View
10
Download
0
Category
Preview:
Citation preview
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-1แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
หน่วย ที่ 4
แนวคิด การ พัฒนา เศรษฐกิจ
รอง ศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ภูริ พันธุ์ ภิญโญ
ชื่อ รองศาสตราจารย์ดร.อนุชา ภูริพันธุ์ภิญโญ
วุฒิ M.Sc.(Economics),JONM.HUNTSMANSchoolofBusiness,
Ph.D.(Economics)OklahomaStateUniversity.U.S.A.
ตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาเกษตรศาสตร์และสหกรณ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช
หน่วย ที่ เขียน หน่วยที่4
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-2 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
หน่วย ที่ 4
แนวคิด การ พัฒนา เศรษฐกิจ
เค้าโครง เนื้อหาตอนที่4.1 การพัฒนาเศรษฐกิจ
4.1.1ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
4.1.2ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
4.1.3ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจ
ตอนที่4.2 การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
4.2.1วิวัฒนาการของการพัฒนาเศรษฐกิจ
4.2.2แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4.2.3บทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ตอนที่4.3 การพัฒนาเศรษฐกิจของโลก
4.3.1การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนา
4.3.2การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
4.3.3แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของโลก
แนวคิด1. การพัฒนาเศรษฐกิจคือความสามารถของประเทศในการที่จะสร้างหรือรักษาอัตราเติบโต
ทางเศรษฐกิจในรูปแบบการวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการ
พัฒนาเศรษฐกิจสามารถแบ่งได้เป็น2ปัจจัยหลักได้แก่ปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่
ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจได้แก่ทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรธรรมชาติ
การสะสมทุน ผู้ประกอบการ และเทคโนโลยี ส่วนปัจจัยที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ ได้แก่
คา่นยิมและสถาบนัทางสงัคมระบบการเมอืงและการปกครองทฤษฎีการพฒันาเศรษฐกจิ
ไดแ้ก่ทฤษฎีของกลุม่คลาสสกิทฤษฎีของคารล์มาร์กซ์ทฤษฎีของกลุม่นีโอคลาสสกิทฤษฎี
ของชุมปีเตอร์ ทฤษฎีของเคนส์ ทฤษฎีของรอสโทว์ ทฤษฎีความจำเริญแบบสมดุลและ
ไม่สมดุลทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างสาขาการผลิตทฤษฎีการพัฒนาที่เน้นความ
สำคัญด้านการค้าส่งออกทฤษฎีการพัฒนาเน้นความสำคัญด้านการทดแทนการนำเข้า
แนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนและแนวคิดการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียง
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-3แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
2. วิวัฒนาการของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย เริ่มจากการที่รัฐบาลออกพระราช-
บัญญัติสภาเศรษฐกิจพ.ศ.2493ทำให้มีแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยโดยผ่าน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเริ่มจากแผนพัฒนาฯฉบับที่1เมื่อพ.ศ.2504
ซึ่งเป็นการวางแผนจากส่วนกลางหรือจากบนลงล่าง เป็นแผนที่ได้รับแนวคิดด้านทฤษฎี
ความเจริญเติบโต
3. บทบาทของรัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้แก่ การชี้นำ การส่งเสริมและช่วยเหลือ
ภาคเอกชนการจดัให้มีสนิคา้สาธารณะและโครงสรา้งขัน้พืน้ฐานการปรบัปรงุการกระจาย
รายได้การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการชี้นำการพัฒนาประเทศ
4. การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระดับสูง
โดยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทุกคนให้มีอิสระเสรีภาพและมีสุขอนามัยที่ดี อาศัยใน
สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยส่วนประเทศกำลังพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ที่มีมาตรฐานการดำรงชีวิตปานกลางถึงต่ำและพื้นฐานอุตสาหกรรมยังไม่พัฒนาแนวโน้ม
การพัฒนาเศรษฐกิจของโลกสามารถแบ่งออกได้ในทวีปต่าง ๆ ได้แก่ อเมริกาและ
ยุโรปกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ประเทศในทวีปแอฟริกาประเทศในกลุ่มอาหรับประเทศ
เศรษฐกิจหลักในเอเชียเป็นต้น
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาหน่วยที่4จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1.อธิบายความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจได้
2.บอกถึงแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจได้
3.อธิบายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้
4.อธิบายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกได้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-4 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ตอน ที่ 4.1
การ พัฒนา เศรษฐกิจ
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่4.1แล้วจึงศึกษาเนื้อหาสาระพร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละตอน
หัว เรื่องเรื่องที่4.1.1ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
เรื่องที่4.1.2ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
เรื่องที่4.1.3ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจ
แนวคิด1. การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นความสามารถของประเทศในการที่จะสร้างหรือรักษาอัตราเติบโต
ทางเศรษฐกิจในรูปแบบการวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศรวมกระทั่งถึงฐานะความ
เป็นอยู่ของประชาชนในประเทศที่ดีขึ้นคุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นตลอดทั้งคุณภาพ
ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในประเทศดีขึ้น
2. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถแบ่งได้เป็น2ปัจจัยหลักได้แก่ปัจจัย
ทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ
3. ทฤษฎีวา่ดว้ยการพฒันาการเศรษฐกจิจากอดตีถงึปจัจบุนัประกอบไปดว้ยทฤษฎีสำคญัๆ
หลายทฤษฎีได้แก่ทฤษฎีคาร์ลมาร์กซ์ทฤษฎีของเคนส์ทฤษฎีของรอสโทว์
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาหน่วยที่4.1จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1. อธิบายความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจได้
2. อธิบายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจได้
3. อธิบายทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจได้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-5แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
เรื่อง ที่ 4.1.1 ความ หมาย และ ความ สำคัญ ของ การ พัฒนา เศรษฐกิจ
ความ หมาย ของ การ พัฒนา เศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจตรงกับคำในภาษาอังกฤษคือ EconomicDevelopment เป็นกระบวนการ
ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติที่แท้จริงต่อหัวของประชาชนในประเทศเพิ่มขึ้นในระยะยาวทั้งนี้การ
กระจายรายได้ของประชาชนในประเทศจะต้องไม่ด้อยหรือเลวลงไปกว่าเดิมนอกจากนี้การพัฒนาเศรษฐกิจ
ยังเป็นกระบวนการของการพัฒนาความเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงโดยมีจุดประสงค์มุ่งเน้นการเพิ่ม
มาตรฐานการครองชีพของประชาชนในประเทศนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของ
ระบบเศรษฐกิจ
ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์พัฒนาการให้ความหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจใน2ช่วงเวลากล่าวคือ
ในช่วงเวลาค.ศ. 1950ถึง 1960และในยุคหลังจากปีค.ศ. 1960มาถึงปัจจุบัน โดยในที่นี้ความหมายใน
ปีค.ศ.1950ถึง1960นักเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า เป็นความหมายแบบดั้งเดิมและหลังปีค.ศ.1960เป็น
ความหมายสมัยใหม่
การพัฒนาเศรษฐกิจในความหมายแบบดั้งเดิมนั้น หมายถึง ความสามารถของประเทศในการที่
จะสร้างหรือรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในรูปแบบการวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross
Domestic Product:GDP) อันเป็นการวัดมูลค่าของผลผลิตทั้งประเทศที่ผลิตขึ้นในประเทศหนึ่งในรอบ
ระยะเวลา1ปีซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างน้อยร้อยละ5-7หรือการวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมที่แท้จริงต่อหัวของ
ประชากร(RealGDPperHeadหรือGDP/Population) ทั้งนี้แนวคิดแบบดั้งเดิมนี้จะมุ่งเน้นการขยาย
ตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเป็นประเด็นสำคัญนั่นคือ การขยายผลผลิตมวลรวมในประเทศ
มากกว่าอัตราการขยายตัวของประชากร เพื่อให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมที่แท้จริงต่อหัวของประชากร
สูงขึ้นนั่นเอง โดยแนวคิดนี้มีความเชื่อว่า เมื่อใดก็ตาม สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมที่แท้จริงต่อหัวของ
ประชากรสูงขึ้นจะทำให้การกินดีอยู่ดีเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจจากแนวคิดนี้การพัฒนาเศรษฐกิจจะมุ่งเน้น
ไปยังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตจากการผลิตในภาคเกษตรให้ลดลง และขยายการผลิตไปยัง
ภาคอุตสาหกรรมหรือภาคอื่นๆที่ไม่ใช่ภาคเกษตร โดยเชื่อว่าการขยายการผลิตไปยังภาคอุตสาหกรรมจะ
ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานที่เพิ่มมากขึ้นและมีมูลค่าการผลิตจากภาคอุตสาหกรรมมากกว่าภาคเกษตรทำให้
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศขยายตัวในที่สุดดังนั้นในความหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม
จึงเป็นการสร้างงานการสร้างรายได้และการกระจายรายได้เป็นประการสำคัญ
การพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวคิดสมัยใหม่หลังยุคค.ศ.1960เริ่มต้นมาจากการที่นักเศรษฐศาสตร์
สังเกตว่า ในบางประเทศผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย แต่ทำไมระดับการครองชีพ
ของประชาชนและมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนจึงไม่ดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่ใช้เกณฑ์การวัดการพัฒนา
เศรษฐกิจโดยพิจารณาผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาปัจจัยอื่นประกอบด้วย
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-6 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เช่นการครองชีพความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้และอัตราการว่างงาน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคุณภาพชีวิต
ที่ดีกว่าเดิมเช่นช่วงอายุขัยของประชากรที่ยืนยาวมากขึ้นและมีความสุขการมีสิทธิและเสรีภาพในการดำรง
ชีวิต การได้รับการศึกษาที่ดีและเท่าเทียมเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษา การสาธารณสุข ความสะดวก
ของชุมชนสาธารณูปโภค รวมทั้งมีภาวะโภชนาการที่ดี ความหมายโดยรวมของการพัฒนาเศรษฐกิจ ตาม
แนวคิดสมัยใหม่หลังยุคค.ศ.1960นี้คือความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(economicgrowth)พร้อมกับ
การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นนั่นเอง
ความ สำคัญ ของ การ พัฒนา เศรษฐกิจเมื่อทราบถึงความหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว หากพิจารณาถึงความสำคัญของการพัฒนา
เศรษฐกิจจะสามารถอธิบายแยกเป็นประเด็นย่อยดังนี้
1. ช่วยปรับปรุงและยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนในประเทศให้ดีขึ้น นัก
เศรษฐศาสตร์เชื่อว่าประชาชนในประเทศมีรายได้ที่สูงขึ้นมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยเครื่องอุปโภคบริโภค
และสาธารณูปโภคอื่นๆ ที่ตนเองต้องการมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตและในการใช้ชีวิตประจำ
วันรวมทั้งความเป็นอยู่ในเรื่องที่อยู่อาศัยยารักษาโรคอาหารการศึกษาสิทธิเสรีภาพด้านต่างๆทำให้เกิด
การยกระดับมาตรฐานการครองชีพจากการที่ประชาชนในประเทศมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
2. เป็นหนทางทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง จะเห็นได้ว่า
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจจะทำให้ประเทศมีเงินทุนอย่างเพียงพอ ในการนำไปเป็นงบประมาณรายจ่ายของ
ภาครัฐในเรื่องการศึกษาการสาธารณสุขสาธารณูปโภคถนนหนทางนอกจากนี้เมื่อประเทศมีความมั่นคง
ทางเศรษฐกิจแล้วประเทศสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกได้
3. ก่อให้เกิดความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของประเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้เศรษฐกิจโลกเจริญ
ก้าวหน้าและเติบโตยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ที่ประเทศพัฒนาช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
ที่ด้อยพัฒนา เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือประเทศยากจนด้อยพัฒนาในทวีปอาฟริกา ในรูปแบบ
ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจการสนับสนุนด้านการให้ทุนหรือให้ประเทศด้อยพัฒนากู้ยืมไปลงทุนในด้าน
สาธารณูปโภคการศึกษาโครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งสาธารณสุขเงินทุนดังกล่าวมีทั้งรูปแบบการให้กู้ยืมหรือ
เงินให้เปล่า เพื่อนำไปลงทุนในการพัฒนาประเทศผลคือ ประเทศด้อยพัฒนาที่ได้รับความช่วยเหลือทาง
เศรษฐกิจจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศมากยิ่งขึ้นส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจโลกโดยภาพ
รวมดีขึ้น
นอกจากประเทศสหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือประเทศในทวีปอาฟริกาแล้ว สหรัฐอเมริกา
ยังเคยให้ความช่วยเหลือประเทศไทยในอดีตในรูปแบบต่าง ๆ จากโครงการความช่วยเหลือของประเทศ
สหรัฐอเมริกา(USAIDที่เรียกแบบชาวบ้านทั่วไปว่ายู-เสดที่จริงแล้วต้องอ่านว่า US-AIDยูเอส-เอไอดี)
นั่นคือการช่วยเหลือจากรัฐบาลอเมริกา (USAID) ช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในด้านสาธารณูปโภค
ขั้นพื้นฐานสาธารณสุขการแพทย์ โภชนาการชุมชนรวมทั้งการศึกษา โดยการให้ทุนการศึกษาส่งนักเรียน
ขา้ราชการไปศกึษาวชิาการแขนงตา่งๆ ในมหาวทิยาลยัของประเทศสหรฐัอเมรกิาเมือ่นำความรู้กลบัมาพฒันา
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-7แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ประเทศไทยนอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้ความช่วยเหลือแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย
การให้กู้ยืมเงินทุนดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภคในประเทศไทยหรือ
ในบางครั้งสหรัฐอเมริกายังให้ความช่วยเหลือประเทศไทยแบบเงินให้เปล่าในการสร้างสาธารณูปโภคและ
การคมนาคมขนส่ง เช่น การก่อสร้างถนนมิตรภาพในประเทศไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โครงการความ
ช่วยเหลือดังกล่าว เสร็จสิ้นไปแล้ว เนื่องจากประเทศไทยในปัจจุบันสามารถพึ่งพาตนเองได้แล้วในการ
พัฒนาเศรษฐกิจ
ประเทศพัฒนาและเจริญแล้วที่มีโครงการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศด้อยพัฒนา
อื่น ๆคล้ายกับประเทศสหรัฐอเมริกา เช่นประเทศอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ทำให้
การพัฒนาเศรษฐกิจโลกโดยรวมพัฒนาไปในทางดีขึ้น
เรื่อง ที่ 4.1.2 ปัจจัย ที่ เกี่ยวข้อง กับ การ พัฒนา เศรษฐกิจ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถแบ่งได้เป็น2ประเภทดังนี้
1. ปัจจัยทางเศรษฐกิจหมายถึง ปัจจัยที่มีผลหรือมีพลังต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยสามารถมี
ผลทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงปัจจัยเหล่านี้
อันได้แก่
1.1 ทรัพยากรมนุษย์(humancapital)หรือในภาษาของนักเศรษฐศาสตร์มักเรียกอีกชื่อหนึ่ง
ว่าทุนมนุษย์ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจการพัฒนาเศรษฐกิจจะขึ้น
กับขนาดของประชากรหรือจำนวนประชากรในประเทศนั้นๆ เพราะถือว่าเป็นแรงงานในการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพและประสิทธิภาพของประชากรในประเทศทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มี
คุณค่าในการพัฒนาเศรษฐกิจเนื่องจากเป็นแรงงานจะเห็นได้ว่าแม้ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไป
มากเพียงใดก็ตามแต่งานบางอย่างบางประเภทจำเป็นต้องใช้แรงงานมนุษย์ ตัวอย่าง เครื่องจักรในโรงงาน
อุตสาหกรรมมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มนุษย์เป็นผู้ควบคุมการทำงานของเครื่องจักร เครื่องจักรจะทำงาน
เองไม่ได้ เครื่องบินโดยสารต้องอาศัยมนุษย์เป็นนักบินโดยที่เครื่องบินไม่สามารถบินเองได้ถ้าไม่มีมนุษย์
ดังนั้นทรัพยากรมนุษย์จึงมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การปรับปรุงคุณภาพของประชากรมนุษย์
และเพิ่มพูนประสิทธิภาพและสมรรถนะของทรัพยากรมนุษย์จึงมีความจำเป็นเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์มี
คุณภาพดีขึ้น ซึ่งสามารถกระทำได้โดยการศึกษา การฝึกอบรมการฝึกฝน ในองค์ความรู้ และทักษะการ
ทำงานในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญและความชำนาญในเรื่องฝีมือแรงงานนอกจากนี้ยังรวมไป
ถึงการให้การสนับสนุนส่งเสริมทางด้านสาธารณสุขสุขอนามัยความเป็นอยู่การครองชีพเพื่อให้ทรัพยากร
มนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-8 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
1.2ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resource) ในทางเศรษฐศาสตร์จะหมายรวมถึงทรัพยากร
ธรรมชาติทุกชนิดทั้งในดินใต้ดินใต้น้ำและบนชั้นบรรยากาศในโลกมนุษย์ยกตัวอย่างทรัพยากรน้ำมัน
ป่าไม้ แร่ธาตุถ่านหิน เงินดีบุกทองแดงทองคำอากาศแสงแดดลมและปริมาณลมน้ำน้ำพุร้อนแสง
อาทติย์ทรพัยากรในพืน้ทะเลและมหาสมทุรที่กลา่วมาทัง้หมดลว้นแลว้แต่เปน็ปจัจยัในการพฒันาเศรษฐกจิ
ทั้งสิ้น และยังมีทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ อีกที่ไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องนี้อีกมากมาย ในทางเศรษฐศาสตร์จะ
เห็นได้ว่า ทรัพยากรธรรมชาติจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมนุษย์นำทรัพยากรธรรมชาตินั้น ๆมาใช้และก่อให้เกิด
ประโยชน์เชน่การขดุนำ้มนัขึน้มาใช้เปน็ตน้ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้จงึมีทัง้นำมาใช้และยงัไม่ได้นำมาใช้
“ความอุดมสมบูรณ์”ของทรัพยากรธรรมชาติจะก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและเป็นไป
ในทางที่ดีประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติจะก่อให้เกิดความยากลำบากในการพัฒนาเศรษฐกิจของ
ประเทศประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติมากจะนำทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ไปใช้ใน
การพัฒนาประเทศและตอบสนองความต้องการในการผลิตสินค้าเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกไปจำหน่ายใน
ต่างประเทศโดยนำทรัพยากรที่มีอยู่เหล่านั้นมาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมสร้างงานสร้างรายได้และสร้าง
อาชีพแก่ประชาชนในประเทศทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทรัพยากรต่อการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นในหลายครั้งจะเห็นได้ว่าประเทศบางประเทศในโลกที่
ขาดแคลนทรัพยากรหรือมีทรัพยากรอันจำกัดโดยธรรมชาติ แต่ประเทศเหล่านี้ก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ
ของประเทศได้เช่นประเทศอิสราเอลญี่ปุ่นฮ่องกงและสิงคโปร์เป็นต้น
ประเทศอิสราเอลมีทรัพยากรธรรมชาติจำกัดเพราะพื้นที่ของประเทศตั้งอยู่ในดินแดน
ทะเลทรายดินส่วนใหญ่เป็นดินทรายไม่อุ้มน้ำ อากาศร้อน แสงแดดจัด ไม่มีทรัพยากรป่าไม้ น้ำมัน และ
แร่ธาตุใด ๆปริมาณฝนที่ตกโดยเฉลี่ยน้อยจึงแห้งแล้ง โดยพื้นฐานของอิสราเอลแล้วมีทรัพยากรที่ได้รับ
จากธรรมชาติคือ แสงแดดทราย และน้ำจืดปริมาณน้อย แต่อิสราเอลก็สามารถพัฒนาประเทศได้โดยนำ
เข้าวัตถุดิบที่เป็นทรัพยากรที่จำเป็นจากต่างประเทศและประยุกต์กับทรัพยากรที่ตนเองมีอย่างจำกัดมาใช้
ประโยชน์มากที่สุด เช่นการคิดค้นระบบชลประทานน้ำหยด (dripping irrigration system) เพื่อใช้เป็น
เครื่องมือในการให้น้ำทางการเกษตรในการปลูกพืช นอกจากนี้อิสราเอลยังคิดค้นระบบเครื่องผลิตกระแส
ไฟฟ้าจากแสงแดด(solarcell)รวมทั้งการกลั่นน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่
ประเทศญี่ปุ่นมีภูมิศาสตร์เป็นเกาะจึงมีทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด มีการนำเข้าทรัพยากร
ธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมจากต่างประเทศรวมทั้งสินค้าอาหารบางประเภทแต่ญี่ปุ่นก็สามารถ
พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศของตนได้ในทำนองเดียวกันกับประเทศสิงคโปร์ที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด
แต่ก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้
ประเทศที่เจริญแล้วมีระบบการพัฒนาเศรษฐกิจในขั้นสูงและมีทรัพยากรอย่างอุดมสมบูรณ์
เป็นปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน อาเจนติน่า
บราซิลรวมทั้งประเทศไทย
1.3 การสะสมทุน (capital accumulation) ทุนในทางเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เงินทุน แต่ทุนทาง
เศรษฐศาสตร์หมายถึง เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ การผลิตในอุตสาหกรรมและโรงงานอุตสาหกรรม
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-9แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ต่างๆกระบวนการที่ทำให้ทุนเหล่านี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรียกว่าการสะสมทุนซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนา
