326. 1 The general objective (material) elements of a crime are referred to in article 30(2) and (3) of the Statute as conduct, consequence and circumstance. 1 JP Bemba Gomba Decision, See the elaboration on the forms of dolus in part VI of the decision, paragraphs 357 to 359. 1 ICTY, Prosecutor v. Blaskic, Judgement, March 3, 2000, Case No. IT-‐95-‐14-‐T, at 247, 251. 1 ICTY, Prosecutor v. Kunarac and others, Judgement, February 2001, Case No. IT-‐96-‐23-‐T, at 434.
1 "บรรหาร-‐เนวิน" ขวางพรรคร่วมถอนตัว คาด "อภิสิทธิ์" ลาออกหลังลุยม็อบแดงจบ อาจยืดเยื้ออีก 1 สัปดาห์,” Matichon, May 17, 2010. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1274104360&catid=01. 1 “Sansern: 500 Terrorists Infiltrating Reds,” Bangkok Post, May 14, 2010. http://www.bangkokpost.com/breakingnews/177896/500-‐terrorists-‐blending-‐with-‐reds-‐sansern
195
1 Elements of Crimes Introduction under (1).
1 Lubanga Confirmation of Charges, paras. 326-‐339. 1 Prosecutor v. Jean-Pierre Bemba Gombo, ICC 01/05–01/08, Decision Pursuant to Article 61(7)(a) and (b) on the Charges against Jean-‐Pierre Bemba Gomba, June 15, 2009 (hereafter Bemba confirmation decision), para. 350.
1 Bemba Confirmation Decision, para. 351. 1 Katanga and Chui Confirmation of Charges, paras. 500-‐510.
1 Lubanga Confirmation of Charges, paras 94-‐96; Katanga and Chui Confirmation of Charges, paras. 511-‐518. 1 Katanga and Chui Confirmation of Charges, para. 512. 1 Katanga and Chui Confirmation of Charges, para. 512. 1 Katanga and Chui Confirmation of Charges.
1 See Prosecutor v. Thomas Lubanga Dyilo, ICC-‐01/04–01/06, Decision on the Confirmation of Charges, January 29, 2007, paras. 349 ff. (352).
1 See W. A. Schabas, An Introduction to the International Criminal Court (Cambridge: Cambridge University Press, 2008), p. 78. 1 Schabas, An Introduction to the International Criminal Court, pp. 79-‐80. 1 See also Schabas, An Introduction to the International Criminal Court, p. 153. 1 Negotiated Agreement Between the International Criminal Court and the United Nations, Article 17.
1 Article 1 (1) UN Charter. 1 Article 1 (3) UN Charter. 1 Article 1 (4) UN Charter . 1 Paras 3, 4, 5 and 9 of the preamble of the Rome Statute. 1 Security Council Resolution 1422 (2002), U.N. Doc. S/ Res/1422 (2002), July 12, 2002. 1 Security Council Resolution 1487 (2003) U.N. Doc S/RES/1487 (2003), June 13, 2003. 1 Security Council Resolution 1422 U.N. Doc. S/ Res/1422 (2002), July 12, 2002. 1 Para. 6 of the preambles to Security Council Resolutions 1422 and 1487. 1 Para 7 of the preambles to Security Council Resolutions 1422 and 1487.
196
1 Héctor Olásolo, The Triggering Procedure of the International Criminal Court (Leiden: Martinus Nijhoff, 2005), p. 91.
1 See also article 17 Negotiated Agreement Between the International Criminal Court and the United Nations. 1 Olasolo, The Triggering Procedure of the International Criminal Court, p. 92. 1 Olasolo, The Triggering Procedure of the International Criminal Court, p. 93. 1 Report of the International Commission of Inquiry on Darfur to the United Nations Secretary-‐ General, Pursuant to Security Council Resolution 1564 of September 18, 2004, Geneva, 25 January 2005.
1 Report of the International Commission of Inquiry on Darfur to the United States, Secretary General, Pursuant to SC resolution 1564 of 18 September 2004, Geneva, January 25, 2005. See also Schabas, An Introduction to the International Criminal Court, p. 153. 1 Resolution 1593 of the United Nations Security Council. 1 Article 11 (1) Charter of the United Nations. 1 Article 11 (2) Charter of the United Nations. 1 Article 11 (3) Charter of the United Nations. 1 Article 12 (1) Charter of the United Nations.
1 Schabas, An Introduction 1 Pre-‐Trial Chamber II, Decision Pursuant to Article 15 of the Rome Statute on the Authorization of an Investigation into the Situation in the Republic of Kenya, ICC-‐01/09, 31 March 2010, para. 39.