เศรษฐกิจเพราะเมื่อทุนมากขึ้นในประเทศประเทศก็สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้นทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม
ในประเทศมากขึ้นหรือสุดท้ายแล้วก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของGDPนั่นเองการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมี
ปัจจัยทุนหรือสินค้าทุนได้ระบบเศรษฐกิจหนึ่งหรือประเทศหนึ่งจะต้องมีการ“ออมทรัพย์”หรือ“เงินออม”
(national saving) และนำไปลงทุนในสินค้าทุน โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อประเทศมีเงินออมมากขึ้นก็จะนำ
ไปลงทุนในสินค้าทุนมากขึ้นก่อให้เกิดการผลิตสินค้ามากขึ้น ส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศมากขึ้นมี
รายได้เข้าประเทศมากขึ้นGDPเพิ่มขึ้นก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศจะเห็นได้ว่าที่มาของสินค้า
ทุนคือ“เงินออม”
ในสภาพความเป็นจริงแล้วประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่มักจะขาดเงินออมในประเทศหรือ
มีเงินออมบ้างแต่เป็นปริมาณน้อยด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศมีรายได้ต่ำรายได้ส่วนใหญ่นำไปใช้ในการบริโภค
ในประเทศ(Y=C+S)นั่นคือนักเศรษฐศาสตร์ให้คำนิยามว่ารายได้ของประชาชน(Y)จะนำไปใช้2ทาง
ได้แก่การบริโภค(C)และเหลือจากการบริโภคคือการออม(S)ซึ่งเป็นทฤษฎีพื้นฐานพฤติกรรมผู้บริโภคใน
ประเทศประเทศจึงมีปริมาณเงินออมน้อยและนำไปลงทุนในสินค้าประเภททุนน้อยก่อให้เกิดการสะสมทุน
น้อยตามไปด้วยประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้จะระดมเงินออมจากต่างประเทศ ในการสะสมสินค้าประเภท
ทุนนั้นมาจากการลงทุนของนักลงทุนชาวต่างประเทศหรืออาจจะมาจากรูปแบบของเงินกู้ยืมและรูปแบบของ
ความชว่ยเหลอืแบบอืน่ๆการสะสมสนิคา้ประเภททนุจงึเปน็หนทางนำไปสู่การเพิม่ขึน้ของผลติภณัฑ์มวลรวม
ภายในประเทศทำให้ประเทศสามารถผลิตสินค้าและบริการออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้นประชาชนและผู้บริโภคใน
ประเทศมีสินค้าและบริการเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคเพิ่มมากขึ้นการสะสมสินค้าทุนหรือลงทุนในสินค้าทุน
ยังก่อให้เกิดการจ้างแรงงานในประเทศเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายขนาดการผลิตนั่นเอง จึงจำเป็นที่จะต้อง
ใช้แรงงานมากยิ่งขึ้นการสะสมทุนยังก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีนำไปสู่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นก่อ
ให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง (specialization)ของแรงงานในประเทศการกระจายและการแบ่งงานกัน
ทำอย่างชัดเจนการขยายขนาดการผลิตจะก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดการผลิต (economyof scale)
ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยการผลิตลดลงนอกจากนี้แล้วผลที่ตามมาของการสะสมทุนจจะก่อให้เกิดความต้องการ
พื้นฐานในการจัดหาปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นเช่นการขนส่งการพลังงานและการศึกษาเป็นต้น
1.4 ผู้ประกอบการ (entrepreneur) ในทางเศรษฐศาสตร์หมายถึงผู้ทำหน้าที่ในการรวบรวม
ปัจจัยการผลิตต่างๆนำมาใช้ในการผลิตและป็นผู้จัดการหน่วยธุรกิจในประเทศด้อยพัฒนาผู้ประกอบการ
มักขาดทักษะและประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้มีการใช้แรงงานมีประสิทธิภาพต่ำ เนื่องจากมีระบบ
การบริหารจัดการงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้แล้วในสภาพความเป็นจริงผู้ประกอบการจะต้องยอมรับกับภาวะความเสี่ยงจากการประกอบการ
และความไม่แนน่อนในการดำเนนิธรุกจิจะเหน็ได้วา่ในประเทศกำลงัพฒันาหรอืดอ้ยพฒันานัน้ผู้ประกอบการ
มักขาดความรู้และทักษะความชำนาญในช่องทางและโอกาสในการลงทุนทางธุรกิจตลาดสินค้ามีขนาดเล็ก
เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรกล่าวคือมีผู้ซื้อสินค้าจำนวนน้อยสินค้าเหลือหรือล้นตลาดขาดแคลน
เงินลงทุน ขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ ขาดแคลนวัตถุดิบ จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการในประเทศด้อยพัฒนา
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-10 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
นั้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีเงินลงทุนเขาเหล่านั้นกลับไม่นำไปลงทุนในธุรกิจแต่กลับนำไปซื้อทองคำเพชร
และอสังหาริมทรัพย์เพื่อความมั่นคงของตนเองการกระทำของผู้ประกอบการดังกล่าวถือได้ว่าไม่ก่อให้เกิด
การลงทุนในระบบเศรษฐกิจ และไม่ก่อให้เกิดกิจกรรมในทางเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ
ต่อไป
นกัเศรษฐศาสตร์แขนงพฒันาการเศรษฐกจิชาวอเมรกินัผู้มชีือ่เสยีงนามวา่ชมุปีเตอร์(Schum-
peter) กล่าวว่าหน้าที่หนึ่งของผู้ประกอบการคือการนำนวัตกรรมมาใช้ในการประกอบธุรกิจ เขากล่าวว่า
ผู้ประกอบการเปน็บคุคลสำคญั(keyman)ที่มีความสำคญัตอ่กระบวนการพฒันาเศรษฐกจิในทกุๆประเทศ
ผู้ประกอบการนั้นเป็นบุคคลที่คิดค้นสิ่งใหม่ๆในการประกอบธุรกิจ
1.5 เทคโนโลยี (technology)การพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำสมัยถือเป็นปัจจัยสำคัญ
ที่สุดในกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการผลิต การ
คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆจนก่อให้เกิดนวัตกรรมหรือผลงานวิจัยใหม่ๆจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของ
แรงงานทนุและปจัจยัอืน่ๆทำให้สามารถผลติสนิคา้และบรกิารมากขึน้เทคโนโลยียงัสามารถทำให้ลดตน้ทนุ
การผลติและเพิม่ผลผลติได้อกีดว้ยความกา้วหนา้ของเทคโนโลยีเปน็จดุกำเนดิให้แสวงหาทรพัยากรธรรมชาติ
ใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตและในอุตสาหกรรมความก้าวหน้าในเทคโนโลยีจึงเป็นปัจจัยที่
สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
2. ปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้แก่
2.1 ค่านิยมและสถาบันทางสังคม เช่น ระบบครอบครัว และระบบความเชื่อในสิ่งของมีผล
ต่อการทำงานของคนในสังคม เช่น ความขยัน ความเกียจคร้าน การเลี่ยงไม่ทำงาน หนักไม่เอาเบาไม่สู้
หยิบโหย่ง รักสบาย ทำงานน้อย พักผ่อนมาก ๆ ค่านิยมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อประสิทธิภาพและ
คุณภาพของแรงงานในระบบเศรษฐกิจและส่งผลต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจในที่สุด
ค่านิยมที่ส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่นความขยันซื่อสัตย์ซื่อตรง เที่ยงตรงยึดมั่น
ในสิ่งที่กระทำจงรักภักดีประหยัดการอดออมล้วนแล้วแต่มีผลต่อคุณภาพแรงงานและกระบวนการพัฒนา
เศรษฐกิจนอกจากนี้ยังมีค่านิยมในทางลบที่เลวทรามเป็นผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเช่นการคอรัปชั่น
การมัว่สมุการพนนัและอบายมขุตา่งๆดืม่สรุาพนนัฟตุบอลล์ซือ้หวยลว้นแลว้แต่เปน็ผลลบตอ่กระบวนการ
พัฒนาเศรษฐกิจ
2.2 ระบบการเมอืงการปกครองเปน็ปจัจยัที่มีความสำคญัปจัจยัหนึง่ตอ่การพฒันาเศรษฐกจิ
การที่ประเทศใดก็ตามมีระบบการเมือง การปกครอง และการบริหารงานแผ่นดินที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็น
อุปสรรคขัดขวางกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยเหตุนี้เองจึงต้องการระบบการเมือง การปกครอง และ
การบริหารราชการแผ่นดินที่มีประสิทธิภาพ
กล่าว โดย สรุป ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งแบ่งเป็น2ประเภท
หลัก ๆ ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ การสะสมทุน
ผู้ประกอบการ และเทคโนโลยี และปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ค่านิยมและสถาบัน
ทางสังคม รวมถึงระบบการเมืองการปกครอง ซึ่งปัจจัยหลักทั้ง 2 ประเภทที่ได้กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่มีผล
ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-11แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
เรื่อง ที่ 4.1.3 ทฤษฎี การ พัฒนา เศรษฐกิจ
ทฤษฎีและแนวคิดของการพัฒนาเศรษฐกิจมีมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งในการศึกษา
ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายสำนักซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกันออกไป
ในเรือ่งที่4.1.3นี้จะกลา่วถงึทฤษฎีการพฒันาเศรษฐกจิที่สำคญัๆ และเปน็ที่แพร่หลายในการศกึษา
การพัฒนาเศรษฐกิจนี้กล่าวถึง10ทฤษฎีอันได้แก่ทฤษฎีของกลุ่มคลาสสิกทฤษฎีของคาร์ลมาร์กซ์ทฤษฎี
ของกลุ่มนีโอคลาสสิก ทฤษฎีของชุมปีเตอร์ ทฤษฎีของเคนส์ ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจตามขั้นตอนของ
รอสโทว์ทฤษฎีความจำเริญแบบสมดุลและไม่สมดุลทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างสาขาการผลิตทฤษฎี
การพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นความสำคัญทางด้านการส่งออกและทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นความสำคัญ
ด้านการทดแทนการนำเข้า ซึ่งแต่ละทฤษฎีมีรายละเอียดและแนวความคิดที่แตกต่างกันออกไปนอกจากนี้
แล้วแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบันที่นำมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจที่แพร่หลายในปัจจุบันที่จะขอ
กล่าวถึงในที่นี้2แนวความคิดอันได้แก่แนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติและแนวคิด
การพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยซึ่งรายละเอียดจะ
ขอกล่าวดังต่อไปนี ้
1. ทฤษฎี ของ กลุ่ม คลาส สิกนักทฤษฎีกลุ่มคลาสสิก(ClassicalTheorists)จะใช้เพื่อหมายถึงกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ
ที่มีขอ้เขยีนในชว่งปลายครสิต์ศตวรรษที่18ถงึชว่งตน้ครสิต์ศตวรรษที่19ถงึแมว้า่จะมีจำนวนหลายคนแต่ที่
มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปจะได้แก่สมิธ(AdamSmith)ริคาร์โด(DavidRicardo)มัลธัส(Thomas
Multhus)และมิลล์(JohnStuartMill)นักทฤษฎีแต่ละคนที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นใน
เรื่องความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปบ้างก็ตาม แต่ถ้าจะสรุปถึงพื้นฐานของแนวคิดแล้ว
อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มนี้มีความเชื่อในกฎของธรรมชาติ (natural law)และความมีเหตุผลของมนุษย์กลุ่มนี้
จึงเชื่อว่ากลไกทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ระบบตลาดที่มีการแข่งขัน
อย่างสมบูรณ์ และมีรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องน้อยที่สุด กลุ่มนี้ชี้ให้เห็นว่า ผลผลิตและรายได้ของประเทศ
จะเกิดจากปัจจัยการผลิตประเภทที่ดิน แรงงานและทุนดังนั้น ความจำเริญทางเศรษฐกิจจึงขึ้นอยู่กับการ
เปลี่ยนแปลงในปัจจัยทั้งสามประเภทนี้ตลอดเวลาแต่โดยที่กลุ่มนี้มีความเห็นว่าที่ดินมีจำกัดประชากรขึ้น
อยู่กับค่าจ้างที่แท้จริงซึ่งอยู่ในระดับที่พอประทังชีวิตรอดนักคิดกลุ่มนี้จึงเห็นว่าทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อ
ให้เกิดความจำเริญเติบโตและทุนจะเพิ่มขึ้นได้ด้วยการออมในขณะเดียวกันกลุ่มนี้มีความเห็นต่อไปอีกว่า
ผลผลิตที่ผลิตได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง จะมีการกระจายจ่ายปันสู่ผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตทั้งสามดังกล่าว
ซึ่งแต่ละเจ้าของปัจจัยการผลิตมีอิสระในการที่จะใช้ผลผลิตหรือรายได้ในส่วนของตนไปเพื่อการบริโภคหรือ
การออมมากน้อยเพียงใดก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ผลผลิตในช่วงต่อไป จะเพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงใด จึงขึ้นอยู่กับการ
กระจายจ่ายปันและการออมว่าเป็นอย่างไร
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-12 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ตามทรรศนะของกลุ่มนี้เมื่อที่ดินมีจำกัดและถ้ามีการผลิตเพิ่มขึ้นที่ดินที่มีคุณภาพต่ำลงจะนำมา
ใช้ ค่าเช่าจึงเกิดขึ้น โดยที่ดินแปลงสุดท้ายที่มีคุณภาพเลวที่สุดจะไม่ได้ค่าเช่า ส่วนที่ดินที่มีคุณภาพดีกว่า
จะได้รับค่าเช่าผลผลิตที่ผลิตได้หลังจากหักค่าเช่าไปแล้วจะกระจายจ่ายปันไปให้แรงงานและนายทุนโดย
แรงงานจะได้รับค่าจ้างในระดับคงที่ที่เพียงพอในทางตรงกันข้ามถ้าผลกำไรของนายทุนลดน้อยลงการออม
และการลงทุนก็จะพลอยลดน้อยลงตามไปด้วยซึ่งจะมีผลทำให้ระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่ง
(stagnation)ไม่มีความจำเริญทางเศรษฐกิจแต่ประการใด
จากที่กลา่วมาแลว้จงึพอสรปุได้วา่แนวคดิที่สำคญัของกลุม่นี้จะอยู่ที่ความจำเรญิทางเศรษฐกจิทัง้นี้
โดยให้ความสำคัญที่ปัจจัยทางด้านการออมและการลงทุนและถือว่าการกระจายรายได้ที่มีความแตกต่างกัน
จะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อก่อให้เกิดการออมและการลงทุนหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้ามีความพยายามจะลดความ
เหลื่อมล้ำในรายได้ก่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นผลเสียต่อความจำเริญทางเศรษฐกิจ
โดยทำให้ความจำเริญทางเศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะหยุดนิ่งได้
2. ทฤษฎี ของ คาร์ล มาร์ กซ์แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของมาร์กซ์(KarlMarx)มีความแตกต่างไปจากกลุ่มคลาสสิก
เป็นอันมากกล่าวคือในขณะที่กลุ่มคลาสสิกมีความเห็นว่าระบบตลาดและความมีเหตุผลของมนุษย์จะนำไป
สู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแบบราบเรียบประสานประโยชน์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและสามารถ
ผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์อย่างมีดุลยภาพนั้นมาร์กซ์มีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจและสังคมจะเกิดจากความขัดแย้งระหว่างชนชั้น(classconflict)ทั้งนี้เพราะมาร์กซ์มีความเชื่อว่า
การได้มาซึ่งความมั่งคั่งและอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง และความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่รอดของอีกฝ่ายหนึ่ง
จะนำมาซึ่งการต่อสู้ในระหว่างชนชั้นของสังคมและทำให้สังคมเกิดการพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้นโดยมาร์กซ์
แบ่งชั้นของความเจริญก้าวหน้าทางสังคมออกเป็น 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นสังคมคอมมิวนิสต์โบราณ (primitive
communism)สังคมทาส(slaverysociety)สังคมศักดินา(feudalism)สังคมทุนนิยม(capitalism)และ
สังคมแบบสังคมนิยม(socialism)
ตามแนวคิดของมาร์กซ์ มนุษย์จะเป็นผู้ผลิตและมีผลิตภาพ (productive)ความสัมพันธ์ระหว่าง
มนุษย์หรือโครงสร้างทางสังคมจึงเป็นไปตามความสัมพันธ์ของการผลิต (relations of production) ที่มี
สองฝ่ายเป็นคู่กรณีเสมอเช่นความสัมพันธ์ระหว่างนายและทาสในสังคมทาสความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าขุน
มูลนายและชนชั้นไพร่ในสังคมศักดินา และความสัมพันธ์ระหว่างนายทุนผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และ
แรงงานซึ่งเป็นผู้ขายแรงงานให้กับนายทุนในสังคมทุนนิยมความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีดังกล่าวนี้ จะเป็น
ความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง และเกิดการขูดรีดระหว่างกลุ่มหรือระหว่างชนชั้นขึ้น เช่น
สังคมทาสมีการขูดรีดแรงงานส่วนเกินโดยตรง สังคมศักดินามีการขูดรีดผลผลิตส่วนเกินในรูปส่วย และ
สังคมทุนนิยมก็มีการขูดรีดค่าส่วนเกิน(surplusvalue)ของแรงงานด้วยเหตุนี้มาร์กซ์จึงชี้ให้เห็นว่าความ
สัมพันธ์ทางการผลิตของมนุษย์จะเป็นความสัมพันธ์ที่มีการเอารัดเอาเปรียบและมีการขูดรีดของฝ่ายหนึ่งต่อ
อีกฝ่ายหนึ่งก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมกันในสังคมซึ่งจะมีผลนำไปสู่การต่อสู้และ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-13แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
การทำลายล้างในระหว่างชนชั้นถึงขั้นที่ระบบสังคมเดิมถูกทำลายไปแล้วก่อรูปทางสังคมขึ้นใหม่ในระดับขั้น
ที่สูงขึ้นกว่าเดิมไปตามลำดับ
มาร์กซ์ให้ความสนใจในชั้นสังคมทุนนิยมและมีความเห็นว่ระบบนี้สามารถพัฒนาหรือขยายผลผลิต
และรายได้ไปสู่ในระดับที่สูงได้ในการขยายผลผลิตและรายได้นั้นถึงแม้ว่าจะขึ้นอยู่กับแรงงานที่ดินทุนและ
เทคโนโลยีก็ตามแต่มาร์กซ์ให้ความสำคัญไปที่การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีและแรงงานโดยกล่าวว่าความ
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเสมือนเครื่องยนต์ที่ผลักดันให้ระบบนี้มีความเจริญก้าวหน้า ในขณะเดียวกันความ
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับการลงทุน และส่วนหนึ่งของการลงทุนก็มาจากมูลค่าส่วนเกินที่นายทุน
ขูดรีดมาจากแรงงานตามความคิดของมาร์กซ์ระบบทุนนิยมจะไม่เข้าสู่สภาวะหยุดนิ่งหากแต่จะมีความเจริญ
ก้าวหน้าไปสู่ระดับที่สูงแล้วจึงแตกสลาย(breakdown)ทั้งนี้เพราะมาร์กซ์มีความเชื่อว่าเทคโนโลยีที่มีความ
ก้าวหน้ามาก จะเป็นเทคโนโลยีประเภทประหยัดแรงงาน (labor-saving technology) ดังนั้น ถ้ามีการใช้
เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นจะทำให้มีการว่างงานเป็นจำนวนมากและความทุกข์ยากของกรรมกรจะ
มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวซึ่งจะพัฒนาไปสู่ข้อขัดแย้งระหว่างชนชั้นและการทำลายล้างระบบทุนนิยมในที่สุด
จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่า ระบบทุนนิยมในสายตาของมาร์กซ์จะเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของ
ววิฒันาการทางสงัคมที่ทกุประเทศจะตอ้งผา่นเพือ่มุง่ไปสู่ระบบสงัคมนยิมการพฒันาทางเศรษฐกจิและสงัคม
ของประเทศจึงมีเพียงหนทางเลือกเพียงหนทางเดียวเปรียบเสมือนหนึ่งมีถนนเพียงสายเดียวที่เดินได้แต่ใน
สภาพความเป็นจริงแล้วการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจะมีกระบวนการป้อนกลับ(feedback)
ของข้อมูลข่าวสารอยู่ภายในระบบซึ่งจะมีส่วนช่วยในการปรับปรุงแก้ไขปัญหาและการแสวงหาแนวทางการ
พัฒนาที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปภายใต้ระบบเศรษฐกิจและ
สังคมที่เป็นอยู่ได้เสมอตลอดเวลา
3. ทฤษฎี ของ กลุ่ม นี โอ คลาส สิกนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนีโอคลาสสิก(Neo-classicalTheorists)จะใช้เมื่อหมายถึงกลุ่มนักเศรษฐ-
ศาสตร์ที่มีผลงานและมีชื่อเสียงในราวค.ศ.1890-1920 เช่นจีวอนส์(StanleyJevans)มาร์แชล(Alfred
Marshall)แมนเจอร์(CarlManger)วอลรัส(LeonWalras)และวิคเซลล์(KnutWicksell)โดยพื้นฐาน
ของแนวคิดแล้วนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้จะให้ความสนใจไปที่เศรษฐศาสตร์จุลภาคและปัญหาเศรษฐกิจใน
ระยะสั้น ทั้งนี้เพราะในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19ประเทศในยุโรปตะวันตกมีอัตราความเจริญก้าวหน้า
ทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและมีการค้นพบทรัพยากร
นักเศรษฐศาสตร์ในยุคนั้นจึงมีความเชื่อว่าความเจริญทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ในอัตราที่สูงต่อไปเรื่อย ๆ
เพราะการปรับปรุงเทคโนโลยีนอกจากนั้นค่าจ้างแท้จริงที่ปรากฏอยู่ก็สูงกว่าระดับพอประทังชีวิตอัตรากำไร
ก็อยู่ในเกณฑ์สูง และค่าเช่าก็ไม่ได้มีสัดส่วนที่สูงในรายได้ของชาติ ความกลัวเรื่องสภาวะหยุดนิ่งของความ
จำเริญทางเศรษฐกิจจึงไม่มีอีกต่อไปดังนั้นนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้จึงหันมาให้ความสนใจที่ปัญหาระยะสั้น
โดยเฉพาะเรื่องการกระจายรายได้ทฤษฎีราคาและมูลค่า
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-14 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ถึงแม้ว่านักคิดกลุ่มนี้จะไม่ให้ความสนใจโดยตรงต่อปัญหาความจำเริญทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ก็ตามแต่แนวคิดในบางเรื่องของกลุ่มนี้ก็มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจ
ได้เช่นกันโดยเฉพาะกลุ่มนี้เน้นให้ความสำคัญไปที่การจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพภายใต้ระบบตลาด
ที่มีการแข่งขันสมบูรณ์การทดแทนกันได้ในระหว่างทุนและแรงงานในการผลิตบทบาทของอัตราดอกเบี้ยที่
มีต่อการออมและการลงทุนและการเน้นถึงความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิด
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการผลิตและรายได้ของชาติ
อย่างไรก็ดี แนวคิดของกลุ่มนี้ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงและแตกต่างไปจากกลุ่มของคลาสสิก ส่วนที่
คล้ายคลึงกันได้แก่ทั้งสองกลุ่มต่างมองการพัฒนาเศรษฐกิจไปที่การพิ่มรายได้และผลผลิตและต่างก็มอง
กระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจว่าเป็นกระบวนการแบบราบเรียบ(smoothprocess)ค่อยเป็นค่อยไปอย่าง
ต่อเนื่อง(gradualandcontinuous)และผลประโยชน์ของทุกฝ่ายสามารถประสานกันได้(harmonious)
นั่นคือผลประโยชน์ของการพัฒนาเศรษฐกิจจะตกแก่กลุ่มรายได้ต่างๆอย่างทั่วถึง
สำหรับข้อแตกต่างระหว่างแนวคิดของกลุ่มนี้และกลุ่มคลาสสิกจะได้แก่
3.1กลุ่มนี้ไม่เชื่อว่าการพัฒนาเศรษฐกิจจะเข้าสู่สภาวะหยุดนิ่งทั้งนี้เพราะความเจริญก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยีจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวและต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงในขณะเดียวกันกลุ่มนี้ยัง
เชือ่อกีวา่การออมทรพัย์เปน็นสิยัของมนษุย์โดยทัว่ไปทำให้ประเทศสามารถทำการออมและลงทนุได้เพยีงพอ
ซึ่งจะทำให้การสะสมทุนและความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นไปได้เสมอตลอดเวลา
3.2จุดเด่นที่ทำให้กลุ่มนี้มีความแตกต่างไปจากกลุ่มคลาสสิกอย่างเห็นได้ชัดคือกลุ่มนี้ให้ความ
สำคัญไปที่การทดแทนกันได้ในระหว่างทุนและแรงงานในกระบวนการผลิตทั้งนี้กลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการใช้
ปัจจัยการผลิตไม่จำเป็นต้องอยู่ในสัดส่วนคงที่ตลอดไปผู้ผลิตสามารถใช้ทุนและแรงงานทดแทนกันได้ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับราคาและประสิทธิภาพของปัจจัยการผลิตทั้งสอง
3.3ถึงแม้กลุ่มนี้จะเห็นด้วยกับกลุ่มคลาสสิก การค้าอย่างเสรีที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีความ
ได้เปรียบ เมื่อได้เปรียบเทียบแล้ว จะทำให้ประเทศที่ค้าขายกันทุกประเทศได้ผลประโยชน์จากการค้า การ
ขยายตลาดการเพิ่มการแบ่งงานกันทำตามความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและ
การเพิ่มรายได้ของประเทศก็ตามแต่กลุ่มนี้มีความเห็นว่า ในบางกรณีนโยบายการให้ความคุ้มครองก็เป็น
สิ่งจำเป็นเช่นกันโดยเฉพาะในกรณีที่จะช่วยให้มีการก่อตั้งอุตสาหกรรมขึ้นใหม่ในประเทศ
4. ทฤษฎี ของ ชุม ปี เตอร์ชุมปีเตอร์(JosephSchumpeter)เขียนตำราเกี่ยวกับทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจ(TheTheoryof
EconomicDevelopment)เมือ่ค.ศ.1911ซึง่มีประเดน็สำคญัพอสรปุได้วา่การพฒันาเศรษฐกจิจะเปน็เพยีง
ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไม่สามารถจะอธิบาย
ได้ โดยอาศัยแต่เพียงสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น หากแต่จะต้องอธิบายในลักษณะที่
ระบบเศรษฐกจิมีการปรบัตวัเมือ่เกดิปรากฏการณ์ใหม่ๆ ขึน้ภายในระบบเศรษฐกจิซึง่โดยทัว่ไปปรากฏการณ์
ใหม่ ๆ นี้จะเกิดจากผู้ผลิตเป็นสำคัญด้วยเหตุนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจจึงเป็นส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-15แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
แตกต่างไปจากสภาพดุลยภาพและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ
การมีความคิดใหม่ๆ(innovation)ขึ้นซึ่งอาจจะประกอบไปด้วย
1) การผลิตสินค้าใหม่หรือที่มีคุณภาพใหม่
2)การใช้วิธีการผลิตแบบใหม่ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงการบรรจุหีบห่อใหม่
3)การเปิดตลาดสินค้าและบริการใหม่
4)การค้นพบทรัพยากรและแหล่งอุปทานของวัตถุดิบแหล่งใหม่และ
5)การจัดองค์การใหม่ของอุตสาหกรรม เพื่อให้มีอำนาจการผูกขาดหรือขจัดการผูกขาดเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพของการบริหารและการดำเนินการ
ดังนั้นสิ่งสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจตามทรรศนะของชุมปีเตอร์จึงได้แก่ปริมาณของการมีสิ่ง
ใหม่ๆ (volumeofinnovations)การแพร่กระจายของสิ่งใหม่ๆ และการมีบริษัทใหม่ๆ เกิดขึ้นนอกจากนั้น
ชุมปีเตอร์ยังกล่าวอีกว่าสิ่งใหม่ๆดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีผู้ประกอบการผลิต(entrepreneurs)ซึ่ง
จะได้แก่ บุคคลที่มีความคิดใหม่ กล้าเสี่ยง และกล้าลงทุนผู้ประกอบการผลิตในสายตาของชุมปีเตอร์จึง
ไม่ใช่ผู้จัดการ(managers)หากแต่เป็นผู้มีความคิดใหม่(innovators)ซึ่งอาจเทียบได้กับผู้บริหารในวงการ
ธุรกิจในปัจจุบัน
เมื่อการพัฒนาเศรษฐกิจเกิดจากการผลิตใหม่ๆ โดยผู้ประกอบการผลิตจะเป็นผู้ตอบสนองต่อช่อง
โอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นและโดยที่ช่องโอกาสใหม่ๆ นี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ คล้ายกับลูกคลื่นที่
ตามหลังการมีความคิดใหม่ๆดังนั้นจึงทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจมีลักษณะที่ไม่ราบรื่นไม่ต่อเนื่องแต่เป็น
แบบวัฏจักรคล้ายกับวัฏจักรธุรกิจโดยการพัฒนาเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อผู้ประกอบการผลิตเล็งเห็นถึงกำไร
ผู้ประกอบการผลิตก็จะเริ่มลงทุนและทำการผลิตสินค้าและบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดและเมื่อมีกำไรสูงขึ้น
ผู้ประกอบการผลิตจะขยายการลงทุนใหม่ ๆ อีกต่อไป ถ้าเงินลงทุนมีไม่เพียงพอจะมีการขอกู้ยืมเงินจาก
ธนาคารซึ่งจะมีผลทำให้อุปทานของเงินเพิ่มขึ้นธุรกิจขยายตัวรสนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปโดยการ
ชักนำของผู้ผลิตตลาดจะขยายตัวธุรกิจและอุตสาหกรรมก็จะเจริญเติบโตขึ้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
จึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากความคิดริเริ่มและการดำเนินงานของผู้ประกอบการผลิตเป็นสำคัญ
นอกจากนั้นชุมปีเตอร์ยังมีความเห็นอีกว่ากระบวนการพัฒนาตามแนวที่กล่าวข้างต้นอาจจะสะดุด
หยุดลงแล้วเริ่มขึ้นใหม่ในระดับที่สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อธุรกิจและอุตสาหกรรมมีความเจริญเติบโต
ขึ้นอาจมีผลทำให้ธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้หรือไม่ก็อาจถูกบริษัทใหญ่กลืนไปในขณะ
เดียวกัน ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีอยู่อาจจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีขนาดที่ใหญ่เกินไปทำให้ไม่มี
ประสิทธิภาพและความคล่องตัวเท่าที่ควร แต่หลังจากที่มีการซบเซาแล้ว กระบวนการพัฒนาจะเริ่มต้นขึ้น
อีกดังนั้นด้วยความสามารถของผู้ประกอบการผลิตและการมีการผลิตใหม่ๆจะมีผลทำให้ระบบเศรษฐกิจ
เกิดการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นได้อีกวนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-16 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
5. ทฤษฎี ของ เคน ส์หลังจากชุมปีเตอร์แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านใด ให้ความสนใจเกี่ยวกับ
ทฤษฎีและแนวคิดทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งนี้เพราะนักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากในขณะนั้นต่างให้ความ
สนใจไปที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมีความเชื่อในระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (laissez-faire) แต่
ภายหลังจากที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษที่1930แล้วนักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากก็เริ่มตระหนัก
ถึงข้อจำกัดของกลไกตลาดและเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นนับตั้งแต่ทศวรรษที่1930เป็นต้นมาลัทธิเศรษฐศาสตร์แบบเสรีนิยมก็ถึงจุดอวสานและเกิดทฤษฎี
และแนวคิดใหม่ขึ้นทั้งนี้โดยเคนส์ (J.M.Keynes) เป็นผู้เสนอทฤษฎีทั่วไปเกี่ยวกับการจ้างงานดอกเบี้ย
และการเงินซึ่งจัดพิมพ์ในค.ศ.1936ทฤษฎีของเคนส์ตามที่ปรากฏอยู่ในหนังสือดังกล่าวนับว่ามีอิทธิพล
ต่อแนวคิดในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะต่อมา โดยเฉพาะจะมีอิทธิพลต่อทฤษฎีและแนวคิดใน
การพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่1950-1960
แนวคิดพื้นฐานของเคนส์จะประกอบด้วยรายจ่ายเพื่อการบริโภคทั้งหมด(C)การลงทุนของเอกชน
ทั้งหมด(I)รายจ่ายรวมของรัฐบาล(G)และรายได้ของชาติ(Y)ทั้งนี้โดยY=C+I+Gถ้ารายจ่ายทั้งสิ้น
หรือรายได้ของชาติอยู่ในระดับที่ไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการจ้างงานเต็มที่แล้วรัฐบาลก็ควรเข้ามากระตุ้น
รายจ่ายเพื่อการบริโภค โดยการลดภาษีหรือให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภคในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือมิเช่นนั้นก็ต้อง
พยายามส่งเสริมการลงทุนของเอกชนด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย ลดภาษีธุรกิจและลดข้อจำกัดในการให้
สินเชื่อแต่ถ้ามาตรการต่างๆ ไม่ได้ผลก็ยังเหลือทางแก้สุดท้ายนั่นคือการเพิ่มรายจ่ายของภาครัฐบาลดังนั้น
ถ้าเกิดการว่างงานขึ้นรัฐบาลควรดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลในทางตรงข้ามถ้าเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น
รัฐบาลควรตัดทอนรายจ่ายของรัฐบาลลงแนวคิดพื้นฐานของเคนส์ดังกล่าวข้างต้นยังนำไปสู่การพัฒนาระบบ
บัญชีรายได้ของชาติอีกด้วย
ถึงแม้ว่า ทฤษฎีของเคนส์จะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า นอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ตกต่ำครั้งใหญ่แล้วยังสามารถนำมาใช้ในเศรษฐกิจยามสงครามอย่างได้ผลโดยปราศจากเงินเฟ้ออีกด้วยแต่
ประเด็นปัญหายังคงมีอยู่ทั้งนี้เพราะทฤษฎีของเคนส์จะเน้นไปที่ความมีเสถียรภาพในระยะสั้นในขณะที่การ
พฒันาเศรษฐกจิจะเนน้ไปที่ความเจรญิกา้วหนา้ทางเศรษฐกจิที่สมำ่เสมอในระยะยาวดงันัน้นกัเศรษฐศาสตร์
การพัฒนาภายหลังเคนส์จึงหันมาสนใจในเรื่องของความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่มีความสม่ำเสมอ
(steadygrowth)ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎีว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 1950 จึงเน้นไปที่ความ
จำเริญทางเศรษฐกิจที่สม่ำเสมอมีการว่าจ้างทำงานเต็มที่และความมีเสถียรภาพทางด้านราคา
6. ทฤษฎี การ พัฒนา เศรษฐกิจ ตาม ขั้น ตอน ของ รอส โทว์ ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจกันมากในช่วงทศวรรษที่1960โดยรอสโทว์(W.W.Rostow)
เสนอแนะให้พัฒนาเศรษฐกิจไปตามขั้นตอนดังเช่นที่ประเทศพัฒนาเคยผ่านมาทั้งนี้เพราะเขามีความเชื่อว่า
ทกุประเทศในโลกนี้สามารถจดัให้อยู่ในขัน้ตอนใดขัน้ตอนหนึง่ใน5ขัน้ตอนที่เขากำหนดขึน้คอืขัน้สงัคมแบบ
ดั้งเดิม(traditionalsociety)ขั้นเตรียมการ(preconditionsfortake-off)ขั้นทะยานขึ้น(take-off)ขั้นไปสู่
ความเจริญเติบโตเต็มที่(drivetomaturity)และขั้นอุดมโภคา(theageofhighmassconsumption)
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-17แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
รอสโทว์ชี้ให้เห็นว่า ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกที่อยู่ในขั้นทะยานขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1783-
1802ส่วนประเทศอื่นๆเช่นประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในขั้นนี้ในช่วงค.ศ.1843-1860ประเทศญี่ปุ่นอยู่ใน
ช่วงค.ศ.1878-1900ประเทศอินเดียและประเทศจีนเข้าสู่ขั้นนี้นับตั้งแต่ค.ศ1950เป็นต้นมาแต่ประเทศ
สหรฐัอเมรกิาก็เปน็ประเทศแรกที่เขา้สู่ขัน้อุดมโภคาในระหวา่งค.ศ.1917-1924และประเทศในยโุรปตะวนัตก
และญี่ปุ่นเข้าสู่ขั้นนี้ นับตั้งแต่ ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สำหรับประเทศด้อยพัฒนานั้น ส่วนมากจะอยู่ใน
ขั้นสังคมแบบดั้งเดิมและขั้นเตรียมการดังนั้นจึงควรเจริญรอยตามแบบอย่างประเทศพัฒนา
ประเด็นสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีนี้ได้รับความสนใจมากคือ แต่ละประเทศสามารถก้าวทะยานขึ้นไปสู่
ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจได้ในระยะเวลาประมาณสองทศวรรษหรือมากกว่าทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่า
1) อัตราการลงทุนจะต้องเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณร้อยละ 5 เป็นมากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้
ประชาชาติ
2)มีอุตสาหกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นเพื่อเป็นสาขานำ(leadingsector)ในการพัฒนาเศรษฐกิจ
3)มีการพัฒนาสถาบันทางสังคมและการเมือง
กลยุทธ์ที่สำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวนี้จึงได้แก่การระดมเงินออมทั้งจากภายในและ
ภายนอกประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในระดับที่เพียงพอที่จะเร่งรัดความจำเริญทางเศรษฐกิจ
ของประเทศให้สูงขึ้นส่วนเงินออมและเงินลงทุนควรจะมีมากน้อยเพียงใดจึงจะก่อให้เกิดความจำเริญทาง
เศรษฐกิจตามที่ต้องการนั้นสามารถอธิบายได้โดยอาศัยทฤษฎีความจำเริญเติบโตของฮาร์รอด-โดมาร์ดังที่
กล่าวมาแล้วสำหรับการเลือกกิจกรรมหรือสาขานำเพื่อการลงทุนนั้นทฤษฎีความจำเริญทางเศรษฐกิจแบบ
สมดุลและไม่สมดุลก็ให้แนวคิดไว้ดังรายละเอียดที่จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
7. ทฤษฎี ความ จำเริญ เติบโต แบบ สมดุล และ ไม่ สมดุล ในการพัฒนาเศรษฐกิจนั้น ถ้านักพัฒนาทราบว่าควรจะลงทุนในกิจกรรมหรืออุตสาหกรรมใด
แล้วย่อมจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนและการจัดสรรทรัพยากรในประเด็นนี้นักเศรษฐศาสตร์
การพัฒนาเสนอแนะทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับแบบแผนการพัฒนาแบบสมดุลและไม่สมดุลซึ่งสามารถนำ
มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ดังนี้
7.1ทฤษฎีความจำเรญิเตบิโตแบบสมดลุทฤษฎีความจำเริญเติบโตแบบสมดุลจะมีอยู่3แบบด้วย
กันแต่ละแบบก็จะมีแนวคิดที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันดังนี้
แบบ แรกเป็นแบบที่เสนอโดยโรเซนสไตน์-โรแดน(P.N.Rosenstein-Rodan)ซึ่งถือว่าเป็นแบบที่
แคบที่สุดและมีสาระสำคัญพอสรุปได้ว่าเมื่อรายได้เฉลี่ยของประเทศด้อยพัฒนาอยู่ในระดับต่ำและอุปสงค์
มีน้อยไม่เพียงพอที่จะส่งเสริมการลงทุนดังนั้น ถ้าจะแก้ไขปัญหาตลาดแคบที่เกิดจากการมีอำนาจซื้อที่ไม่
เพียงพอจึงต้องตั้งโรงงานผลิตสินค้าบริโภคหลายๆโรงงานพร้อมกันเช่นตั้งโรงงานผลิตรองเท้าโรงสีข้าว
โรงงานผลิตแป้งมันโรงงานผลิตรถจักรยานและโรงงานผลิตขนมปัง เป็นต้นทั้งนี้ เพื่อช่วยให้คนมีงานทำ
และมีอำนาจซื้อที่มากเพียงพอถ้าตั้งโรงงานเพียงแห่งเดียว ถึงแม้ว่าจะใช้วิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง
ก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้นานเพราะตลาดมีไม่เพียงพอสำหรับผลผลิตที่ผลิตได้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-18 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
การที่โรเซนสไตน์-โรแดน เสนอการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวนี้ ก็เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศใน
ยุโรปตะวันออกและตะวันตกเฉียงใต้ในขณะนั้น ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ผลิตสินค้าการเกษตรเป็น
สินค้าออก และซื้อเครื่องจักรเครื่องมือในการผลิตมาจากต่างประเทศ และประเทศเหล่านี้ก็มีโครงสร้าง
พื้นฐานทางเศรษฐกิจ และมีทรัพยากรที่ใช้ในการลงทุนต่าง ๆ อยู่อย่างเพียงพอแล้วด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะ
กระตุ้นให้เกิดการพัฒนา จึงเน้นแต่เฉพาะการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าบริโภคหลายๆ ชนิด
พร้อมกันเพื่อขยายขนาดของตลาดและเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชน
แบบ ที่ สอง เป็นแบบที่รวมเอาโครงการลงทุนขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจเข้าไว้และมีการตั้งโรงงาน
อุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าบริโภคหลายๆโรงงานตามแบบแรกทั้งนี้เพราะประเทศด้อยพัฒนาส่วนใหญ่
มักจะขาดแคลนโครงสร้างขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง การพลังงาน ไฟฟ้า
น้ำประปา และแม้กระทั่งการศึกษาและสาธารณสุขดังนั้น กลยุทธ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจตามแบบที่สอง
จึงผนวกรวมโครงสร้างขั้นพื้นฐานต่าง ๆดังกล่าวเข้าไว้ด้วย และมีผลทำให้อัตราส่วนของทุนต่อผลผลิตที่
ต้องการตามกลยุทธ์นี้สูงกว่าแบบแรก
แบบ ที่ สาม เป็นแบบของการลงทุนขนานใหญ่ (big push) คือ นอกจากจะมีการลงทุนด้าน
อุตสาหกรรมการบริโภค และโครงสร้างขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจตามแบบที่สองแล้ว ยังรวมถึงการลงทุน
ทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าประเภททุนเข้าไว้ด้วย โดยทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่า ถ้าจะให้การพัฒนา
ประเทศประสบความสำเร็จแล้วจะต้องมีการทุ่มเทการลงทุนอย่างขนานใหญ่ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ขนาด
ของตลาดมีการขยายตัวและได้ประโยชน์จากการประหยัดภายใน(internaleconomies)เท่านั้นแต่ยังก่อ
ให้เกิดการประหยัดภายนอก(externaleconomies)จากการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมหลายๆประเภทที่มี
ความต่อเนื่องทางเทคนิคซึ่งกันและกันอีกด้วยการลงทุนผลิตสินค้าประเภททุนจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุดของ
การพัฒนาตามแนวนี้
7.2 ทฤษฎีความจำเริญเติบโตแบบไม่สมดุล ทฤษฎีนี้เสนอโดยเฮิร์ซแมน (A.O.Hirschman)
ซึ่งมีความเห็นว่า ปัญหาสำคัญของประเทศด้อยพัฒนาคือการขาดแคลนความสามารถในการลงทุน (the
abilitytoinvest)ดังนั้นการที่จะเร่งรัดให้มีการลงทุนอย่างขนานใหญ่ในทุกๆ ด้านพร้อมกันย่อมเป็นไปไม่
ได้กลยุทธ์การพัฒนาที่ถูกต้องจึงอยู่ที่การใช้ความสามารถในการลงทุนอย่างประหยัดโดยพยายามเลือกสรร
การลงทุนในโครงการต่างๆ ที่เมื่อมีการจัดตั้งขึ้นแล้วจะชักนำให้เกิดการลงทุนในกิจการอื่นๆ ติดตามมาให้
มากที่สุดนั่นคือการเลือกการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีผลเชื่อมโยงไปข้างหน้า(forwardlinkageeffects)
หรือมีผลเชื่อมโยงไปข้างหลัง(backwardlinkageeffects)ที่มากที่สุด
อุตสาหกรรมที่มีผลเชื่อมโยงไปข้างหน้า ได้แก่ อุตสาหกรรมที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะชักนำให้เกิด
อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้ผลผลิตของอุตสาหกรรมนั้นเป็นปัจจัยการผลิตเช่นถ้าส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรม
ผลิตเหล็กกล้าขึ้นแล้วเหล็กกล้าที่ผลิตขึ้นมาได้จะชักนำให้เกิดอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้เหล็กกล้าเป็นวัตถุดิบ
เกิดขึ้นได้ส่วนอุตสาหกรรมที่มีผลเชื่อมโยงไปข้างหลังได้แก่อุตสาหกรรมที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะชักนำให้เกิด
อุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตปัจจัยการผลิตให้กับอุตสาหกรรมเริ่มแรกเช่นถ้ามีการส่งเสริม
ให้มีการตั้งโรงงานผลิตอาหารกระป๋องขึ้นโรงงานนี้ก็ต้องการปัจจัยการผลิตประเภทกระป๋องก็จะชักนำให้เกิด
อุตสาหกรรมผลิตกระป๋องขึ้นเป็นต้น
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-19แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีผลเชื่อมโยงดังกล่าวจึงก่อให้เกิดความไม่สมดุลในกิจกรรมการผลิต
ต่างๆขึ้นและความไม่สมดุลนี้เองที่จะกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเศรษฐกิจ
ก็จะเกิดขึ้น
นอกจากความไม่สมดุลในระหว่างกิจกรรมการผลิตแล้วเฮิร์ซแมนยังชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลใน
ระหว่างพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของกิจกรรมต่างๆ อีกด้วยกล่าวคือเมื่ออุตสาหกรรมที่มีผลเชื่อมโยงนี้ไปตั้งดำเนิน
การอยู่ในพื้นที่ใดแล้วจะชักนำให้เกิดอุตสาหกรรมและกิจการต่างๆ มาตั้งดำเนินการอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
กันซึ่งจะก่อให้เกิดความประหยัดภายนอกขึ้นจากการที่กิจกรรมต่างๆมาตั้งดำเนินการอยู่ภายในบริเวณ
ใกล้เคียงกันและจะมีผลทำให้พื้นที่นี้เป็นจุดศูนย์กลางของความจำเริญเติบโต (growingpoint)และเมื่อ
พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเกิดความจำเริญเติบโตขึ้นก็จะส่งผลในทางแพร่กระจาย(trickling-downeffects)ไปสู่
บรเิวณโดยรอบโดยจดุศนูยก์ลางจะซือ้ผลผลติและจา้งแรงงานมาใช้ในการผลติและการขยายงานซึง่จะทำให้
พื้นที่โดยรอบหรือภาคอื่นๆ มีความจำเริญเติบโตตามไปด้วยตามทรรศนะของเฮิร์ซแมนความจำเริญเติบโต
ระหว่างภาคหรือระหว่างพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของประเทศ จะมีลักษณะของความจำเริญเติบโตแบบไม่สมดุล
เช่นกัน แนวคิดดังกล่าวนี้ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับ
การพัฒนาภาคในระยะต่อมา
8. ทฤษฎี การ พัฒนา เศรษฐกิจ ระหว่าง สาขา การ ผลิต ทฤษฎีนี้มุ่งที่จะอธิบายถึงการพัฒนาเศรษฐกิจจากลักษณะโครงสร้างของประเทศด้อยพัฒนาเป็น
หลักโดยหลุยส์(ArthurLewis)เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกที่สังเกตพบว่าสภาพการณ์ในระยะเริ่มแรก
ของประเทศด้อยพัฒนาจะมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกับสภาพก่อนหน้าที่จะมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมใน
ประเทศพัฒนานั่นคือการมีแรงงานมากดังนั้นเขาจึงเห็นว่าทฤษฎีที่จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ของประเทศด้อยพัฒนาควรจะเป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากข้อสมมติต่างๆตามแนวของกลุ่มคลาสสิกมากกว่า
ของกลุ่มนีโอคลาสสิกจากข้อสังเกตดังกล่าวนี้เองจึงทำให้หลุยส์สร้างทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีอุปทาน
ของแรงงานไม่จำกัด(economicdevelopmentwithunlimitedsuppliesoflabor)ขึ้นมาซึ่งใช้ข้อสมมติ
ของกลุ่มคลาสสิกที่ว่า แรงงานสามารถจัดหามาได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด ในระดับอัตราค่าจ้างที่แท้จริงคงที่
มากกว่าจะเป็นปัจจัยการผลิตที่หาได้ยากที่จะต้องมีการดึงมาจากการใช้ในการผลิตอื่นๆ
ในการอธิบายนั้น หลุยส์แบ่งระบบเศรษฐกิจของประเทศด้อยพัฒนาออกเป็นสองสาขา (dual
economy)ที่มีความแตกต่างกันนั่นคือ สาขาหนึ่งเป็นสาขาดั้งเดิม ซึ่งทำการผลิตทางการเกษตรเป็นส่วน
ใหญ่ลักษณะที่สำคัญของสาขานี้คือเป็นสาขาที่มีประสิทธิภาพการผลิตต่ำแรงงานมีเหลือเฟือและผลิตผล
หน่วยสุดท้ายของแรงงานมีค่าใกล้เคียงหรือเท่ากับศูนย์แรงงานจึงสามารถลดจำนวนลงได้โดยผลผลิตยัง
คงมีปริมาณคงเดิมส่วนอีกสาขาหนึ่งจะเป็นสาขาที่ทันสมัยซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม
และการทำเหมืองแร่ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการใช้ทุนมาก และประสิทธิภาพการผลิตสูง ดังนั้น
จุดเน้นของทฤษฎีนี้จึงอยู่ที่การเพิ่มการจ้างงานในสาขาที่ทันสมัย เพื่อดึงแรงงานส่วนเกินจากสาขาการผลิต
แบบดั้งเดิมเข้ามาทำงานแต่การที่จะให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นได้ จะต้องมีการขยายการผลิตในสาขาที่ทันสมัย
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-20 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
และการผลิตในสาขาที่ทันสมัยจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยการลงทุนเพิ่มขึ้นนี้จะเป็นไปได้ก็