1 ‘Letter of the Prosecutor dated 9 February 2006’ (Iraq). Cited in Schabas, An Introduction to the International Criminal Cour, p. 72. 1 Pre-‐Trial Chamber II, Decision Pursuant to Article 15 of the Rome Statute on the Authorization of an Investigation into the Situation in the Republic of Kenya, ICC-‐01/09, 31 March 2010, para. 65. to the International Criminal Court, p. 71.
1 Kenyan Decision on Article 15, para. 45.
1 Schabas, An Introduction to the International Criminal Court, p. 186. 1 Schabas, An Introduction to the International Criminal Court, p. 187 see also Prosecutor v. Lubanga (ICC-‐01/04-‐01/06-‐8), Decision on the Prosecutor’s Application for a Warrant of Arrest, 10 February 2006, para. 45.
197
1 Kenyan Decision on Article 15, para. 62. See also Rule 145 (10 and 2(b) (iv) of the RPE ICC. 1 Kenyan Decision on Article 15, para. 56.
1 Article 14 reads: (1) “A State Party may refer to the Prosecutor a situation in which one or more crimes within the jurisdiction of the Court appear to have been committed requesting the Prosecutor to investigate the situation for the purpose of determining whether one or more specific persons should be charged with the commission of such crimes. (2) As far as possible, a referral shall specify the relevant circumstances and be accompanied by such supporting documentation as is available to the State referring the situation.”
1 Press release of 23 June 2004, available at www.icc-‐cpi.int. Cited in Alexander Zahar and Goran Sluiter, International Criminal Law: A Critical Introduction (Oxford: Oxford University Press, 2008), p. 455-‐456.
1 Report of the Prosecutor of the International Criminal Court, Mr. Luis Moreno Ocampo, to the Security Council pursuant to UNSCR 1593 (2005), p. 5.
1 Kenyan Decision on Article 15, para. 78.
1 Enrique Carnero Rojo, “The Role of Fair Trial Considerations in the Complementarity Regime of the International Criminal Court: From ‘No Peace without Justice’ to ‘No Peace with Victor’s Justice’?” Leiden Journal of International Law, 18(2005), p. 833.
1 Tan Lian Choo, “Clashes Provoked by Group Bent on Revolt: Suchinda,” The Straits Times, May 20, 1992. 1 Thongchai Winichakul, “Remembering/Silencing the Traumatic Past: The Ambivalence Narratives of the October 6, 1976 Massacre in Bangkok,” in Cultural Crisis and Social Memory: Modernity and Identity in Thailand and Laos, eds. Charles F. Keyes and Shigeharu Tanabe (London: Routledge/Curzon, 2002), pp. 243-‐283. 1 It is noteworthy that the song has been recently dusted off for use in demonstrations by the People’s Alliance for Democracy and for playing on radios controlled by the Royal Thai Army. For reports of the former, see “Fierce PAD Nationalism on Stage,” Prachatai, November 17, 2009 (http://www.prachatai.com/english/node/1495). For reports of the latter,
198
see Andrew Walker, “Scum of the Earth,” New Mandala, September 11, 2007 (http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2007/09/11/scum-‐of-‐the-‐earth/). 1 See Alan Klima, The Funeral Casino: Meditation, Massacre, and Exchange with the Dead in Thailand (Princeton, NJ: Princeton University Press, 2004), p. 61-‐62. 1 Klima, The Funeral Casino, pp. 117-‐119. 1 For an overview, see Katherine Bowie, Rituals of National Loyalty: An Anthropology of the State and Village Scout Movement in Thailand (New York: Columbia University Press, 1997), pp. 21-‐33 and pp. 105-‐110. 1 See Ross Prizzia, Thailand In Transition: The Role of Oppositional Forces (Honolulu: Hawaii University Press, 1985), p. 69. 1 “Shootings Were in Self-‐Defence, Says Spokesman,” The Nation, May 20, 1992. 1 See Paul M. Handley, The King Never Smiles: A Biography of Thailand’s Bhumibol Adulyadej (New Haven: Yale University Press, 2006), p. 353. 1 See David Streckfuss, The Truth on Trial in Thailand: Defamation, Treason, and Lèse-Majesté (London: Routledge, 2010), Ch. 10. 1 Human Rights Watch, “Thailand: Serious Backsliding on Human Rights,” January 20, 2010. http://www.hrw.org/en/news/2010/01/20/thailand-‐serious-‐backsliding-‐human-‐rights 1 Pasuk Phongpaichit and Chris Baker, Thaksin (Chiang Mai: Silkworm, 2009), p. 276. 1 “Arrest Warrants for 2 in Court Scandal,” Bangkok Post, November 16, 2010. http://www.bangkokpost.com/breakingnews/206665/warrants-‐for-‐2-‐in-‐court-‐scandal-‐approved