ต่อเมื่อมีการช่วยเหลือสาขานี้ให้มีกำไรส่วนเกินจากค่าจ้างเพื่อให้มีการนำกำไรส่วนเกินนี้ไปลงทุนทั้งนี้โดย
หลุยส์สมมติว่า นายทุนจะนำกำไรทั้งหมดที่ได้รับไปลงทุน และกำหนดให้อัตราค่าจ้างในสาขาที่ทันสมัยสูง
กว่าระดับอัตราค่าจ้างในสาขาดั้งเดิมและด้วยอัตราค่าจ้างที่สูงกว่าจะทำให้สาขาที่ทันสมัยสามารถดึงแรงงาน
ส่วนเกินจากสาขาดั้งเดิมมาใช้จนหมด
ต่อมาเฟย์(Fei)และเรนิส(Ranis)ขยายแนวคิดของหลุยส์ออกไปโดยวิเคราะห์ให้เห็นว่าความ
เจริญเติบโตทั้งสองสาขานี้จะต้องสอดคล้องสมดุลกันตามทรรศนะของเฟย์และเรนิสความเจริญก้าวหน้า
ทางวิทยาการจะทำให้ผลิตภาพของแรงงานในสาขาเกษตรสูงขึ้นและสามารถที่จะปลดปล่อยแรงงานจากสาขา
การเกษตรไปสู่สาขาอุตสาหกรรมได้และในขณะเดียวกันก่อให้เกิดรายได้ที่เป็นส่วนเกินในสาขาการเกษตร
ซึ่งส่วนเกินนี้เมื่อรวมกับกำไรของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแล้ว จะช่วยเพิ่มปริมาณการลงทุนและความ
ตอ้งการแรงงานมากขึน้และเมือ่มีการลงทนุเพิม่ขึน้เทคนคิการผลติมีการเปลีย่นแปลงประสทิธภิาพการผลติ
ของทั้งสองสาขาจะเพิ่มขึ้นและนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตและรายได้ตามจุดมุ่งหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจ
ถ้าพิจารณาทางด้านการกระจายรายได้แล้วทฤษฎีนี้คาดคะเนไว้ว่าในระยะเริ่มแรกของการพัฒนา
นั้น ความไม่เท่าเทียมกันในรายได้จะเพิ่มขึ้น แต่จะลดน้อยลงในระยะต่อไปเมื่อเกิดการพัฒนาขึ้นแล้ว
เหตุผลสำคัญที่ทำให้การกระจายรายได้มีความไม่เท่าเทียมกันในระยะเริ่มแรกนั้น สืบเนื่องมาจากว่า สาขา
อุตสาหกรรมที่ทันสมัยจะมีการขยายตัวขึ้น และภายในกลุ่มแรงงานเอง จะมีความไม่เท่าเทียมกันในการ
กระจายรายได้ในระยะแรกๆเช่นกันทั้งนี้เพราะอัตราค่าจ้างแรงงานในสาขาอุตสาหกรรมที่ทันสมัยจะสูง
กว่าอัตราค่าจ้างแรงงานในสาขาการเกษตรแบบดั้งเดิมตามทรรศนะของหลุยส์ความไม่เท่าเทียมกันในการ
กระจายรายได้จะเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นสาเหตุที่มาของความจำเริญทางเศรษฐกิจทั้งนี้เพราะเขามีความเห็น
ว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูงเท่านั้นที่สามารถออมทรัพย์และเป็นผู้ลงทุนอย่างไรก็ดีแนวโน้มของความแตกต่างกัน
ในเรื่องการกระจายรายได้นี้ในที่สุดก็จะลดลงทั้งนี้เนื่องจากเมื่อการจ้างแรงงานส่วนเกินหมดแล้วแรงงาน
จะกลายเป็นปัจจัยการผลิตที่หาได้ยากดังนั้น เมื่อมีอุปสงค์แรงงานเพิ่มขึ้น ค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงานจะ
ต้องสูงขึ้นด้วยและเมื่อระดับค่าจ้างสูงขึ้นความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้จะลดน้อยลงและความ
ยากจนก็พลอยได้รับการแก้ไขไปด้วยในตัว
9. ทฤษฎี การ พัฒนา เศรษฐกิจ ที่ เน้น ความ สำคัญ ด้าน การ ค้า ส่ง ออก นอกจากจะมีทฤษฎีและแนวคดิเกีย่วกบัการพฒันาเศรษฐกจิดงัที่กลา่วมาแลว้ยงัมีนกัเศรษฐศาสตร์
อีกหลายท่านที่ได้เสนอทฤษฎีและแนวคิดเพิ่มเติมอีกว่าการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศสามารถ
ช่วยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศด้อยพัฒนาได้เช่นกัน(export-ledgrowth)ทั้งนี้โดยสนับสนุน
แนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มคลาสสิกที่เน้นถึงบทบาททางด้านการค้าระหว่างประเทศในการสร้างตลาด
สินค้าให้มีขนาดใหญ่ขึ้นช่วยให้มีการนำทรัพยากรภายในประเทศมาใช้อย่างเต็มที่ซึ่งจะมีผลทำให้การผลิต
และรายได้ของประเทศเพิ่มสูงขึ้นนอกจากนั้นการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศยังทำให้ได้เงินตรา
ต่างประเทศเพื่อนำไปซื้อสินค้าประเภททุนและวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาประเทศและการขยาย
ตัวของตลาดต่างประเทศยังมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอีกด้วย
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-21แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกันมีนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านที่ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาประเทศโดยการพึ่งสินค้าออก
อาจจะมีผลเสยีตอ่ประเทศดอ้ยพฒันาในระยะยาวเพราะจะทำให้เศรษฐกจิของประเทศได้รบัการครอบงำโดย
ประเทศคู่ค้าที่เป็นประเทศพัฒนาเมื่อประเทศด้อยพัฒนาต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเมื่อภาวะ
เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปย่อมจะมีผลกระทบต่อประเทศด้อยพัฒนาด้วยเช่นกัน
และเมื่อการขยายตัวของสินค้าส่งออกหดตัวลง เนื่องจากราคาสินค้าส่งออกตกต่ำหรือถูกกีดกันทางการค้า
จากประเทศพัฒนาอัตราความจำเริญทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะลดลงด้วยนอกจากนั้น สินค้าส่งออก
ส่วนใหญ่ของประเทศด้อยพัฒนาจะเป็นสินค้าขั้นปฐมซึ่งราคามักจะอยู่คงที่หรือลดลงในขณะเดียวกันสินค้า
ที่ประเทศด้อยพัฒนาต้องการก็คือ สินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าประเภททุน ซึ่งราคาจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
ดังนั้นประเทศด้อยพัฒนามักจะเสียเปรียบในอัตราแลกเปลี่ยนทางการค้า(termsoftrade)อยู่เสมอ
10. ทฤษฎี การ พัฒนา ที่ เน้น ความ สำคัญ ด้าน การ ทดแทน การนำ เข้า แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้อยพัฒนาอีกทรรศนะหนึ่งคือ ประเทศ
ด้อยพัฒนาควรเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีตลาดกว้างขวางอยู่แล้วในประเทศ โดยรัฐบาลใช้นโยบายตั้ง
กำแพงภาษีหรือกำหนดโควตาสินค้าประเภทเดียวกันที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนักเศรษฐศาสตร์ที่สนับสนุน
ความคิดนี้ได้แก่เพรบบิช(Prebisch)เชนเนอรี(Chenery)และพาพานเดราว์(Papandreou)
อย่างไรก็ดีนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมเพื่อทดแทนการนำเข้านี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จาก
นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านเช่นกันลิตเติล(Little)สกอตต์(Scott)ไซตอฟสกี้(Scitovsky)และบาลาสสา
(Balassa) โดยนักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ทดแทน
การนำเข้าหลายประการที่สำคัญได้แก่
1)ถึงแม้อุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้าจะลดปริมาณการนำเข้าของสินค้าสำเร็จรูปได้ แต่ก็ต้อง
พึ่งพาสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศอยู่ดีซึ่งมีผลทำให้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมทดแทน
การนำเข้าไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องดุลการค้าและดุลการชำระเงินของประเทศด้อยพัฒนาได้อย่างแท้จริง
2)การตั้งกำแพงภาษีและโควตานำเข้าไม่เป็นการสนับสนุนให้มีการผลิตเพื่อส่งออกการไม่ขยาย
ตัวของตลาดสินค้าเพื่อส่งออกทำให้การผลิตไม่สามารถตักตวงประโยชน์จากการประหยัดของขนาดได้อย่าง
เต็มที่
แนวคิด การ พัฒนา เศรษฐกิจแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญที่จะกล่าวถึงในที่นี้ประกอบไปด้วย2แนวคิดที่สำคัญได้แก่
แนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อม (The United Nations
EnvironmentalProtection:UNEP)และแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จ-
พระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยซึ่งจะขอกล่าวถึงรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. แนวคดิการพฒันาแบบยัง่ยนืในชว่งสองทศวรรษ(ค.ศ.1972-1992)ที่ผา่นมาระหวา่งการประชมุ
ขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อม(U.N.ConferenceontheEnvironment)ณกรุงสตอกโฮล์ม
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-22 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
และการจัดตั้งหน่วยงานในการป้องกันสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติคือ TheUnitedNations
Environmental Protection (UNEP) ใน ค.ศ. 1972 กับการประชุมขององค์การสหประชาชาติว่าด้วย
สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาณกรุงริโอเดอจาเนโร(UnitedNationsConferenceonEnvironmentand
Development: UNCED) ในค.ศ. 1992มีความเห็นที่สอดคล้องกันในทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับความ
เสียหายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์และความเสียหายนี้ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของ
การดำเนินกิจกรรมของมนุษย์
ความเห็นเกี่ยวกับความรุนแรงของปัญหานี้สะท้อนให้เห็นได้จากข้อเขียนของหลายหน่วยงานเช่น
รายงานของสภาธุรกิจเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน(TheBusinessCouncilforSustainableDevelopment)
ที่เสนอต่อการประชุมสหประชาชาติชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา(UNCED)ถึงความไม่ยั่งยืนของ
วิธีการในปัจจุบันที่ใช้ในการจัดการพลังงานการจัดการป่าไม้การทำการเกษตรการปกป้องพันธุ์พืชและพันธุ์
สัตว์การจัดการด้านการขยายตัวของเมืองและการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจากรายงานของบรันดท์แลนด์
(TheBrundtlandReport) ระบุถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันว่าถึงระดับวิกฤติต่อการอยู่รอดของชีวิต
บนโลกของสถาบันทรัพยากรโลก (TheWorldResources Institute:WRI) ในการร่วมมือกับโครงการ
การพัฒนาและสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติ สรุปจากฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมที่ได้มีการรวบรวมไว้
ว่า โลกปัจจุบันมิได้มีทิศทางมุ่งไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน แต่กลับมุ่งไปสู่ภัยพิบัติต่าง ๆที่จะเกิดกับมนุษย์และ
สิ่งแวดล้อม(WRI,1992:2)ธนาคารโลกพยากรณ์ว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของโลกจะเพิ่มขึ้น3.5เท่าภายใน
ค.ศ.2030และยอมรับว่าถ้ามลพิษและความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นไปตามการเพิ่มของผลผลิต
ผลลัพธ์ที่จะเกิดคือความรุนแรงของปัญหามลพิษและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม(WorldBank,1992:
9)แผนปฏิบัติการที่5ของประชาคมยุโรป(TheFifthActionProgramoftheEuropeanCommunity)
ยอมรับว่า รูปแบบต่าง ๆ ในปัจจุบันของกิจกรรมการพัฒนา ไม่ได้ทำให้เกิดความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
ดังที่เห็นได้จากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมของชุมชนที่เป็นไปอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่องจากมาตรการต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา
ในค.ศ.1993 ในรายงานประจำปีเกี่ยวกับสถานภาพของโลกสถาบันเฝ้าระวังโลก (TheWorld-
watchInstitute)กล่าวสรุปถึงความเสียหายของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันว่ามีผลปรากฏให้เห็นในการลดลง
ของประสิทธิภาพการผลิตของพื้นที่เกษตรป่าทุ่งหญ้าและประมงในการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการกำจัด
แหล่งกากสารพิษค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ โรคหืดหอบและโรคทางเดินหายใจ
และในการขยายตัวของความหิวโหย แนวโน้มเหล่านี้มีความหมายว่า ถ้าไม่มีการเปลี่ยนวิถีเศรษฐกิจที่มุ่ง
ทำลายไปสู่เศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมแล้วคนในรุ่นต่อไปจะต้องเผชิญกับปัญหาอันท่วมท้น
จากความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมและการล่มสลายทางสังคม ในขณะเดียวกัน ในค.ศ. 1992 สถาบัน
วิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกสองแห่งร่วมกันประกาศคำเตือนว่าการบริโภคทรัพยากรอย่างไม่มีการ
จำกัดทั้งในด้านการผลิตและการใช้พลังงานสามารถนำไปสู่ผลทางภัยพิบัติสิ่งแวดล้อมโลกการเปลี่ยนแปลง
สิ่งแวดล้อมบางอย่างอาจทำให้เกิดความเสียหายที่เกินศักยภาพของโลกที่จะแก้ไขได้ อนาคตของโลกอยู่ที่
ความสมดุลของสิ่งแวดล้อม
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-23แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
สภาพปญัหาสิง่แวดลอ้มที่เกดิจากการพฒันาและกำลงักลายเปน็ขอ้จำกดัของการพฒันาของประเทศ
ต่างๆในโลกสรุปไว้ในตารางที่4.1
ตาราง ที่ 4.1 ปัญหา สิ่ง แวดล้อม และ สาเหตุ หลัก
ปัญหา (ระดับ) สาเหตุหลัก
มลพิษ (Pollution)
ผลกระทบเรือนกระจก/
การเปลี่ยนแปลงของอากาศ(ระดับโลก)
- การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)
ไนโตรเจนไดออกไซด์(NO2)
คลอโรฟลูโอคาร์บอน(chlorofluocarbons)(CFCs)
โอโซน(O3)(ระดับต่ำ)เป็นต้น
-การตัดไม้ทำลายป่า
การหมดสิ้นไปของโอโซน
(ระดับโลก)
-การปล่อยสารCFCs
ฝนกรด
(ระดับทวีป)
-การปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์(SO2)
-ไนโตรเจนไดออกไซด์(NO2),O3(ระดับต่ำ)
มลพิษจากสารพิษ
(ระดับทวีป)
-สารหนัก(heavymetals)
สารกัมมันตภาพรังสี(eutrophiersradiation)
ไฮโดรคาร์บอน(hybrocarbons)
คาร์บอนมอนอกไซด์(carbonmonoxide)
สารเคมีจากภาคเกษตร
การหมดสิ้นไปของทรัพยากรที่เกิดใหม่ได้
การสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์
(ระดับโลก)
-การเปลี่ยนแปลงในการใช้ที่ดิน(เช่นการพัฒนา
การทำลายป่า)การเพิ่มประชากรการเก็บเกี่ยวที่ไม่ยั่งยืน
(เช่นการจับปลามากเกินไปการจับปลาในเขตหวงห้าม
หรือในน่านน้ำของประเทศอื่น)การเปลี่ยนแปลงของ
อุณหภูมิโลกการหมดสิ้นไปของโอโซน
ความเสื่อมโทรมของดิน/การสูญเสีย
ความสมบูรณ์ของดิน(ระดับภูมิภาคประเทศ)
- ปัญหาประชากรการเกษตรที่ไม่ยั่งยืนการขยายตัวเป็น
เมืองการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
การหมดสิ้นไปของน้ำ(ระดับภูมิภาคประเทศ) - การใช้น้ำแบบไม่ยั่งยืนการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-24 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ปัญหา (ระดับ) สาเหตุหลัก
การหมดสิ้นไปของทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดสิ้นไป
การหมดสิ้นไปของทรัพยากรหลายชนิด
(ระดับโลกประเทศ)
-เชื้อเพลิงจากถ่านหินแร่ธาตุต่างๆ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
ความหนาแน่น(congestion)
(ระดับประเทศ)
-การกำจัดของเสีย
-จราจร
ที่มา:Ekins,1994:28.
ดังนั้น ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา จึงมีการแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายให้ประชาคมโลก
ตระหนักถึงความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการพัฒนา และเรียกร้องให้มีการพัฒนาแบบยั่งยืนโดย
องค์การในระดับโลก
ความหมายของการพัฒนาแบบยั่งยืน(sustainabledevelopment)รายงานของคณะกรรมการ
โลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (WorldCommission onEnvironment andDevelopment:
WCED)หรือรู้จักกันในนามของรายงานของบรันดท์แลนด์ ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับความหมายของการ
พัฒนาแบบยั่งยืนเป็นครั้งแรก และเป็นที่นิยมใช้ในการกล่าวอ้างอิงว่า การพัฒนาแบบยั่งยืน คือ “การ
พัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนในรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ทำให้ความสามารถในการตอบสนอง
ต่อความต้องการของคนในรุ่นต่อไปต้องเสียไป”(“developmentthatmeetstheneedsofthepresent
without compromising the ability of future generations tomeet their own needs”) ตาม
คำจำกัดความของWCEDนี้ การพัฒนาแบบยั่งยืนจะเกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมกันในหมู่คนรุ่นเดียวกัน
ในปัจจุบัน (intragenerational equity) และความเท่าเทียมกันของคนระหว่างรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไป
(intergenerational equity) ความเท่าเทียมกันนี้เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมในการกระจายความมั่งคั่ง
(รายได้)และการใช้ทรัพยากรตลอดจนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการให้คำจำกัดความโดยWCEDแต่มีการใช้การพัฒนาแบบยั่งยืน
ในความหมายที่แตกต่างกันไปยังไม่มีคำจำกัดความตายตัวแน่นอนเดวิดเพียร์ซ(Pearce,etal.,1989:
173-85) กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาแบบยั่งยืนว่ามีมากมาย สำหรับ เอกินส์ (Ekins, 1994: 29)
พิจารณาว่าปัญหาของการให้คำจำกัดความของการพัฒนาแบบยั่งยืนอยู่ที่แนวคิดที่ผสมผสานกันอยู่สอง
แนวคิดด้วยกันคือการพัฒนา(development)และความยั่งยืน(sustainability)สิ่งที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด
การพัฒนามีอยู่มากมายในกรณีนี้อาจจะพิจารณาอย่างกว้างๆว่าการพัฒนาคือกระบวนการที่มีผลต่อการ
เพิ่มสวัสดิการของกลุ่มที่เกี่ยวข้องหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับความพยายามใน
ปัจจุบันของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(UNDP)ในการแสดงให้เห็นถึงระดับการพัฒนาโดยการรวม
ตาราง ที่ 4.1 (ต่อ)
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-25แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ตัวเลขรายได้ประชาชาติต่อหัวกับข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขการตายของทารกและอัตราการรู้หนังสือ
เข้าไปในดัชนีการพัฒนามนุษย์(HumanDevelopmentIndex:HDI)
อีบีบาร์เบียร์(E.B.Barbier)เสนอให้พิจารณาว่าการพัฒนาแบบยั่งยืนเป็นเรื่องของความ
สัมพันธ์ของระบบสามระบบด้วยกันได้แก่ระบบชีวภาพเศรษฐกิจและสังคม(biological,economicand
social systems)ดังนั้น เป้าหมายโดยทั่วไปของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนคือ การให้ได้เป้าหมายที่
ครอบคลุมทั้งสามระบบนี้ให้มากที่สุดโดยการพิจารณาจากทางเลือกต่างๆเนื่องจากเป้าหมายทั้งสามนี้มัก
จะไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาเดียวกันความยากลำบากในการกำหนดทางเลือกแสดงให้เห็นว่ากระบวนการ
ที่ดีที่สุดในการทำให้ได้เป้าหมายมากที่สุดจะต้องผ่านกระบวนการทางการเมืองมากกว่ากระบวนการทาง
เศรษฐกิจดังจะเห็นได้จากแนวคิดเกี่ยวกับ“การรักษาสิ่งแวดล้อมต้องมาก่อน”(primaryenvironmental
care:PEC)ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนกับเป้าหมายทางด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปใน
หมู่องค์กรพัฒนาในความพยายามที่จะนำแนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนไปปฏิบัติ
เจฮอล์มเบอร์กและอาร์แซนบรูค (J.HolmbergandR.Sanbrook,1992:31-32) ให้
คำอธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาแบบยั่งยืนโดยอาศัยแนวคิดจากPECดังกล่าวว่าการพัฒนาแบบยั่งยืนในส่วน
ของความหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคือการพัฒนาที่ประกอบไปด้วย
-เป้าหมายทางเศรษฐกิจ:การตอบสนองและความพึงพอใจด้านความจำเป็นพื้นฐาน
-เป้าหมายทางสิ่งแวดล้อม:การป้องกันและการนำไปใช้อย่างดีที่สุดด้านสิ่งแวดล้อม
-เป้าหมายทางสังคม:การให้อำนาจแก่กลุ่มคนและชุมชน
สำหรับความยั่งยืนประกอบไปด้วย3ด้านด้วยกันได้แก่
-ด้านสังคม:ความยั่งยืนในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีความสัมพันธ์และสถาบัน
-ด้านเศรษฐกิจ:ความยั่งยืนในการจัดสรรและกระจายทรัพยากรที่ขาดแคลน
-ด้านนิเวศวิทยา:ความยั่งยืนในการให้จากสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรแก่ทั้งสองด้าน
ข้างต้น
ดังนั้นหากพิจารณาโดยรวมทั้งในส่วนของคำจำกัดความของWCEDและของHolmberg
และSanbrookแล้วการพัฒนาแบบยั่งยืนมีความหมายถึงการพัฒนาที่มีเป้าหมายทั้งในแง่ของความเจริญ
เติบโตทางเศรษฐกิจสังคมคุณภาพชีวิตและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับคนในยุคปัจจุบันและมีความ
ยั่งยืนไปถึงลูกหลานในอนาคตและในปัจจุบันแนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนเกี่ยวข้องกับความหมายที่ได้
กล่าวสรุปไว้แล้วอย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติตามแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่เพิ่งเริ่มต้น โดยเฉพาะในประเทศกำลัง
พัฒนา
2. แนวคิดการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ปรัชญาการพัฒนาแบบ“เศรษฐกิจพอเพียง”
วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในกลางปี พ.ศ. 2540 เป็นผลสืบเนื่องจากการเกิด
วิกฤติการณ์ทางการเงินและลุกลามกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจไปยังประเทศต่างๆในเอเชียในกระแสของ
แนวคิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น“เศรษฐกิจพอเพียง”เป็นสิ่งจุดประกายแห่งความหวังในการ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-26 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
พัฒนาประเทศและมีการระดมความคิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจแนวคิดนี้และนำไปเป็นแนวทางการจัดทำแผน
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่9(พ.ศ.2545-2549)โดยคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติซึ่งร่วมกันจัดสัมมนาวิชาการเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม2542เนื้อหาสำคัญ
เกีย่วกบัเศรษฐกจิพอเพยีงจากการประมวลและกลัน่กรองจากพระราชดำรสัของพระบาทสมเดจ็พระเจา้อยูห่วั
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งพระราชทานในโอกาสต่างๆรวมทั้งพระราชดำรัสอื่นๆที่เกี่ยวข้อง(สถาบันวิจัย
เพื่อการพัฒนาประเทศไทย2542)มีดังนี้
เศรษฐกจิพอเพยีง “เศรษฐกิจพอเพียง”เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
มีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดเป็นเวลานานกว่า25ปีตั้งแต่
ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจและเมื่อภายหลังทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถ
ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และ
ปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัวระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐทั้งในการพัฒนาและ
บริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวหน้าทันต่อโลกยุค
โลกาภิวัตน์ความพอเพียงหมายถึงความพอประมาณความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบ
ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน
ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ใน
การวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอนและขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐนักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต
และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสมดำเนินชีวิตด้วยความอดทนความเพียรมีสติปัญญา และความรอบคอบ
เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม
สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
ทฤษฎีใหม่ทฤษฎีใหม่เป็นวิธีปฏิบัติของเกษตรกรที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่เกษตรกรรายย่อยในการแก้ปัญหาความยากจนโดยทรงแบ่งวิธีปฏิบัติออกเป็นสามขั้นตอน
จากขั้นตอนการปฏิบัติให้พึ่งตนเองได้มาสู่ขั้นตอนของการรวมตัวเป็นกลุ่มหรือสหกรณ์ของเกษตรกรและ
ขั้นที่สามเป็นการร่วมมือกับแหล่งการเงินและแหล่งพลังงานเพื่อการจัดตั้งโรงสีร้านสหกรณ์เพื่อขยายการ
ลงทุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
หลัง จาก ศึกษา เนื้อหา สาระ ตอน ที่ 4.1 แล้ว โป รด ปฏิบัติ กิจกรรม 4.1
ใน แนว การ ศึกษา หน่วย ที่ 4 ตอน ที่ 4.1
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-27แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ตอน ที่ 4.2
การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศไทย
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่4.2แล้วจึงศึกษาเนื้อหาสาระพร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละตอน
หัว เรื่องเรื่องที่4.2.1วิวัฒนาการของการพัฒนาเศรษฐกิจ
เรื่องที่4.2.2แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เรื่องที่4.2.3บทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจ
แนวคิด1. วิวัฒนาการของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นจากการที่รัฐบาลออก
พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจพ.ศ.2493
2. การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เริ่มจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งมี
การวางแผนจากสว่นกลางหรอืจากบนลงลา่ง(topdownplanning)โดยแผนพฒันาฉบบั
นี้ได้รับแนวคิดการจัดทำแผนจากทฤษฎีความเจริญเติบโต(GrowthTheory)
3. บทบาทของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้แก่ การชี้นำส่งเสริม และช่วยเหลือ
ภาคเอกชนการจัดให้มีสินค้าสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานการปรับปรุงการกระจาย
รายได้การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจตลอดทั้งการชี้นำการพัฒนาประเทศ
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาตอนที่4.2จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1. อธิบายวิวัฒนาการของการพัฒนาเศรษฐกิจได้
2. อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาเศรษฐกิจได้
3. อธิบายบทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจได้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-28 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เรื่อง ที่ 4.2.1 วิวัฒนาการ ของ การ พัฒนา เศรษฐกิจ
วิวัฒนาการ ของ การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศไทยวิวัฒนาการการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นสามารถแบ่งออกได้3ช่วงดังต่อไปนี้
1. ชว่งปีพ.ศ.2493รฐับาลออกพระราชบญัญตัิสภาเศรษฐกจิการพฒันาเศรษฐกจิของประเทศไทย
เริ่มจากเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รัฐบาลในยุคนั้น
พยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วโดยรัฐบาลออกพระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจพ.ศ.2493
ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาตอนที่ 10 เล่มที่ 67
วันที่14กุมภาพันธ์พ.ศ.2493)สาระสำคัญตามพระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็น
ประธานกรรมการสภาเศรษฐกิจส่วนคณะกรรมการนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่
มีความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีจำนวนไม่เกิน20คนตามมาตรา20ใน
พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดบทบาทหน้าที่ของสภาเศรษฐกิจไว้สามประการดังนี้
1.1 ให้ความเห็นและคำแนะนำแก่รัฐบาลเพื่อประโยชน์แห่งความก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจ
ของชาติ
1.2ชี้แจงให้รัฐบาลทราบถึงวิธีการอันเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ผดุงส่งเสริมและทำความ
ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของชาติ ทั้งโดยอาศัยความรู้ความชำนาญทางเทคนิคผลแห่งการค้นคว้าหรือสำรวจ
และสถิติต่างๆตลอดจนผลแห่งการปฏิบัติอันได้ทำมาแล้ว
1.3ทำหน้าที่รวบรวมการสถิติพยากรณ์ทั่วราชอาณาจักร
จากการที่ประเทศไทยประสบปญัหาทางเศรษฐกจิอนัเปน็ผลพวงของสงครามโลกครัง้ที่2และรฐับาล
พยายามทำการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศไทยใช้ทรัพยากรของชาติอย่างสิ้นเปลืองประกอบ
กับในช่วงเวลานั้นยังไม่เคยมีการสำรวจฐานะที่แท้จริงทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อใช้ในการวางแผนพัฒนา
ประเทศในระยะต่อไปซึ่งการพัฒนาประเทศในระยะเริ่มแรกมีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณที่สูงในการ
ฟื้นฟูเศรษฐกิจดังนั้นจะอาศัยเงินลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินอย่างเดียวคงไม่เพียงพอเนื่องจากรายได้ของ
ภาครัฐมีจำนวนจำกัดดังนั้นจึงมีความจำเป็นจะต้องอาศัยแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ โดยมีแหล่งเงินกู้ที่
สำคญัคอืธนาคารโลกการที่จะขอเงนิกู้จากธนาคารโลกจำเปน็จะตอ้งเขยีนโครงการเพือ่ให้แหลง่เงนิกู้พจิารณา
โครงการก่อนการอนุมัติเงินกู้ดังนั้นประเทศไทยขอความร่วมมือจากธนาคารโลกให้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญเข้ามา
สำรวจเศรษฐกิจของประเทศเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการจัดทำโครงการเงินกู้ ในการนี้ธนาคารโลกร่วมกับ
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยจัดตั้งคณะกรรมการสองชุดคือคณะกรรมการร่วมมือกับคณะสำรวจเศรษฐกิจของ
ธนาคารโลก(ก.ส.ธ.)และคณะกรรมการบรหิารก.ส.ธ.สำรวจสภาวะเศรษฐกจิของประเทศไทยเริม่ตัง้แต่เดอืน
กรกฎาคมพ.ศ.2500ถึงเดือนมิถุนายนพ.ศ.2501คณะสำรวจจัดทำรายงานชื่อโครงการพัฒนาของรัฐบาล
สำหรับประเทศไทย(APublicDevelopmentProgramforThailand)โดยเนื้อหาตอนหนึ่งของรายงาน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-29แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฉบับนี้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งสถาบันการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศไทยจากข้อเสนอดังกล่าวรัฐบาลและ
สภาเศรษฐกิจแห่งชาติมีความเห็นว่าควรจะต้องจัดตั้งหน่วยงานกลางในการวางแผนพัฒนาประเทศอย่าง
ถาวรดังนั้นรัฐบาลได้ประกาศพระราชบัญญัติสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติพ.ศ.2502เมื่อวันที่4กรกฎาคม
2502จัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติให้เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรีพร้อมทั้งยกเลิก
พระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจแห่งชาติพ.ศ.2493ต่อมาแก้ไขพระราชบัญญัติสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ
(ฉบับที่2)พ.ศ.2503และพระราชบัญญัติสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ(ฉบับที่3)พ.ศ.2509
องค์ ประกอบ ที่ สำคัญ ของ สภา พัฒนา เศรษฐกิจ แห่ง ชาติ ประกอบด้วยสามส่วนได้แก่
1)สภาพฒันาเศรษฐกจิแหง่ชาติประกอบดว้ยนายกรฐัมนตรีเปน็ประธานรองนายกรฐัมนตรี
เป็นรองประธานและกรรมการอื่นที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยมีหน้าที่พิจารณาข้อเสนอต่าง ๆที่สำนักงาน
สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติเสนอมา และเสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีในกิจการที่เกี่ยวกับพัฒนา
การเศรษฐกิจที่นายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณา
2) คณะกรรมการบริหารสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติประกอบด้วยเลขาธิการสภาพัฒนา
เศรษฐกิจแห่งชาติเป็นกรรมการบริหารโดยตำแหน่ง มีอำนาจหน้าที่ตามที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติจะ
มอบหมายและกำกับการปฏิบัติงานของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ
3) สำนกังานสภาพฒันาเศรษฐกจิแหง่ชาติมีฐานะเปน็กรมสงักดัสำนกันายกรฐัมนตรีมหีนา้ที่
ที่สำคัญคือ การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การพิจารณาโครงการต่าง ๆ ของกระทรวง
ทบวงกรมรวมทั้งพิจารณางบลงทุนของรัฐวิสาหกิจและเรื่องอื่นๆที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้พิจารณา
2. ชว่งปีพ.ศ.2515รฐับาลออกประกาศคณะปฏบิตัิต่อมาในปี2515รัฐบาลในช่วงนั้นออกประกาศ
คณะปฏิวัติฉบับที่216มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการของประเทศโดยการโอนอำนาจหน้าที่ของสภา
พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติไปเป็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการ
ปรับปรุงการบริหารราชการครั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานมีความรัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงรวมการ
พัฒนาสังคมเข้ามาให้ความสำคัญในการพัฒนาประเทศซึ่งจะทำให้การวางแผนพัฒนาสมบูรณ์มากขึ้นต่อมา
รัฐบาลประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติพ.ศ. 2502แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2503
และพ.ศ.2509และประกาศใช้พระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพ.ศ.2521ให้มีผล
บังคับใช้ตั้งแต่วันที่30สิงหาคมพ.ศ.2521จนถึงปัจจุบัน
3. ชว่งปีพ.ศ.2521ถงึปจัจบุนัรฐับาลออกพระราชบญัญตัิพฒันาการเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติ
จากพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพ.ศ.2521มีการกำหนดให้มีองค์กรและกลไก
การทำงานสองระดบัคอืระดบัคณะกรรมการพฒันาการเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติและระดบัของสำนกังาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แหง่ชาติมีกรรมการจำนวน15คนประกอบดว้ยประธานกรรมการ1คนกรรมการที่มีความรู้และประสบการณ์
ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ผู้อำนวยการสำนัก
งบประมาณผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคณะกรรมการ
ชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-30 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
1) เสนอแนะให้ความเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต่อคณะรัฐมนตรี
2)พิจารณาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับข้อเสนออื่น ๆ ของสำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
3)เสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีในกิจการเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่
นายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณา
4)จัดให้มีการประสานงานระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านการจัดทำแผนงานโครงการพัฒนาและในด้าน
ปฏิบัติงานตามแผนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
บทบาท ของ หน่วย งาน วางแผน การ พัฒนา เศรษฐกิจบทบาทของหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพ.ศ.2521
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีบทบาทหน้าที่ดังนี้
1. สำรวจศึกษา และวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลในการจัดทำ
เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนระดับการพัฒนาประเทศ เพื่อเสนอแนะจุดหมายและนโยบาย
มาตรการแก่คณะรัฐมนตรีในการจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์เชิงนโยบายและให้คำปรึกษา
โดยเฉพาะความรู้ทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากข้อมูลที่ถูกต้องทันสมัยและรวดเร็วจะนำไปสู่การ
ดำเนินการในการวางแผนการสร้างระบบข้อมูลเตือนภัยทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น การสร้างและจัดทำ
ระบบข้อมูลหลักของประเทศทั้งระยะสั้นและระยะยาวประกอบด้วย ข้อมูลผลิตภัณฑ์ประชาชาติในระดับ
ประเทศและระดับจังหวัดข้อมูลผลิตภัณฑ์ประชาชาติรายไตรมาสข้อมูลตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต
ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจเงินทุนและข้อมูลทางด้านงบดุลของประเทศเป็นต้น
2. วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศ ซึ่งการ
วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจเริ่มขึ้นเป็นทางการตั้งแต่ปีพ.ศ.2504ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการประกาศใช้แผนพัฒนาฯ
ฉบับที่1จนถึงปี2542มีการใช้แผนพัฒนาฯมาแล้ว8ฉบับการจัดทำแผนพัฒนาฯถือเป็นภารกิจหลักของ
หน่วยงานที่มีการวางแผนระดับชาติซึ่งเป็นแผนระยะปานกลาง (ระยะเวลา5ปี)ลักษณะของการวางแผน
ตั้งแต่แผนพัฒนาฯฉบับที่1-7มีลักษณะเป็นแผนชี้นำส่วนแผนพัฒนาฯฉบับที่8และ9มีการปรับเปลี่ยน
กระบวนการวางแผนให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นและให้เป็นแผนพัฒนาฯของประชาชนมากขึ้น
3. พิจารณาโครงการให้ได้ตามเป้าหมายของแผนพัฒนาฯซึ่งหมายถึงการพิจารณาโครงการลงทุน
เพื่อการพัฒนาประเทศที่มีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน
การดำเนินการวิเคราะห์โครงการจะเริ่มจากการวิเคราะห์โครงการของแต่ละหน่วยงานของรัฐรวมทั้งโครงการ
ของรัฐวิสาหกิจด้วยโดยมีระยะเวลาไม่เกิน45วันหลังจากนั้นจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ
โครงการการพิจารณาโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการ
ของรัฐพ.ศ.2535กำหนดให้โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่1,000ล้านบาทขึ้นไปจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณา
จากกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ก่อนแล้วผ่านให้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-31แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
กระทรวงการคลังเนื่องจากกระทรวงการคลังดูแลกฎหมายร่วมกับสศช.ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้สินทรัพย์ของ
รัฐหากเป็นโครงการใหม่การพิจารณาโครงการจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี2ครั้ง โดยครั้ง
แรกเป็นการเสนอเพื่อขออนุมัติหลักการหากมีการร่วมลงทุนของเอกชนจะต้องตั้งกรรมการแล้วนำมาเสนอ
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งในการเลือกผู้ลงทุน ถ้าเป็นโครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท
จะต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาผลกระทบของสิ่งแวดล้อมซึ่งโครงการเหล่านี้จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณา
ทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้วนำเสนอสศช.และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับ
4. ประเมินผลในการพัฒนา เป็นบทบาทหน้าที่ที่มีความสำคัญในกระบวนการพัฒนาประเทศ
เนื่องจากการวางแผนพัฒนาถ้าไม่มีการประเมินผลก็ไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าการพัฒนาที่ผ่านมาบรรลุ
ถึงวัตถุประสงค์หรือไม่ หรือมีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง ซึ่งบทบาทหน้าที่ในการประเมินผลการพัฒนาจะทำ
การประเมินทั้งในระดับรายโครงการและภาพรวม
5. ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกิจตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีหน้าที่ในคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่าย
เศรษฐกิจคณะกรรมการนโยบายสังคมแห่งชาติคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนคณะกรรมการ
กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเล
ภาคใต้เรื่องความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านคือลุ่มแม่น้ำโขง6ประเทศและสามเหลี่ยมเศรษฐกิจตอน
ใต้(มาเลเซียไทยอินโดนีเซีย)
กล่าว โดย สรุป ได้ว่าประเทศไทยมีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจจากอดีตถึงปัจจุบันแบ่งออกได้
เป็น3ช่วงของการพัฒนา ได้แก่ 1)ช่วงปีพ.ศ.2493รัฐบาลออกพระราชบัญญัติสภาเศรษฐกิจ2)ช่วงปี
พ.ศ.2515รัฐบาลออกประกาศคณะปฏิวัติและ3)ช่วงปีพ.ศ.2521ถึงปัจจุบันรัฐบาลออกพระราชบัญญัติ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งในแต่ละช่วงมีเป้าหมายของการพัฒนาที่แตกต่างกันออกไป
ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้แล้วบทบาทของหน่วยงานวางแผนการพัฒนา
เศรษฐกิจมีด้วยกัน5ประการได้แก่1)สำรวจศึกษาและวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและสังคม2)วางแผน
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ3)พิจารณาโครงการให้ได้ตามเป้าหมายของแผนพัฒนาฯ4)ประเมินผล
ในการพัฒนาและ5)ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกิจตามนโยบายของรัฐบาล
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-32 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เรื่อง ที่ 4.2.2 แผน พัฒนา เศรษฐกิจ และ สังคม แห่ง ชาติ
การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยนั้น ประเทศไทยเริ่มมีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติในประเทศมาตั้งแต่ปีพ.ศ2504และสะสมประสบการณ์วิวัฒนาการของแนวคิดและลักษณะของ
การวางแผนพัฒนาฯพอสรุปได้ดังนี้
1. แผนพฒันาเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติฉบบัที่1-2(พ.ศ.2504-2514)เป็นการวางแผนจากส่วน
กลางหรือจากบนสู่ล่าง (top-downplanning) เป็นแผนที่ได้รับแนวคิดทางด้านทฤษฎีความเจริญเติบโต
(GrowthTheory)ที่ให้ความสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อนำมาสู่ความทันสมัย(moderniza-
tion)ซึ่งการเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงจะมีผลกระจายไปสู่คนและสังคมต่อไปดังนั้น
แนวคิดการพัฒนาจึงเน้นกลยุทธ์การวางแผนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นสำคัญ(project
orientedapproach)โดยอาศัยเทคนิคการวางแผนด้านการวิเคราะห์โครงการเป็นสำคัญซึ่งมีเครื่องมือใน
การวิเคราะห์โครงการที่สำคัญคือการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียของโครงการ(benefitcostanalysis)ถึงแม้ว่า
แผนพัฒนาฯฉบับที่1จะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามโครงการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานแต่
ก็ยังมีปัญหาตามมาคือ การที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าแต่ละโครงการก่อให้เกิดผลต่อการพัฒนาในภาพรวม
เพียงใดดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องนี้ในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 2 มีการนำแนวคิดการพัฒนา
รายสาขา (sectoral development planning)มาใช้ในการวางแผน เป็นการวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจใน
แต่ละสาขาการผลิตเช่นสาขาเกษตรกรรมอุตสาหกรรมบริการเป็นต้น
ผลการพฒันาในชว่งแผนพฒันาฯฉบบัที่1-2คอือตัราการขยายตวัทางเศรษฐกจิมีอตัราการขยายตวั
รอ้ยละ8ตอ่ปีในชว่งแผนพฒันาฯฉบบัที่1และรอ้ยละ7.5ตอ่ปีในชว่งแผนพฒันาฯฉบบัที่2ดลุการชำระเงนิ
ระหว่างประเทศมีฐานะเกินดุลโดยณสิ้นแผนพัฒนาฯฉบับที่1มีทุนสำรองเพิ่มขึ้นเป็น800ล้านดอลลาร์
สหรัฐจากการที่ประเทศไทยประสบผลของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่1-2
ทำให้มีความจำเป็นจะต้องมีการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว มีการขยายความยาวของถนนเพิ่มขึ้น
ร้อยละ37มีเนื้อที่ชลประทานเพิ่มขึ้นจาก9.7ล้านไร่เป็น13.3ล้านไร่
2. แผนพฒันาเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติฉบบัที่3(พ.ศ.2515-2519)มีลักษณะเป็นแผนชี้นำมาก
ขึน้แต่ยงัคงเปน็การวางแผนจากบนสู่ลา่งในขณะที่แผนพฒันาฯฉบบัที่2ประสบผลสำเรจ็ในการขยายตวัทาง
เศรษฐกิจแต่มีปัญหาช่องว่างของการกระจายรายได้เกิดขึ้นเนื่องจากการพัฒนาที่เน้นโครงสร้างพื้นฐานขนาด
ใหญ่แต่การกระจายผลประโยชน์ยังคงจำกัดที่กลุ่มคนเพียงบางกลุ่มเช่นกลุ่มคนในเมืองมากกว่ากลุ่มคนใน
ชนบทดังนั้นการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่3เป็นแผนที่เน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดย
รักษาอัตราการขยายตัวของปริมาณเงินมากรักษาระดับราคาสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพรักษาเสถียรภาพ
ทางการเงินระหว่างประเทศส่งเสริมการส่งออกและปรับปรุงโครงสร้างการนำเข้าเป็นการปรับปรุงโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจโดยการยกระดับการผลิต พร้อมทั้งปรับนโยบายเร่งรัดการส่งออกและทดแทนการนำเข้า
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-33แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ปรับงบลงทุนโครงการก่อสร้างโดยการสนับสนุนการลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์จากโครงการขั้นพื้นฐาน แผน
พัฒนาฯฉบับที่3เป็นแผนแรกที่ให้ความสำคัญกับการวางแผนด้านสังคมดังนั้นในแผนพัฒนาฯฉบับที่3
กำหนดแนวนโยบายให้ครอบคลุมถึงความเป็นธรรมทางสังคมและการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน
ผลการพัฒนาของแผนพัฒนาฯฉบับที่3คือการที่ระบบการเงินโลกเกิดภาวะผันผวนตั้งแต่ปีพ.ศ.