1 “Court Scandals in Thailand: Judges in the Dock,” The Economist, November 11, 2010. http://www.economist.com/node/17472738
1 “Red Shirt Autopsy Results Tomorrow,” The Nation, August 22, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/Red-‐shirt-‐autopsy-‐results-‐tomorrow-‐30136337.html 1 Pongphon Sarnsamak “Anger over Riot Autopsy Report,” The Nation, August 24, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/Anger-‐over-‐riot-‐autopsy-‐reports-‐30136447.html
199
1 Pravit Rojanaphruk, “‘Leaked’ Reports Blame Military for Some Crackdown Deaths,” Prachatai, December 24, 2010. http://www.prachatai.com/english/node/2209 Pravit Rojanaphruk, “Leaked DSI Report Reveals Shooting of Teenager,” Prachatai, December 25, 2010. http://www.prachatai.com/english/node/2211 Pravit Rojanaphruk, “Leaked Reports Tie Soldiers to Two Shootings,” Prachatai, December 27, 2010. http://www.prachatai.com/english/node/2212 Pravit Rojanaphruk, “Reports Link Two More Civilian Deaths to Army,” Prachatai, January 4, 2011. http://www.prachatai.com/english/node/2224
1 Anthony Kuhn, “Thai Riots Sign Of Simmering Political Tensions,” NPR, December 17, 2010. http://www.npr.org/2010/12/17/132143512/thai-‐riots-‐sign-‐of-‐simmering-‐political-‐tensions 1 “Causes of Riot Deaths Inconclusive,” Bangkok Post, January 20, 2010. http://www.bangkokpost.com/breakingnews/217349/causes-‐of-‐riot-‐deaths-‐inconclusive 1 รองอธิบดีดีเอสไอยอมรับมี "การเมือง" แทรกแซงถูกใช้เป็นเครื่องมือเผยอยากให้องค์กร เป็นอิสระเหมือน ป.ป.ช., Matichon, 12 July 2010. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278918895&catid=17 1 “UDD Presents Long New Witness List,” Bangkok Post, August 2, 2010. http://www.bangkokpost.com/news/politics/189110/oag-‐asked-‐to-‐question-‐250-‐more-‐witnesses
1 “Prosecution Review Completed, 19 Red Shirts to Face Terrorism Trial,” The Nation, August 11, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/Prosecution-‐review-‐completed-‐19-‐red-‐shirts-‐to-‐face-‐30135707.html 1 Order dated September 27, 2010, at p. 11. An English translation of Judge Sujitra’s Order is reproduced in the Appendix.
1 Order dated September 27, 2010, at p. 10.
1 Atiya Achakulwisut, “Reconciliation Will Have Its Price,” Bangkok Post, June 15, 2010. http://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/38778/reconciliation-‐will-‐have-‐its-‐price
200
1 “Kanit Decries Chaining of Reds,” The Nation, July 24, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/Kanit-‐decries-‐chaining-‐of-‐reds-‐30134467.html 1 “Kanit Panel Calls for Transparency over Unrest Details,” The Nation, August 3, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/Kanit-‐panel-‐calls-‐for-‐transparency-‐over-‐unrest-‐det-‐30135083.html 1 Pongphon Sarnsamak, “DSI Report ‘Ambiguous, Unclear’,” The Nation, November 19, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/DSI-‐report-‐ambiguous-‐unclear-‐-‐30142568.html 1 “Kanit to Dig for Root Causes of Political Conflict,” The Nation, July 8, 2010. http://www.nationmultimedia.com/home/Kanit-‐to-‐dig-‐for-‐root-‐causes-‐of-‐political-‐conflict-‐30133319.html 1 Human Rights Watch, “Thailand: Repeal the Emergency Decree,” November 24, 2010. http://www.hrw.org/en/news/2010/11/24/thailand-‐repeal-‐emergency-‐decree 1 Marian Liebmann, Restorative Justice: How It Works (London: Jessica Kingsley Publishers, 2007), p. 33. 1 “Nuremberg Declaration on Peace and Justice,” June 13, 2008. http://www.peace-‐justice-‐conference.info/download/Nuremberg%20Declaration%20A-‐62-‐885%20eng.pdf 1 United Nations, “Updated Set of Principles for the Protection and Promotion of Human Rights through Action to Combat Impunity,” February 8, 2005.