2514(สิ้นแผนฯ2)โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐตกต่ำประกอบกับเกิดปัญหาวิกฤติน้ำมันทำให้มีผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจของไทยคืออาหารและวัตถุดิบต่างๆ มีระดับราคาสูงขึ้นราคาน้ำมันสูงขึ้นเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงถึง
ร้อยละ 12 การที่ประเทศไทยเกิดภาวะเงินเฟ้อในอัตราที่สูง ประกอบกับเกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองอย่าง
รวดเร็วมีผลทำให้อัตราการขยายตัวในการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเกิดภาวะซบเซาการก่อสร้างหยุด
ชะงักโดยรัฐบาลใช้มาตรการทางการเงินการคลังในการแก้ไขปัญหาต่างๆ จนสามารถคลี่คลายได้ส่งผลทำให้
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยร้อยละ7.1ต่อปี
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่4 (พ.ศ.2520-2524) เป็นแผนที่ได้รับแนวคิด
ในการวางแผนโดยเน้นประเด็นปัญหา ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งของแนวคิดการวางแผนที่นำการกำหนดปัญหาและ
ประเด็นการพัฒนาหลักๆ เข้าสู่กระบวนการพัฒนามีผลทำให้แนวคิดการวางแผนรายสาขาค่อยๆ ลดบทบาท
เนื่องจากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นไม่สามารถแยกเป็นรายสาขาได้จึงเกิดแนวคิดในการวางแผนพัฒนาระหว่าง
สาขาร่วมกัน(inter-sectoraldevelopmentplanningapproach)ดังนั้นในแผนพัฒนาฯฉบับที่4ยังคง
เนน้การฟืน้ฟูเศรษฐกจิของประเทศโดยการขยายการผลติภาคเกษตรปรบัปรงุโครงสรา้งอตุสาหกรรมเพือ่การ
ส่งออกการกระจายรายได้ประกอบกับการรักษาดุลการชำระเงินการขาดดุลงบประมาณเนื่องจากในแผนนี้
ใช้แนวคดิการวางแผนพฒันาระหวา่งสาขากนัดงันัน้การพฒันานอกจากเนน้ทางดา้นเศรษฐกจิแลว้ยงัให้ความ
สำคัญต่อการบูรณะและปรับปรุงการบริหารทรัพยากรหลักของชาติ รวมทั้งการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้
ประโยชน์ เนื่องจากปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ปัญหาเฉพาะสาขาใดสาขาหนึ่ง แต่เป็น
ปัญหาที่เชื่อมโยงกันในหลายสาขาเศรษฐกิจในแผนพัฒนาฯฉบับที่4มีการนำแนวคิดทางด้านสาธารณสุข
มูลฐานเข้ามาเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าในปี2543
ผลการพัฒนาของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 4 คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 7.1
ต่อปี แต่โครงสร้างการผลิตเปลี่ยนโดยเน้นการผลิตภาคอุตสาหกรรม มีผลทำให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อ
หัวของประชากรในสาขาเกษตรกรรมต่ำกว่ารายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ และต่ำกว่าระดับรายได้เฉลี่ยในสาขา
อุตสาหกรรมถึง 5 เท่าตัว และต่ำกว่าสาขาบริการ 2 เท่าตัว จากการที่เกิดภาวะวิกฤติราคาน้ำมันครั้งที่ 2
ประกอบกับประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศในอัตราร้อยละ 75 ของการใช้
พลังงานทั้งหมดส่งผลทำให้ประเทศไทยขาดดุลการค้าปีละ45,000ล้านบาทหรือร้อยละ7.6ของGDPและ
อัตราเงินเฟ้อยังคงมีอัตราที่สูงเฉลี่ยร้อยละ11.6ต่อปี
4. แผนพฒันาเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติฉบบัที่5(พ.ศ.2525-2529)เป็นแผนชี้นำที่เน้นการปรับ
โครงสร้างและฟื้นฟูฐานะการเงินการคลังครั้งสำคัญของประเทศ เนื่องจากผลการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา
ตั้งแต่แผนพัฒนาฯฉบับที่1-4ประเทศประสบผลสำเร็จทางด้านอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับที่
น่าพอใจแต่จำนวนประชากรที่มีฐานะยากจนในปี2524มีอัตราสูงถึงร้อยละ20.6ของประชากรทั้งประเทศ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-34 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
และพบว่าร้อยละ 93 ของประชากรที่ยากจนอาศัยอยู่ในเขตชนบทดังนั้นในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 5 จึงมี
ความจำเป็นจะต้องปรับกลยุทธ์การพัฒนาใหม่โดยอาศัยกรอบแนวคิดการยึดพื้นที่เป็นหลัก (area-based
approach)และเปลีย่นจากการวางแผนแบบรายสาขาหรอืรายโครงการมาเปน็การจดัทำแผนงานและโครงการ
ซึ่งมีกิจกรรมเชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแปลงนโยบายและมาตรการ
สู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ
ใหม่พร้อมทั้งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินโดยเร่งการระดมเงินออมมีการปรับโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ เช่น การปรับโครงสร้างการเกษตร โครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกและการกระจาย
อุตสาหกรรมสู่ส่วนภูมิภาคมีการเน้นความสมดุลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในแผนนี้เป็นการ
เริ่มสนับสนุนการวางแผนจากล่างสู่บน(bottom-upplanning)รวมทั้งการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการ
และทบทวนบทบาทของรัฐในการบริหารงานพัฒนา โดยการเน้นบทบาทและการระดมความร่วมมือจาก
ภาคเอกชน
ผลการพัฒนาของแผนพัฒนาฯฉบับที่5คือการที่ภาวะเศรษฐกิจและการเงินของโลกผันผวนค่อน
ข้างรุนแรง และภาวะเศรษฐกิจซบเซาติดต่อกันเป็นเวลานานประกอบกับประเทศอุตสาหกรรมเริ่มมีการใช้
นโยบายกีดกันทางการค้ามีผลทำให้รัฐบาลใช้มาตรการการเงินการคลังอย่างเข้มงวดมีการประกาศลดค่าเงิน
บาทในปีพ.ศ. 2527การที่ในช่วงปลายแผนนี้ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยได้ลดลงจึงมีผลทำให้มีการฟื้นตัว
ทางเศรษฐกิจโดยที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ4.4ต่อปีและดุลการค้า
และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเฉลี่ยเพียง54พันล้านบาทและ34.9พันล้านบาทหรือร้อยละ5.6และร้อยละ
3.6ของGDPตามลำดับส่วนอัตราการออมมีอัตราที่ต่ำในขณะที่ประเทศมีความต้องการในการลงทุนดังนั้น
จึงมีความจำเป็นในการกู้เงินลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นส่งผลทำให้มีภาระหนี้ต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
5. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่5กระบวนการวางแผนเริ่มมีการนำการวางแผนแบบแผนงาน(programmingapproach)มาใช้และ
มีการวางแผนจากล่างสู่บนมากขึ้นดังนั้นในแผนพัฒนาฯฉบับที่6ยังคงนำแนวคิดการวางแผนแบบแผนงาน
มาใช้อีกครั้งส่งผลทำให้การวางแผนรายสาขาลดความสำคัญลงในแผนพัฒนาฯฉบับนี้เน้นการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังโดยเฉพาะการระดมเงินออมในประเทศมีการ
เน้นการใช้จ่ายภาครัฐให้มีประสิทธิภาพเน้นบทบาทของภาคเอกชนองค์กรประชาชนในท้องถิ่นในการพัฒนา
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการทบทวนบทบาทของรัฐในการพัฒนาประเทศ โดยปรับโครงสร้าง
การผลิตการตลาดของประเทศให้มีการกระจายมากขึ้นมีการพัฒนาเมืองและพื้นที่เฉพาะโดยการกระจาย
ความเจริญสู่ภูมิภาคมากขึ้น
ผลการพัฒนาของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 6 คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 10.8
ต่อปี โครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นภาวะเศรษฐกิจเปิดมากขึ้น โดยมีสัดส่วนการค้าต่างประเทศสูงถึงร้อยละ
80ต่อGDPอัตราเงินเฟ้อณสิ้นแผน(พ.ศ.2534)มีอัตราร้อยละ5.7เมื่อเทียบกับร้อยละ2.5ในปีพ.ศ.
2530รายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มจาก21,000บาทต่อปีในพ.ศ.2529เป็น44,307บาทต่อปีในพ.ศ.
2534 แต่ปัญหาการกระจายรายได้ของประชากรมีมากขึ้น ช่องว่างการออมกับการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
และมีปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-35แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
6. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535-2539) เป็นระยะที่สถานการณ์
ด้านการเมืองเริ่มเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยผู้กำหนดนโยบายมาจากการเลือกตั้งมากขึ้นกระแสโลกเริ่มเปลี่ยน
เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ทำให้แนวคิดการวางแผนเริ่มเห็นความจำเป็นในการกำหนดแนวความคิด“การพัฒนา
แบบยั่งยืน”จึงมีการกำหนดวัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาที่เน้นการสร้างความสมดุลสามด้านได้แก่
6.1 การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพโดยการดำเนินนโยบายการ
เงินการคลังการพัฒนาตลาดทุนการพัฒนาการเกษตรโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปรับโครงสร้าง
การผลิต การพัฒนาอุตสาหกรรมการค้า และการลงทุนเน้นการสร้างโอกาสในการแข่งขันกับต่างประเทศ
รวมถึงมีการพัฒนาและการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้
6.2 การกระจายรายได้และกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและชนบท โดยใช้มาตรการทาง
ดา้นภาษีและรายจา่ยของรฐับาลพรอ้มทัง้มีการกระจายอำนาจทางการคลงัสู่จงัหวดัและทอ้งถิน่มีการกระจาย
การถือครองทรัพย์สินด้วยการเร่งรัดการปฏิรูปที่ดินการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีการ
ปรับโครงสร้างการผลิตด้านเกษตรกรรมอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาคมากขึ้น มีการพัฒนาเมืองศูนย์กลางความ
เจริญในภูมิภาคเพื่อเป็นฐานทางด้านเศรษฐกิจและการจ้างงาน
6.3 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมโดยเน้นการพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์ทางด้านการศึกษา สาธารณสุข การพัฒนาจิตใจ วัฒนธรรมและสังคม มีการพัฒนาคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมพร้อมทั้งมีการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการ
ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในการพัฒนาเพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งสามด้านจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนากฎระเบียบ
ของภาครัฐบาล โดยมีการปรับปรุงกฎหมายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยการลดบทบาทของภาครัฐและ
ส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนการพัฒนาระบบราชการให้มีขนาดเล็กกะทัดรัดแต่มีคุณภาพจากการพัฒนา
ในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 7มีผลดังนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีอัตราการขยายตัวที่สูงโดย
เฉลี่ยร้อยละ7.8ต่อปีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก49,410บาทต่อปีในปี2535เป็น76,804บาทต่อปีในปี2539
มีช่องว่างของรายได้ระหว่างภูมิภาคมากขึ้น โดยที่รายได้ต่อหัวของประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีระดับรายได้ต่ำกว่าระดับรายได้ของประชากรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึง12เท่าการพัฒนา
ที่มุ่งเน้นการแข่งขันตามกระแสโลกาภิวัตน์มีผลทำให้สังคมไทยมีความเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น มีปัญหา
ย่อหย่อนในศีลธรรมการขาดระเบียบวินัยการเอารัดเอาเปรียบวิถีชีวิตและค่านิยมดั้งเดิมโดยเฉพาะสถาบัน
ครอบครวัชมุชนวฒันธรรมทอ้งถิน่เริม่จางหายไปสว่นชมุชนเมอืงเกดิความแออดัสภาวะแวดลอ้มเสือ่มโทรม
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม โดยพื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายปีละ 1 ล้านไร่ ที่ดินมีการชะล้าง
พังทลาย รวมถึงคุณภาพอากาศฝุ่นละออง เสื่อมมากขึ้น ซึ่งจากผลการพัฒนาในระยะดังกล่าว สรุปได้ว่า
“เศรษฐกิจดีสังคมมีปัญหาการพัฒนาไม่ยั่งยืน”
7. แผนพฒันาเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติฉบบัที่8(พ.ศ.2540-2544)สืบเนื่องจากผลการพัฒนา
ในอดีตประเทศไทยประสบผลสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจแต่มีปัญหาสังคมตามมาประกอบกับปัญหาทาง
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการเสื่อมโทรมมากขึ้นดังนั้นกระบวนการพัฒนาในแผนพัฒนาฯ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-36 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ฉบับที่ 8 เปลี่ยนกระบวนทัศน์การพัฒนาใหม่ โดยเน้นให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา โดยการพัฒนา
เศรษฐกิจเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาคนและเสริมสร้างศักยภาพของคนและสภาพแวดล้อมทาง
สังคมเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนตลอดจนการดูแลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนและสังคม โดยการ
วางแผนที่ใช้กระบวนการระดมความคิดเห็นจากประชาชนที่มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติทำหน้าที่ในการประสานร่วมกับคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.
อพช.)และผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสังคมโดยใช้เทคนิคในการระดมความคิดพลังสร้างสรรค์(Appreciation–
Influence–Control:AIC) ซึ่งเป็นการวางแผนที่ให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดแทนที่รัฐจะเป็นผู้กำหนดแบบ
ดั้งเดิม เป็นความสัมพันธ์รัฐกับประชาชนและมีแนวคิดการวิเคราะห์ปัญหาแบบองค์รวม (holistic) และ
การวางแผนแบบผสมผสาน(integration)นอกจากมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการการวางแผนแล้วยังมี
การเปลี่ยนแปลงในวิธีแผนปฏิบัติการและแผนงบประมาณโดยใช้หลักการประสานพื้นที่ ภารกิจและการมี
ส่วนร่วมของประชาชน(Area-Function-Participation:AFP)เพื่อลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการวางแผน
อีกทั้งเป็นการมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงเช่นใน
อดีตการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการพัฒนาดังกล่าวแล้วจะเห็นว่าแผนพัฒนาฯฉบับนี้เปลี่ยนแผนชี้ทิศทาง
การพัฒนาในอนาคตซึ่งเป็นการพัฒนาแบบองค์รวม รวมถึงการสร้างดัชนีชี้วัดในการติดตามประเมินผล
5ระดับได้แก่ดัชนีชี้วัดผลกระทบขั้นสุดท้ายของการพัฒนาดัชนีชี้วัดประสิทธิผลของการพัฒนาเฉพาะดัชนี
ชี้วัดประสิทธิผลของยุทธศาสตร์การพัฒนา ดัชนีชี้วัดประสิทธิผลขององค์กรที่ดำเนินงานพัฒนา และ
สถานการณ์ที่เป็นจริงในด้านต่างๆ สิ่งที่มีความสำคัญในแผนพัฒนาฉบับนี้มีการกำหนดแนวทางสู่การปฏิบัติ
โดยกำหนดให้หน่วยงานหลักในการวางแผนระดับชาติมีการปรับบทบาทและกลไกดำเนินงาน ซึ่งประกอบ
ด้วย5หน่วยงานหลักได้แก่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงาน
ทางด้านการจัดทำแผน สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานวางแผนทางด้านงบประมาณแผ่นดิน สำนักงาน
คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเป็นหน่วยงานวางแผนทางด้านกำลังคน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
เป็นหน่วยงานทำหน้าที่ในการตรวจสอบและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ใน
การดูแลทางด้านกฎหมาย
ผลการพัฒนาในช่วงสองปีแรกของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 8 เนื่องจากในปลายปี พ.ศ. 2540 เกิด
วิกฤติการณ์ทางการเงินที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอันนำไปสู่การขอรับความ
ช่วยเหลือทางวิชาการและการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และรับจะปฏิบัติตามแผนพื้นฟู
เศรษฐกิจที่ตกลงร่วมกันนอกจากนี้วิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์
และแนวทางการพัฒนาตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2540
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพัฒนาแผนพัฒนาฯฉบับที่8
ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางด้านมหภาคที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศแต่ยังคงยึดปรัชญา
และยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 8 แต่มีการปรับเป้าหมายบางเรื่องให้สอดคล้องกับเงื่อนไขและ
สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปโดยเสนอให้มีการเร่งรัดแนวทางที่มีการชี้นำไว้แล้วในแผนพัฒนาฯฉบับที่8รวมทั้ง
เพิ่มเติมแนวทางใหม่ๆเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบที่มีต่อคนพร้อมทั้งปูพื้นฐานการ
ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศในระยะต่อไป
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-37แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
8. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่9(พ.ศ.2545-2549)จากการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นจะต้องมีการปรับกระบวนการวางแผนพัฒนาประเทศสู่การ
พัฒนาซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนจำเป็นจะต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์อย่างเต็มที่การที่จะใช้ทรัพยากร
อย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ไปพร้อมๆกับการปรับ
โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มี
คุณภาพให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งทาง
ด้านการอุตสาหกรรมและบริการการวางแผนพัฒนาประเทศจะต้องมีการระดมความมีส่วนร่วมขององค์กร
ต่างๆ แนวทางการวางแผนพัฒนาประเทศจะเป็นแผนการพัฒนาที่กำหนดบทบาทหน้าที่(roleplans)ซึ่งเป็น
กรอบแนวทางการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่9เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาที่มาจากการระดมความ
คิดของประชาชนในระดับจังหวัดและระดับอนุภาคทั่วประเทศซึ่งการพัฒนาประเทศจะต้องคำนึงถึงความ
สอดคลอ้งกบักระแสการเปลีย่นแปลงตา่งๆ ทัง้ภายในและภายนอกที่จะมีผลตอ่การกำหนดทศิทางการพฒันา
ดังนั้นจึงเป็นการมุ่งรักษาสมดุลระหว่างการเป็นสังคมที่เปิดสู่โลกภายนอกและการรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิม
ที่ดีงามของสังคมไทยกรอบแนวทางการพัฒนามีประเด็นที่สำคัญดังนี้
8.1 จุดมุ่งหมายหลักของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 ควรเป็นแผนยุทธศาสตร์กว้าง ๆ ที่ชี้นำ
การพัฒนาประเทศในระยะ20–30ปีดังนั้นจำเป็นต้องมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของคน
ไทย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบองค์รวมที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนามีการพัฒนาทุก
มิติ (comprehensive planning) และมีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างมีดุลยภาพทุกด้านทั้งการพัฒนา
เศรษฐกิจสังคมการเมืองและสิ่งแวดล้อม
8.2 แนวคดิปรชัญาหลกัของแผนพฒันาฯฉบบัที่9โดยยดึหลกัการพฒันาแบบองค์รวมที่ยดึ
คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอันต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯฉบับที่8และมีการยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงเป็นแนวคิดพื้นฐานการพัฒนาด้านต่างๆหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินการในทาง
สายกลางที่อยู่บนพื้นฐานความพอดีเน้นการพึ่งตนเองขณะเดียวกันให้ก้าวทันโลกในยุคโลกาภิวัตน์ความ
พอเพียงที่เน้นการผลิตและบริโภคอยู่บนความพอประมาณและมีเหตุผล
8.3 สงัคมไทยที่พงึปรารถนาในอนาคตเพือ่ให้สอดคลอ้งกบักระแสการเปลีย่นแปลงทัง้ภายใน
และภายนอกประเทศ จึงมีความจำเป็นจะต้องมีการจัดระเบียบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้พร้อม
รองรับสถานการณ์ในอนาคตโดยมุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสร้างคุณค่าที่ดีในสังคมไทยเพื่อพัฒนา
สู่สังคมที่เข้มแข็งและมีดุลยภาพในสามด้านดังนี้
1) สังคมคุณภาพที่ยึดหลักความสมดุลพอดีและพึ่งตนเองได้โดยสร้างคนดีคนเก่ง
ที่มีความรบัผดิชอบพรอ้มดว้ยคณุธรรมครอบครวัอบอุน่ชมุชนเขม้แขง็เมอืงนา่อยู่การพฒันามีความสมดลุ
กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจมีเสถียรภาพเข้มแข็งและแข่งขันได้มีการกระจายรายได้
อย่างเป็นธรรมมีระบบการเมืองการปกครองที่ดีโปร่งใสตรวจสอบได้
2) สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ที่จะต้องสร้างโอกาสและพัฒนากระบวนการ
เรียนรู้ให้คนไทยทุกคนคิดเป็นทำเป็น เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างฐานทาง
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-38 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนมีการพัฒนาระบบการเข้าถึง
ข้อมูลข่าวสารและวิทยาการสมัยใหม่
3) สงัคมสมานฉนัท์และเอือ้อาทรตอ่กนัที่มีการดำรงไว้ซึง่คณุคา่เอกลกัษณ์วฒันธรรม
ไทยที่เกื้อกูลและพึ่งพากันรักษาไว้ซึ่งสถาบันครอบครัวพัฒนาเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งมีการสร้างจิตสำนึก
ใหม่ ทัศนคติ ค่านิยมของสังคมที่คำนึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ตลอดจนมีการดูแลช่วยเหลือ
ผู้ด้อยโอกาสและคนยากจนในสังคมเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
ดังนั้นการวางแผนพัฒนาระดับชาติในอนาคตเป็นการพัฒนาที่ยึดหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เป็นศูนย์กลางซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา
ประชาชนเพื่อประชาชนโดยประชาชนดังนั้นยุทธศาสตร์การพัฒนาควรที่จะต้องปรับระบบสภาพแวดล้อมให้
เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาคนในอนาคตดังนั้นจึงมีการปรับเปลี่ยนกลไกการบริหารภาครัฐจากการสั่งการและ
การควบคุม(commandandcontrol)เป็นการประสานให้ความร่วมมือ(collaboration)และเป็นผู้อำนวย
ความสะดวก(facilitator)
9. แผนพฒันาเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติฉบบัที่10(พ.ศ.2550-2554)ในระยะของแผนพัฒนาฯ
ฉบับนี้ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหลายบริบททั้งที่เป็นโอกาสและข้อจำกัด
ต่อการพัฒนาประเทศ จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมของคนและระบบให้สามารถปรับตัวพร้อมรับการ
เปลี่ยนแปลงในอนาคตและแสวงหาประโยชน์อย่างรู้เท่าทันโลกาภิวัตน์และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทุกภาคส่วน
ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 10นั้น ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลก
ในหลายด้านที่สำคัญ ซึ่งมีผลกระทบทั้งที่เป็นโอกาสและข้อจำกัดต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่ง
แนวโน้มของบริบทการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมี5บริบทดังนี้
1) การรวมตัวของกลุ่มเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินของโลก ทำให้การ
เคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้า และบริการ รวมทั้งคนในระหว่างประเทศมีความคล่องตัวมากขึ้น ประกอบกับ
การก่อตัวของศตวรรษแห่งเอเชียที่มีจีนและอินเดียเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกส่งผล
ให้ประเทศไทยต้องดำเนินนโยบายการค้าในเชิงรุก ทั้งการหาตลาดเพิ่มและการผลักดันให้ผู้ผลิตในประเทศ
ปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้บนฐานความรู้ ฐานทรัพยากรธรรมชาติและความเป็นไทย นอกจากนั้นปัญหา
ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจของโลกที่สะสมมานานและการขยายตัวของกองทุนประกันความเสี่ยงจะสร้าง
ความผันผวนต่อระบบการเงินของโลก จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุน
ระหว่างประเทศและการเตรียมความพร้อมต่อการผันผวนของค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก
2) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ
เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุ และนาโนเทคโนโลยี สร้างความเปลี่ยนแปลงทั้ง
ดา้นเศรษฐกจิและสงัคมทัง้ในดา้นโอกาสและภยัคกุคามจงึจำเปน็ตอ้งเตรียมพรอ้มให้ทนัตอ่การเปลีย่นแปลง
ของเทคโนโลยีดังกล่าวในอนาคต โดยจะต้องมีการบริหารจัดการองค์ความรู้อย่างเป็นระบบทั้งการพัฒนา
หรือสร้างองค์ความรู้ รวมถึงการประยุกต์เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาผสมผสานร่วมกับจุดแข็งในสังคมไทย
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-39แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
อาทิสร้างความเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้าและ
บริการมีการบริหารจัดการลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรมกับชุมชน
3) การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม ปัจจุบันประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคม
ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคามต่อประเทศไทย โดยด้านหนึ่งประเทศไทยจะมีโอกาสมากขึ้นใน
การขยายตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและการให้บริการด้านอาหารสุขภาพภูมิปัญญาท้องถิ่นและแพทย์พื้นบ้าน
สถานที่ท่องเที่ยวและการพักผ่อนระยะยาวของผู้สูงอายุ จึงนับเป็นโอกาสในการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น
ของไทยและนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มซึ่งจะเป็นสินทรัพย์ทางปัญญาที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้แต่ในอีกด้าน
ก็จะเป็นภัยคุกคามในเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีฝีมือและทักษะไปสู่ประเทศที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
ขณะเดียวกัน การแพร่ขยายของข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดนทำให้การดูแลและป้องกันเด็กและวัยรุ่นจาก
คา่นยิมที่ไม่พงึประสงค์เปน็ไปอยา่งลำบากมากขึน้ตลอดจนปญัหาการกอ่การรา้ยการระบาดของโรคพนัธุกรรม
ใหม่ๆและการค้ายาเสพติดในหลากหลายรูปแบบ
4) การเคลื่อนย้ายของคนอย่างเสรีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการขนส่งและกระแส
โลกาภิวตัน์สง่ผลให้มีการเดนิทางทัง้เพือ่การทอ่งเทีย่วและการทำธรุกจิในที่ตา่งๆทัว่โลกมากขึน้รวมทัง้สงัคม
และเศรษฐกิจฐานความรู้ ทำให้ประเทศต่าง ๆตระหนักถึงความสำคัญของบุคลากรที่มีองค์ความรู้สูงต่อ
ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในขณะที่กฎระเบียบที่เกี่ยวกับการรวมตัวของกลุ่มเศรษฐกิจ
มุ่งสู่การส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานและผู้ประกอบการเพื่อไปทำงานในต่างประเทศได้สะดวกขึ้น
ดงันัน้ประเทศไทยจงึตอ้งคำนงึถงึมาตรการทัง้ดา้นการสง่เสรมิคนไปทำงานตา่งประเทศการดงึดดูคนตา่งชาติ
เข้ามาทำงานในประเทศและมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาที่จะมีผลกระทบต่อ
ความมั่นคงของคนในเชิงสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน
5) การเปลี่ยนแปลงด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวนประชากรในโลกที่มาก
ขึ้นสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกให้เสื่อมโทรมลงส่งผลกระทบต่อความ
แปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและการเกิดภัยธรรมชาติบ่อยครั้งขึ้นรวมทั้งการเกิดการระบาดและแพร่เชื้อ
โรคที่มีรหัสพันธุกรรมใหม่ๆเป็นเหตุให้เกิดเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศและสนธิสัญญาเพื่อให้มีการดูแล
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโลกในประเด็นต่างๆร่วมกันอาทิอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลาย
ทางชีวภาพอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เป็นต้น
นอกจากนั้น การกีดกันทางการค้าที่เชื่อมโยงกับประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็มีมาก
ขึ้นประเทศไทยจึงต้องยกระดับมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยปกป้องฐานทรัพยากร
เพื่อรักษาความสมดุลยั่งยืนของระบบนิเวศ ด้วยการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้มี
ประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม และปรับรูปแบบการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและพัฒนาพลังงานทางเลือก เพื่อ
รองรับความต้องการใช้พลังงานในประเทศ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-40 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาคนระดับกลางและมีแนวโน้มการพัฒนาคนเพิ่มขึ้น
อย่างต่อเนื่องโดยค่าดัชนีการพัฒนาคนของประเทศไทยในปี2548เท่ากับ0.778อยู่ในลำดับ73จาก177
ประเทศซึ่งสูงกว่าจีนและเวียดนามแต่ต่ำกว่าญี่ปุ่นเกาหลีและสิงคโปร์สำหรับการพัฒนาคุณภาพคนด้าน
การศึกษาขยายตัวเชิงปริมาณอย่างรวดเร็ว โดยจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็น8.5ปีในปี2548และมีคนไทยที่คิดเป็นทำเป็นร้อยละ60ของประชากรส่วนการขยายโอกาสการเรียนรู้
ตลอดชีวิตมีมากขึ้น แต่ความสามารถในการเรียนรู้โดยเชื่อมโยงนำความรู้ไปปรับใช้ของคนไทยยังอยู่ใน
ระดับต่ำ คุณภาพการศึกษายังไม่เพียงพอในการปรับตัวเท่าทันการเปลี่ยนแปลงและเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจ
ฐานความรู้จึงเป็นประเด็นที่ต้องเร่งให้ความสำคัญระยะต่อไปแม้การศึกษาของแรงงานไทยที่จบการศึกษา
สูงกว่าระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ39.8ในปี2548แต่ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานไทยยังต่ำ
เมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซียเกาหลีสิงคโปร์ไต้หวันและญี่ปุ่นตลอดทั้งกำลังคนระดับกลางและระดับสูง
ยังขาดแคลนทั้งปริมาณและคุณภาพและยังมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเพียงร้อยละ0.26ต่อผลิตภัณฑ์
มวลรวมในประเทศต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง7เท่าตลอดจนการนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ยังอยู่
ในระดับต่ำจึงเป็นจุดอ่อนของไทยในการสร้างองค์ความรู้นวัตกรรมรวมทั้งการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศและ
เป็นจุดฉุดรั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต่างประเทศ
ขณะเดียวกันคนไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤติค่านิยมที่เป็นผลกระทบจากการเลื่อนไหลทาง
วัฒนธรรมต่างชาติเข้าสู่ประเทศทั้งทางสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยขาดการคัดกรองและ
เลอืกรบัวฒันธรรมที่ดีงามทำให้คณุธรรมและจรยิธรรมของคนไทยลดลงโดยเฉพาะเดก็และเยาวชนเนือ่งจาก
วถิีชวีติที่เปลีย่นไปทำให้สถาบนัครอบครวัสถาบนัการศกึษาและสถาบนัศาสนามีบทบาทในการอบรมเลีย้งด ู
ให้ความรู้ ปลูกฝังศีลธรรมให้มีคุณภาพและจริยธรรมลดน้อยลง นำไปสู่ค่านิยมและพฤติกรรมที่เน้น
วัตถุนิยมและบริโภคนิยมเพิ่มมากขึ้น ในด้านสุขภาวะคนไทยได้รับหลักประกันสุขภาพอย่างทั่วถึงร้อยละ
96.3 ในปี 2548 การเจ็บป่วยโดยรวมลดลงเหลือ 1,798.1 ต่อประชากรพันคนในปี 2547 อย่างไรก็ตาม
คนไทยยังเผชิญกับการเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งโรคอุบัติใหม่หรือ
โรคระบาดซ้ำที่เป็นผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ ส่วนหลักประกันทางสังคมยังไม่ครอบคลุมแรงงาน
นอกระบบและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอย่างทั่วถึง และคนไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยใน
ชีวิตและทรัพย์สินสูงขึ้น
ในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 10นั้น เศรษฐกิจของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตรา
เฉลี่ยร้อยละ5.7ต่อปีในช่วงปีพ.ศ.2545-2548และจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางโดยมีขนาด
ทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 20 จากจำนวน 192ประเทศในโลก โดยยังคงมีบทบาททางการค้าระหว่าง
ประเทศ และรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ในขณะที่การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น ตลอดทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ
ฐานความรู้ของประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น ขณะที่โครงสร้างการผลิตมีจุดแข็งที่มีฐานการผลิตที่หลากหลาย
ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะผันผวนของวัฏจักรเศรษฐกิจและสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคการ
ผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยมีจุดอ่อนในเชิงโครงสร้างที่ต้องพึ่งพิงการ
นำเข้าวัตถุดิบชิ้นส่วนพลังงานเงินทุนและเทคโนโลยีในสัดส่วนที่สูงโดยผลิตภาพการผลิตยังต่ำการผลิต
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-41แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
อาศัยฐานทรัพยากรมากกว่าองค์ความรู้มีการใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิตและบริโภคอย่างสิ้นเปลืองทำให้เกิด
ปัญหาสภาพแวดล้อมและผลกระทบในด้านสังคมตามมาโดยไม่ได้มีการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสมส่วน
โครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและโลจิสติกส์ยังขาดประสิทธิภาพและการเชื่อมโยงที่เป็นระบบทำให้มีต้นทุนสูง
ถึงร้อยละ16ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอีกทั้งภาคขนส่งยังมีสัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์สูงถึง
ร้อยละ38นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารและน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค
ยงัไม่กระจายไปสู่พืน้ที่ชนบทอยา่งเพยีงพอและทัว่ถงึสว่นโครงสรา้งพืน้ฐานดา้นวทิยาศาสตร์เทคโนโลยีและ
นวัตกรรมของไทยต่างอยู่ในระดับต่ำและตกเป็นรองประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งทางการค้า
อย่างไรก็ดีประเทศไทยมีจุดแข็งอยู่ที่การมีเสถียรภาพเศรษฐกิจในระดับที่ดีจากการดำเนินนโยบาย
เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของ
ประเทศในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดีโดยณสิ้นปี2548อัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ2และทุนสำรองเงินตรา
ระหว่างประเทศอยู่ในระดับ 52.1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่มีความเพียงพอในการเป็น
ภูมิคุ้มกันความเสี่ยงจากภายนอกอย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. 2547และ
ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันส่งผลให้ดุลการค้าดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงปัญหาความอ่อนแอ
ในเชิงโครงสร้างที่พึ่งพิงภายนอกมากเกินไปรวมทั้งประเทศไทยยังมีฐานะการออมที่ต่ำกว่าการลงทุนจึงต้อง
พึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศทำให้ประเทศมีความเสี่ยงจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและจากการเคลื่อน
ย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจภายใต้เงื่อนไขบริบท
โลกที่มีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของคนองค์ความรู้เทคโนโลยีเงินทุนสินค้าและบริการ
สำหรับการพัฒนาเพื่อเสริมสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาความยากจนมี
ส่วนช่วยให้ความยากจนลดลงตามลำดับและการกระจายรายได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ในปี2547มีจำนวน
ประชาชนที่ยังอยู่ภายใต้เส้นความยากจนซึ่งเป็นระดับรายได้ 1,242บาทต่อเดือนอยู่จำนวน 7.34 ล้านคน
คิดเป็นร้อยละ11.3ของประชากรทั้งประเทศสำหรับการกระจายรายได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆโดยค่าดัชนี
จีนี่(Ginicoefficient)ของประเทศไทยเท่ากับ0.499ลดลงต่อเนื่องจาก0.525ในปี2543และ0.501ใน
ปี2545แต่อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาการกระจายรายได้ต้องได้รับลำดับความสำคัญเนื่องจากเมื่อเปรียบ
เทียบกับประเทศอื่นๆแล้วการกระจายรายได้ในประเทศไทยยังมีความเท่าเทียมน้อยกว่าหลายประเทศ
10. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่11(พ.ศ.2555-2559)การพัฒนาในระยะแผน
พัฒนาฯฉบับที่ 11 ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งภายนอกและภายใน
ประเทศที่ปรับเปลี่ยนเร็วและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่อการพัฒนาประเทศ โดย
เฉพาะข้อผูกพันที่จะเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 จึงจำเป็นต้องนำภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ พร้อมทั้งเร่งสร้าง
ภูมิคุ้มกันในประเทศให้เข้มแข็งขึ้นมาใช้ในการเตรียมความพร้อมให้แก่คนสังคมและระบบเศรษฐกิจของ
ประเทศให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสมสามารถพัฒนาประเทศ
ให้ก้าวหน้าต่อไปเพื่อประโยชน์สุขที่ยั่งยืนของสังคมไทยตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 วิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่
ผ่านมาส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในการบริหารจัดการเศรษฐกิจโลกทั้งด้านการค้าการลงทุน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-42 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
การเงิน สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อการจัดระเบียบใหม่ที่สำคัญของโลกครอบคลุมถึงกฎ ระเบียบด้าน
การค้าและการลงทุนที่เน้นสร้างความโปร่งใสและแก้ปัญหาโลกร้อนมากขึ้น การคุ้มครองทรัพย์สินทาง
ปัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศและการกำกับดูแลด้านการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นพันธกรณีและข้อตกลง
เกีย่วกบัการเปลีย่นแปลงสภาพภมูิอากาศมาตรการทางการคา้ที่เกีย่วขอ้งกบัการแกไ้ขปญัหาโลกรอ้นและกฎ
ระเบียบด้านสังคมมีบทบาทสำคัญมากขึ้นโดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชนที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้
เกิดความเคารพและรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างเท่าเทียมกันกฎกติกาใหม่เหล่านี้จะเป็น
เครื่องมือในการต่อรองทางการค้าที่ผลักดันผู้ประกอบการไทยให้จำเป็นต้องยกระดับการผลิตให้ได้มาตรฐาน
ที่กำหนดเพื่อสามารถแข่งขันได้ข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมสิทธิมนุษยชนและธรรมาภิบาลจะ
เป็นแรงกดดันให้ต้องปรับกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นให้ความสำคัญกับการแสดงความ
รับผิดชอบต่อสังคมและการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้สูงขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่อาทิฮ่องกง เกาหลีสิงคโปร์ ไต้หวันและกลุ่มประเทศ
อาเซียนที่มีแนวโน้มเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโลกขณะที่นโยบายการเปิดประเทศของจีน
รัสเซียพลวัตการขยายตัวของบราซิลและอินเดีย และการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางในภูมิภาคเอเชีย จะเพิ่ม
กำลังซื้อในตลาดโลกนอกจากนี้การรวมกลุ่มเศรษฐกิจที่สำคัญต่อประเทศไทยในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่
11 ได้แก่การรวมกลุ่มในภูมิภาคเอเชียภายใต้กรอบการค้าเสรีของอาเซียนกับจีนญี่ปุ่นและอินเดียและ
การเป็นประชาคมอาเซียนในปี2558รวมทั้งกรอบความร่วมมืออื่นๆ อาทิกรอบความร่วมมือเอเชีย-แปซิฟิก
จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลายด้านโดย
เฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนากลไกต่างๆ
นอกจากนี้แล้วในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 11ประชากรสูงอายุในโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 81.9ล้านคน
และการเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศสำคัญๆ ในโลกมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายกำลังคนข้ามประเทศ
เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม ขณะที่โครงสร้างการผลิตเปลี่ยนจากการใช้แรงงานเข้มข้นเป็นการใช้
องค์ความรู้และเทคโนโลยีมากขึ้นทำให้การพัฒนาคนมุ่งสร้างให้มีความรู้ทักษะและความชำนาญควบคู่ไป
กับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ทดแทนกำลังแรงงานที่ขาดแคลนขณะเดียวกันประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
จะมีรายจ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นทำให้งบประมาณสำหรับการลงทุนพัฒนาด้านอื่นๆลดลง
การ เปลี่ยนแปลง ภายใน ของ ประเทศไทย ใน ช่วง แผน พัฒนาฯ ฉบับ ที่ 11 สามารถสรุปเป็นประเด็น
ได้ดังนี้
1) การเปลี่ยนแปลงสภาวะด้านเศรษฐกิจ อัตราการขยายตัวและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ดี ภาคอุตสาหกรรมเป็นภาคการผลิตที่มีบทบาทสูง ภาคเกษตรเป็นแหล่ง
สร้างรายได้หลักของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศและเป็นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรม
ภาคบริการมีบทบาทสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจ ขณะที่การเชื่อมโยงเศรษฐกิจในประเทศ
กับต่างประเทศทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุนสำหรับ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจไทย แต่ภาวะ
เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำและขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงทำให้บทบาทของการลงทุนในการขับเคลื่อน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-43แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจของไทยมีความอ่อนแอด้านปัจจัยสนับสนุนใน
ส่วนของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณภาพการบริการของโครงสร้างพื้นฐานกฎหมายกฎและระเบียบ
ทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการจัดระบบการแข่งขันที่เป็นธรรมและเหมาะสมกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกิจ
2) การเปลี่ยนแปลงสภาวะด้านสังคมประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุจากการมีโครงสร้าง
ประชากรวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น วัยเด็กและวัยแรงงานลดลงคนไทยได้รับการพัฒนาศักยภาพทุกช่วงวัย แต่มี
ปัญหาคุณภาพการศึกษาและระดับสติปัญญาของเด็กพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและผลิตภาพแรงงานต่ำ
ประชาชนได้รับการคุ้มครองทางสังคมเพิ่มขึ้นและมีการจัดสวัสดิการทางสังคมในหลายรูปแบบ แต่กลุ่ม
ผู้ด้อยโอกาสยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางสังคมได้อย่างทั่วถึงความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของประชากรและ
โอกาสการเขา้ถงึทรพัยากรเปน็ปญัหาการพฒันาประเทศสงัคมไทยเผชญิวกิฤติความเสือ่มถอยดา้นคณุธรรม
และจริยธรรมและมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย รวมถึงเผชิญปัญหาการแพร่ระบาดของ
ยาเสพติดและการเพิ่มขึ้นของการพนันโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนแต่คนไทยตื่นตัวทางการเมืองและ
ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและธรรมาภิบาลมากขึ้น
3) การเปลีย่นแปลงสภาวะดา้นทรพัยากรธรรมชาติและสิง่แวดลอ้มทุนทรัพยากรธรรมชาติ
เสือ่มโทรมการเปลีย่นแปลงสภาพภมูิอากาศสง่ผลซำ้เตมิให้ปญัหาทรพัยากรธรรมชาติและสิง่แวดลอ้มรนุแรง
กระทบต่อผลผลิตภาคเกษตรและความยากจนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยัง
ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ขณะที่มีความขัดแย้งทางนโยบายในการบูรณาการการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกับ
การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีความมั่นคงด้านอาหารแม้จะต้องเผชิญกับความท้าทาย
จากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความต้องการพืชพลังงาน
4) การเปลีย่นแปลงสภาวะดา้นการบรหิารจดัการการพฒันาประเทศประชาชนมีความตื่นตัว
ทางการเมืองสูงขึ้นแต่ความขัดแย้งทางการเมืองความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงอยู่และส่งผล
ต่อเศรษฐกิจการดำรงชีวิตของประชาชนและความเชื่อมั่นของนานาประเทศรวมทั้งความสงบสุขของสังคม
ไทย ขณะที่ประสิทธิภาพภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมที่ดีขึ้น แต่ขีดความสามารถในการป้องกัน
การทุจริตต้องปรับปรุงการกระจายอำนาจประสบความสำเร็จในเรื่องการเพิ่มรายได้ให้องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น แต่มีความล่าช้าในการถ่ายโอนภารกิจและมีความไม่ชัดเจนในการแบ่งบทบาทหน้าที่กับราชการ
ส่วนกลางขณะเดียวกันการคอรัปชั่นยังคงเป็นปัญหาสำคัญของไทยและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้แล้วโครงสร้างประชากรในประเทศไทยที่มีวัยสูงอายุเพิ่มขึ้นขณะที่ประชากรวัยเด็กและ
วัยแรงงานลดลงประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี2568ขณะที่สัดส่วนประชากรวัยเด็ก
และวัยแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 11 อาจกระทบต่อความต้องการแรงงานใน
ระบบเศรษฐกิจในอนาคตการแข่งขันเพื่อแย่งชิงแรงงานจะมีมากขึ้นโดยเฉพาะแรงงานคุณภาพภาครัฐและ
ครัวเรือนจะมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในด้านต่างๆส่งผลต่อ
ภาระงบประมาณของภาครัฐ และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในการดูแลสุขภาพอนามัย และการจัดสวัสดิการ
ทางสังคม
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-44 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยที่จะต้องเผชิญคือ ค่านิยมที่ดีงามเสื่อมถอยและประเพณี
ดั้งเดิมถูกบิดเบือน เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้สังคมไทยมีความเป็น
วัตถุนิยม ให้ความสำคัญกับศีลธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงามลดลง ทั้งการดำรงชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิต
และความสัมพันธ์กับผู้อื่นมุ่งหารายได้เพื่อสนองความต้องการบริโภคการช่วยเหลือเกื้อกูลกันลดลงความ
มีน้ำใจไมตรีน้อยลงแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบกันขาดความสามัคคีไม่เคารพสิทธิผู้อื่นและขาดการยึดถือ
ประโยชน์ส่วนรวม
นอกจากนี้แล้วฐานทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของประเทศมีแนวโน้มเสื่อมโทรม
รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านกายภาพการใช้ประโยชน์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้
สถานการณ์และแนวโน้มความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงโดยเฉพาะ
น้ำท่วมภัยแล้งการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองไม่คุ้มค่าและปริมาณของเสียที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่ความเสี่ยง
ต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ รวมไปถึงการกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภัยพิบัติจะ
เกิดขึ้นบ่อยครั้งกระทบต่อฐานการผลิตภาคเกษตรความมั่นคงด้านอาหารพลังงานสุขภาวะและคุณภาพ
ชีวิตของประชาชน
ทิศทาง การ พัฒนา ประเทศ ใน ช่วง แผนพัฒนาฯ ฉบับ ที่ 11
การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาฯฉบับที่11ตระหนักถึงสถานการณ์และความเสี่ยงซึ่งเกิด
ขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกและภายในประเทศ โดยเฉพาะภาวะผันผวนด้านเศรษฐกิจพลังงาน
และภูมิอากาศที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อประเทศไทยทั้งเชิงบวกและลบดังนั้น
ทิศทางการบริหารจัดการประเทศภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
จึงเป็นการใช้จุดแข็งและศักยภาพที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเพื่อสร้างความเข้มแข็งและ
รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศที่เน้น
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของฐานการผลิตภาคเกษตร และการประกอบการของวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดยอ่มขณะเดยีวกนัจำเปน็ตอ้งปรบัตวัในการเชือ่มโยงกบัระบบเศรษฐกจิโลกและภมูภิาคซึง่ประเทศไทย
มีพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพื่อสามารถใช้โอกาสที่เกิดขึ้นและเพิ่มภูมิคุ้มกันของทุนที่มี
อยู่ในสังคมไทยได้อย่างเหมาะสมพร้อมก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ขณะเดียวกันจำเป็น
ต้องสร้างความพร้อมสำหรับเชื่อมโยงด้านกายภาพทั้งโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ควบคู่กับการ
ยกระดับคุณภาพคนการเสริมสร้างองค์ความรู้การพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีนวัตกรรมและความคิด
สร้างสรรค์ให้เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ
ในระยะแผนพัฒนาฯฉบับที่ 11 จึงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในมิติต่าง ๆ เพื่อให้การพัฒนาประเทศสู่ความ
สมดุลและยั่งยืนโดยนำทุนของประเทศที่มีศักยภาพมาใช้ประโยชน์อย่างบูรณาการและเกื้อกูลกันพร้อมทั้ง
เสริมสร้างให้แข็งแกร่งเพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศที่สำคัญได้แก่การเสริมสร้างทุนสังคม(ทุนมนุษย์
ทนุสงัคมทนุทางวฒันธรรม)ให้ความสำคญักบัการพฒันาคนและสงัคมไทยสู่สงัคมคณุภาพมุง่สรา้งภมูคิุม้กนั
ตั้งแต่ระดับปัจเจกครอบครัว และชุมชนสามารถจัดการความเสี่ยง และปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง
มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นธรรมสำหรับการ
เสริมสร้างทุนเศรษฐกิจ(ทุนกายภาพทุนทางการเงิน)มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็งโดยใช้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-45แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างการ
ค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดภายในประเทศและต่างประเทศการผลิตที่เป็น
มิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคต่างๆบนพื้นฐานการพึ่งพาซึ่งกันและกันใน
ส่วนการเสริมสร้างทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้าน
อาหาร การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นฐานการผลิตภาคเกษตรมุ่งสู่การเป็น
เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมการเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง
ภมูิอากาศและภยัพบิตัิทางธรรมชาติรวมทัง้การสรา้งภมูคิุม้กนัดา้นการคา้จากเงือ่นไขดา้นสิง่แวดลอ้มควบคู่
ไปกับการเพิ่มบทบาทไทยในเวทีประชาคม ขณะเดียวกันจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการประเทศเพื่อสร้าง
ความเป็นธรรมในสังคม ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบราชการและข้าราชการโดยยึดหลักธรรมาภิบาล
เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนาระบบและกลไกการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างมีส่วนร่วม ส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับมีโอกาสเข้าถึง
กระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมและสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรควบคู่ไปกับปลูกจิต
สำนึกค่านิยมประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลแก่ประชาชนทุกกลุ่ม
ยุทธศาสตร์ การ พัฒนา คน สู่ สังคม แห่ง การ เรียน รู้ ตลอด ชีวิต อย่าง ยั่งยืน ใน แผน พัฒนา ฉบับ ที่ 11 ให้
ความสำคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้
1. การปรับโครงสร้างและการกระจายตัวประชากรให้เหมาะสม เป็นการส่งเสริมคู่สมรสที่มีความ
พร้อมให้มีบุตรเพิ่มขึ้น และรักษาระดับอัตราเจริญพันธุ์ไม่ให้ต่ำกว่าระดับที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สนับสนุน
การกระจายตัวและส่งเสริมการตั้งถิ่นฐานของประชากรให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพ โอกาสและ
ทรัพยากรธรรมชาติของพื้นที่
2. การพัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงมุ่งพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกช่วง
วัยสอดแทรกการพัฒนาคนด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่เสริมสร้างวัฒนธรรมการเกื้อกูลพัฒนาทักษะให้คนมี
การเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต ต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรมที่เกิดจากการฝึกฝนเป็นความคิดสร้างสรรค์
ปลูกฝังการพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นและจิตใจที่มีคุณธรรมซื่อสัตย์มีระเบียบวินัยพัฒนาคนด้วย
การเรียนรู้ในศาสตร์วิทยาการให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างหลากหลายสอดคล้องกับแนวโน้มการจ้าง
งานและเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนสร้างจิตสำนึกให้คนไทยมีความรับผิดชอบต่อสังคม
เคารพกฎหมายหลักสิทธิมนุษยชน สร้างค่านิยมการผลิตและบริโภคที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เรียนรู้
การรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ
3. การส่งเสริมการลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมโดยสร้างเสริมสุขภาวะคนไทยให้มี
ความสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจพัฒนาความรู้และทักษะในการดูแลสุขภาพของตนเองครอบครัว
ชุมชนสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อสุขภาพควบคู่กับการพัฒนาระบบบริการ
สาธารณสุขให้มีคุณภาพพร้อมทั้งการส่งเสริมการแพทย์ทางเลือกการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสุขภาพของ
ประเทศ การพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุขให้เหมาะสมทั้งการผลิตและการกระจายบุคลากร ตลอดจน
การใช้มาตรการการเงินการคลังเพื่อสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-46 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
4. การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตมุ่งสร้างกระแสสังคมให้การเรียนรู้เป็นหน้าที่ของคนไทยทุก
คนมีนิสัยใฝ่รู้รักการอ่านตั้งแต่วัยเด็กและส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของคนต่างวัยควบคู่กับการส่งเสริม
ให้องค์กรกลุ่มบุคคลชุมชนประชาชนและสื่อทุกประเภทเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์สื่อสารด้วยภาษา
ที่เข้าใจง่ายรวมถึงส่งเสริมการศึกษาทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและสร้างสังคมแห่ง
การเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสนับสนุนปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันทางสังคม เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนา
บทบาทของสถาบันหลักทางสังคมให้เอื้อต่อการพัฒนาคนสร้างค่านิยมให้คนไทยภูมิใจในวัฒนธรรมไทย
และยอมรับความแตกต่างของความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ลดปัญหาความขัดแย้งทางความคิด และ
สร้างความเป็นเอกภาพในสังคมสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวัฒนธรรมร่วมกับประชาคมโลกโดยเฉพาะ
ประชาคมอาเซียนให้เกิดการไหลเวียนทางวัฒนธรรมในรูปแบบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริมความเข้าใจ
ระหว่างประชาชนในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลข่าวสาร
ยุทธศาสตร์ ความ เข้ม แข็ง ภาค เกษตร ใน แผน พัฒนาฯ ฉบับ ที่ 11ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของ
อาหารและพลังงานโดยในแผนพัฒนาฯฉบับที่11นั้นมีสาระสำคัญดังนี้
1. การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นฐานการผลิตภาคเกษตรให้เข้มแข็งและยั่งยืน มุ่งรักษา
ป้องกันและคุ้มครองพื้นที่ที่มีศักยภาพทางการเกษตรสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยมีที่ดินเป็นของตนเอง
หรือมีสิทธิทำกินในที่ดิน ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อบังคับหรือจูงใจให้บุคคลผู้ถือครองที่ดินทำประโยชน์ใน
พื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น สนับสนุนการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เร่งรัดการจัดให้
มีองค์กรและระบบบริหารจัดการที่ดินให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นฐานการผลิต
ภาคการเกษตรฟื้นฟูและส่งเสริมค่านิยม วัฒนธรรมที่ดี และวิถีชีวิตทางการเกษตรที่ให้ความสำคัญกับ
การพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
2. การเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการผลิตภาคเกษตร ภาครัฐให้ความสำคัญกับการวิจัย
และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนสนับสนุนการผลิตทางการเกษตรที่
สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ ควบคุมและกำกับดูแลให้มีการนำเข้าและใช้สารเคมีทางการเกษตรที่ได้มาตรฐาน
ปรับปรุงบริการขั้นพื้นฐานเพื่อการผลิตให้ทั่วถึงส่งเสริมการผลิตที่คงไว้ซึ่งความหลากหลายของพันธุ์พืชและ
สตัว์ที่เหมาะสมกบัสภาพภมูิอากาศและสิง่แวดลอ้มของประเทศพฒันาและเสรมิสรา้งองค์ความรู้วทิยาศาสตร์
และเทคโนโลยีต่าง ๆที่เหมาะสมทางการเกษตร รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อมให้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง
3. การสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตสนับสนุนการผลิตและบริการ
ของชุมชนในการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรอาหารและพลังงานส่งเสริมสถาบันการศึกษาในพื้นที่ให้ร่วม
ศึกษาวิจัยกับภาคเอกชนสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการนำองค์ความรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการ
ผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนฐานความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าผลิตภัณฑ์
เกษตรและอาหารยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานระบบการผลิตสินค้าเกษตร
ให้เทียบเท่าระดับสากล ส่งเสริมระบบตลาดกลางสินค้าเกษตรและตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-47แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ส่งเสริมภาคเอกชนและองค์กรชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการระบบสินค้าเกษตรและอาหารร่วม
กับสถาบันเกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการโลจิสติกส์ของภาคเกษตร
4. การสร้างความมั่นคงในอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรมุ่งพัฒนาระบบการสร้างหลักประกัน
รายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงและครอบคลุมเกษตรกรทั้งหมด พัฒนาระบบประกันภัยพืชผล
การเกษตรส่งเสริมระบบการทำการเกษตรแบบมีพันธะสัญญาที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายยกระดับคุณภาพชีวิต
และความเป็นอยู่ของเกษตรกรสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนเกษตรกรรุ่นใหม่และแรงงานที่มีคุณภาพเข้าสู่อาชีพ
เกษตรกรรมพฒันาสถาบนัเกษตรกรและวสิาหกจิชมุชนให้เปน็กลไกสนบัสนนุการพึง่พาตนเองของเกษตรกร
เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่มี
ต้นทุนต่ำที่เป็นผลมาจากข้อตกลงการเปิดการค้าเสรี
5. การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพัฒนาพลังงานชีวภาพในระดับครัวเรือนและชุมชน โดย
สง่เสรมิให้เกษตรกรปลกูตน้ไม้และปลกูปา่โดยชมุชนและเพือ่ชมุชนเพิม่ขึน้สง่เสรมิให้เกษตรกรทำการเกษตร
ด้วยระบบเกษตรยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสนับสนุนให้มีการจัดการและเผยแพร่องค์ความรู้
และการพัฒนาด้านอาหารศึกษาทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง รวมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภค
ที่เหมาะสมของบุคคลและชุมชนสนับสนุนการสร้างเครือข่ายการผลิตและการบริโภคที่เกื้อกูลกันในระดับ
ชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ส่งเสริมการนำวัตถุดิบทางการเกษตรที่ผลิตได้ในชุมชนและที่เหลือใช้จาก
การเกษตรมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนในชุมชนรวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ให้เป็น
เครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งด้านอาหารให้กับเกษตรกรและชุมชนอย่างเป็นระบบ
6. การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานชีวภาพเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศและความเข้มแข็ง
ภาคเกษตร ด้วยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานจากพืชพลังงาน
จัดให้มีระบบการบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่ใช้เป็นทั้งอาหารและพลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและ
การใช้พลังงานชีวภาพที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิตและบริการ จัดให้มีกลไกกำกับดูแลโครงสร้างราคาของ
พลังงานชีวภาพและปลูกจิตสำนึกในการใช้พลังงานชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
7. การปรับระบบบริหารจัดการภาครัฐเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน โดย
สนับสนุนบทบาทของเกษตรกร เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านภาคเอกชนและชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ
กำหนดทิศทางและวางแผนการผลิตทางการเกษตรปรับกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
ให้มีการร่วมมือและบูรณาการการทำงานอย่างจริงจังทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่พัฒนาระบบฐานข้อมูล
สารสนเทศด้านอาหารและพลังงานตั้งแต่การผลิตการตลาดไปจนถึงการบริโภคพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กบัการพฒันาดา้นการเกษตรสง่เสรมิความรว่มมอืระหวา่งประเทศทัง้ในระดบัพหภุาคีและทวภิาคีโดยเฉพาะ
ประชาคมอาเซียนที่ก่อให้เกิดความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-48 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ตาราง ที่ 4.2 สรุป แผน พัฒนา เศรษฐกิจ และ สังคม แห่ง ชาติ ฉบับ ที่ 1-11
แผน ระยะเวลา (พ.ศ.) จุดมุ่งหมายสำคัญ
ฉบับที่1 2504-2509(6ปี) -การลงทุนขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งการชลประทานไฟฟ้า
ฉบับที่2 2510-2514 -การลงทุนขั้นพื้นฐานต่อเนื่องจากแผนฯ1
-ขยายขอบเขตการลงทุนให้ครอบคลุมไปถึงรัฐวิสาหกิจและรายการ
ส่วนท้องถิ่น
-การพัฒนาชนบท
ฉบับที่3 2515-2519 -เร่งรัดการส่งออกและสนับสนุนอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า
-เพิ่มกลยุทธ์ด้านสังคมโดยเฉพาะการลดอัตราการเกิดของประชากร
-มุ่งเน้นการกระจายรายได้ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
-การพัฒนาความมั่นคงทางการเมือง(การเตรียมพร้อมทางเศรษฐกิจ)
ฉบับที่4 2520-2524 -การฟื้นฟูฐานะเศรษฐกิจของชาติ
-การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
-การบริหารทรัพยากรธรรมชาติและสำรวจแหล่งพลังงานภายในประเทศ
ฉบับที่5 2525-2529 -การพัฒนาแนวรุกโดยยึดพื้นที่เป็นหลักพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
-การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
-ส่งเสริมอุตสาหกรรมส่งออกให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา
-การแก้ปัญหาความยากจนในชนบทโดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่ชัดเจน
ฉบับที่6 2530-2534 -ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
-ดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่รัดกุม
-ระดมเงินออมภายในประเทศเพื่อลงทุนในโครงสร้างบริการพื้นฐาน
-ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของอุตสาหกรรมส่งออกที่ใช้แรงงานสูง
ฉบับที่7 2535-2539 -รักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
-แก้ปัญหาการกระจายรายได้
-การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร
ธรรมชาติ
ฉบับที่8 2540-2544 -เสริมสร้างศักยภาพของคน
-พัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมและเสริมสร้างความเข้มแข็งของ
ครอบครัวและชุมชน
-พัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมั่นคงและสมดุล
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-49แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
แผน ระยะเวลา (พ.ศ.) จุดมุ่งหมายสำคัญ
-ใช้ประโยชน์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มี
ความสมบูรณ์
-ปรับระบบบริหารจัดการ
ฉบับที่9 2545-2549 -อัญเชิญแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาท-
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นปรัชญาในการพัฒนาและบริหารประเทศ
-การพัฒนาแบบบูรณาการโดยเน้นคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาโดย
ยึดหลักทางสายกลาง
-ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่สมดุลทั้งด้านตัวคน สังคม เศรษฐกิจ
และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของ
คนไทย
ฉบับที่10 2550-2554 -การเตรียมความพร้อมของคนและระบบให้มีภูมิคุ้มกันพร้อมรับการ
เปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ยังคงอัญเชิญปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เน้นคนเป็นศูนย์กลาง
ในการพัฒนา
-ให้ความสำคัญกับพลังสังคมจากทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมดำเนินการ
ในทุกขั้นตอนของแผนพัฒนาฯ
- สร้างเครือข่ายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่การปฏิบัติรวมทั้ง
การติดตามตรวจสอบผลการดำเนินงานตามแผนอย่างต่อเนื่อง
ฉบับที่11 2555-2558 - การพัฒนาประเทศที่เน้นให้ประเทศมีความมั่นคงเป็นธรรมและมี
ภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง
-การพัฒนาฐานการผลิตและบริการ การสร้างความเป็นธรรมและลด
ความเหลือ่มลำ้ทางเศรษฐกจิสงัคมและสรา้งภมูคิุม้กนัจากวกิฤตกิารณ์
-เนน้การพฒันาเพือ่ใหท้รพัยากรและสิง่แวดลอ้มอดุมสมบรูณอ์ยา่งยัง่ยนื
คนไทยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และพร้อมเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง
ได้อย่างเป็นสุข
-มีเป้าหมายหลักให้เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งสมดุล ความสามารถใน
การแขง่ขนัทีส่งูขึน้มหีลกัประกนัสงัคมทีท่ัว่ถงึสงัคมไทยมคีวามสขุอยา่ง
มีธรรมาภิบาล
ตาราง ที่ 4.2 (ต่อ)
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-50 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
แผน ระยะเวลา (พ.ศ.) จุดมุ่งหมายสำคัญ
-การสร้างฐานการผลิตให้เข้มแข็ง สมดุล อย่างสร้างสรรค์ การสร้าง
สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตการค้า การลงทุน การพัฒนา
คุณภาพคน ทั้งความรู้คู่คุณธรรม สังคมมั่นคงเป็นธรรม มีพลังและ
เอื้ออาทร เน้นการผลิตและการบริโภคที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มีความมั่นคงของพลังงานและอาหาร และเพิ่มขีดความสามารถใน
การแข่งขันของประเทศ
ที่มา:สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,2555.
ข้อ จำกัด ใน การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศไทยการพัฒนาในระยะเวลา50ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2504–ปัจจุบันประเทศไทยประสบผลสำเร็จ
ในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยส่วนรวมแต่การพัฒนาที่ผ่านมาประเทศไทยก็ยังประสบถึงข้อจำกัดและอุปสรรค
ดังนี้
1. โครงสร้างการผลิต สืบเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมหลังจากมีแผนพัฒนา
เศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาติรวม8ฉบบัประเทศไทยเปลีย่นโครงสรา้งการผลติจากที่เนน้ทางดา้นเกษตรกรรม
เป็นการพัฒนาที่เน้นทางด้านอุตสาหกรรม โดยสาขาเกษตรกรรมยังคงพึ่งพาสินค้าหลัก โดยเฉพาะรายได้
จากภาคเกษตรกรรมส่วนใหญ่เป็นรายได้จากพืชผลสูงถึงร้อยละ 60.7 ของรายได้ทั้งหมด เป็นรายได้ที่มา
จากพืชเศรษฐกิจหลักเพียง6ชนิดเท่านั้นคือข้าวมันสำปะหลังอ้อยข้าวโพดปาล์มและยางพาราการที่
สาขาเกษตรกรรมยังคงพึ่งสินค้าเพียง6ชนิดทำให้เกิดความเสี่ยงในด้านการผลิตการตลาดทำให้ไม่สามารถ
บรรลุถึงเป้าหมายได้ ส่วนสาขาอุตสาหกรรมยังคงกระจุกตัวเฉพาะอุตสาหกรรมหลัก อุตสาหกรรมอาหาร
เครื่องดื่มสิ่งทอเครื่องนุ่งห่มปิโตรเลียมเครื่องจักรกลและอิเล็กทรอนิกส์ทำให้การสินค้าเหล่านี้มีตลาด
จำกัด ถ้ามีการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าจากประเทศคู่ค้าทำให้ประเทศสามารถที่จะส่งออกไปได้
และการที่ประเทศไทยปรับเปลี่ยนนโยบายเน้นการส่งออกในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้นอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นอุตสาหกรรมการ
ผลิตขนาดใหญ่ มีการใช้เงินลงทุนสูง ประกอบกับเป็นอุตสาหกรรมต้องใช้เครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัย
แต่ประเทศไทยไม่สามารถที่จะระดมเงินทุนจากภายในประเทศในจำนวนมากได้ และไม่สามารถที่จะผลิต
เครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัยได้ จึงมีความจำเป็นจะต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในปี
พ.ศ.2542จำนวนเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นสหรัฐอเมริกาจำนวนสูงถึง
837.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 726.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ และมีการนำเข้าเครื่องจักรเครื่องมือ
รวมทั้งวัตถุดิบในการผลิตจากต่างประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2542 มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่สำคัญจำพวก
เครื่องใช้ทางการแพทย์มีมูลค่าสูงถึง32,003ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ1.22ล้านล้านบาทซึ่งเป็น
ตาราง ที่ 4.2 (ต่อ)
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-51แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
การสูญเสียเงินตราต่างประเทศในอัตราที่สูง การที่โครงสร้างการผลิตเป็นลักษณะการผลิตที่ไม่ได้คำนึงถึง
ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบที่จะนำไปสู่การแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ
2. ด้านทรัพยากรมนุษย์ เนื่องจากกำลังแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีการศึกษาระดับประถม
ศึกษา โดยในปี พ.ศ. 2542 แรงงานที่จบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาสูงถึงร้อยละ 69.8 ของแรงงาน
ทั้งหมดส่วนแรงงานที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีเพียงร้อยละ7.4ของจำนวนแรงงานทั้งหมดเท่านั้น
การที่แรงงานส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาต่ำมีผลต่อระดับรายได้ที่มีอัตราค่าจ้างที่ต่ำ ประกอบกับแนวโน้ม
การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเป็นการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมที่มีการใช้เครื่องจักรเครื่องมือที่ทันสมัยที่ใช้
เทคโนโลยีขั้นสูงแต่แรงงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรเครื่องมือ
ได้อย่างเต็มที่คือแรงงานจะทำหน้าที่เฉพาะการควบคุมการผลิตเท่านั้นแต่เมื่อเกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิค
จำเป็นจะต้องใช้ช่างเทคนิคจากต่างประเทศเข้ามาซ่อมแซมและโอกาสในการพัฒนาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
มีน้อยประกอบกับในปัจจุบันนี้แนวโน้มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบ
กับประเทศจีน อินโดนีเซีย อินเดีย ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเริ่มเปลี่ยนฐานการลงทุนสู่ประเทศที่มี
ค่าจ้างต่ำกว่า
3. ดา้นทรพัยากรธรรมชาติและสิง่แวดลอ้มเนือ่งจากการพฒันาที่ผา่นมาเปน็การพฒันาที่เนน้อตัรา
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยมีผลทำให้เกิดความเสื่อมโทรม
ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะทรัพยากรที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมที่มีปัญหาเป็นสภาพ
ดินเปรี้ยวดินเค็มและความอุดมสมบูรณ์ของดินยังถูกทำลายจากการชะล้างพังทลายประกอบกับการผลิต
ในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะหรือของเสียจากกระบวนการผลิตประกอบกับในปัจจุบันประเทศคู่ค้า
ตั้งเงื่อนไขทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งทำให้ปริมาณการส่งออกของไทยมีจำนวนลดลง
4. ระบบสถาบันกฎกติกาจากข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO)กำหนดให้เปิดตลาดการ
ค้าเสรี แต่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วใช้มาตรการใหม่ ๆ ในการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะมาตรการทาง
ด้านสิ่งแวดล้อมการใช้แรงงานเด็ก สิทธิมนุษยชนการเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด ในปัจจุบันประเทศที่
พัฒนาแล้วกำหนดนโยบายที่ไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าสินค้าที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม (Genetically
ModifiedOrganisms:GMO)และมีการกำหนดในเรื่องการปิดฉลาก เรื่องการใช้อวนลอยในการจับปลา
ทูนาและปลาปากแหลมมาเป็นประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-52 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เรื่อง ที่ 4.2.3 บทบาท ของ ภาครัฐ และภาค เอกชน ใน การ พัฒนา
เศรษฐกิจ
ในเรื่องที่4.2.3นี้จะกล่าวถึงภาคส่วนที่มีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย2ภาคส่วน
ได้แก่ ภาครัฐซึ่งถือได้ว่ามีบทบาทโดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อีกภาคส่วนหนึ่ง คือภาค
เอกชนซึ่งสามารถกล่าวได้ว่ามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจใน
รูปแบบคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ซึ่งรายละเอียดสามารถ
อธิบายได้ดังนี้
บทบาท ของ รัฐบาล ใน การ พัฒนา เศรษฐกิจมีดังนี้1. การชี้นำส่งเสริมและช่วยเหลือภาคเอกชนเพื่อชักนำให้ภาคเอกชนลงทุนในกิจกรรมสาขาและ
พื้นที่ที่ต้องการ ซึ่งจะมีผลทำให้จุดมุ่งหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจบรรลุผล ในการนี้รัฐบาลสามารถให้
ความช่วยเหลือแก่ภาคเอกชนโดยผ่านมาตรการต่างๆ เช่นการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารด้านทิศทางและแนวทาง
การพัฒนาเศรษฐกิจ การส่งเสริมและการให้สิทธิประโยชน์แก่กิจกรรมที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การ
ปรับปรุงและส่งเสริมระบบตลาดและสภาพการแข่งขันเสรีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบข้อบังคับและกฎหมาย
ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการขยายตัวของภาคเอกชน การให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินและ
สินเชื่อตลอดจนการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและวิชาการต่างๆเป็นต้น
2. การจัดให้มีสินค้าสาธารณะและโครงการขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเช่น
การคมนาคมขนส่งไฟฟ้าน้ำประปาโทรศัพท์สนามบินท่าเรือการศึกษาและสาธารณสุขเป็นต้น
3. การปรับปรุงการกระจายรายได้ทั้งในระหว่างกลุ่มอาชีพและในระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ ภายใน
ประเทศ เพื่อให้การกระจายรายได้มีความเสมอภาคกันมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้เครื่องมือทางด้านภาษีอากร
การปฏิรูปที่ดิน และการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือกลุ่มชนที่ยากจนทั้งในเมืองและในชนบท เช่น
การพัฒนาชนบทยากจนเป็นต้น
4. การรกัษาเสถยีรภาพทางเศรษฐกจิโดยป้องกันมิให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อเงินฝืดปัญหาการว่างงาน
และปัญหาการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินระหว่างประเทศด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงินและการ
คลัง
5. การชี้นำการพัฒนาประเทศเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
6. การติดต่อและปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบัน
การค้าการเงินและการลงทุนระหว่างประเทศพัฒนาไปสู่ความสลับซับซ้อนและเกี่ยวพันกับประเทศต่างๆ
เป็นอันมาก และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของต่างประเทศมีผลกระทบต่อความจำเริญเติบโตและ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-53แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย ดังนั้นหน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของรัฐบาลในปัจจุบัน
ซึ่งได้แก่ การติดตามความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด การติดต่อสัมพันธ์ใน
เรื่องการค้า การเงินและการลงทุนกับต่างประเทศและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจกับมิตรประเทศ เพื่อผล
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพรัฐบาลต้องมี
ภารกิจหรืองานที่ต้องดำเนินการภารกิจดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น3กลุ่มภารกิจหลักดังนี้
1) การวางแผนพัฒนาประเทศ โดยทั่วไปภารกิจนี้จะประกอบด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์
จุดหมาย เป้าหมายนโยบาย และแนวทางการดำเนินงานเพื่อการพัฒนา ในการนี้รัฐบาลอาจจะจัดทำแผน
ระยะยาวระยะปานกลางและแผนปฏิบัติการประจำปีเพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางในการพัฒนาการจัดทำ
แผนจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุมีผลและถูกต้องตามหลักวิชาการโดยก่อนที่จะตัดสินใจในเรื่องอะไรจะต้องมี
การศึกษาวิเคราะห์ให้ละเอียดทุกแง่ทุกมุมและมีการพิจารณาถึงทางเลือกต่างๆเท่าที่มีเสียก่อนแล้วจึงค่อย
ตัดสินใจว่าจะเลือกทางเลือกใดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดภายใต้สภาพการณ์และจุดมุ่งหมายที่ต้องการ
2) การบริหารและการนำแผนไปสู่การปฏิบัติหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การปฏิบัติตามแผน
พัฒนา ซึ่งได้แก่ การนำนโยบายมาตรการ แผนงาน และโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนไปสู่การปฏิบัติและ
ดำเนินการในการนี้รัฐบาลสามารถปฏิบัติตามแผนได้โดยผ่านวงราชการและอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ดังนี้
ก.โดยผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะมีทั้งหน่วยงานส่วนกลาง อันได้แก่
กระทรวงทบวงกรมหน่วยงานส่วนภูมิภาคอันได้แก่จังหวัดและอำเภอหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอันได้แก่
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเทศบาลสุขาภิบาลและสภาตำบล
ข.โดยผ่านทางเครื่องมือด้านนโยบายของรัฐบาลเช่นนโยบายด้านรายจ่ายการลงทุน
ภาษีอากรอัตราดอกเบี้ยการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนการให้กู้ยืมเงินการซื้อลดตั๋วเงินการกำหนดราคา
ค่าจ้างและโควตาเป็นต้น
ค.โดยผ่านทางอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่อย่างชอบธรรม ด้วยการให้สัมปทาน การออก
ใบอนุญาตและการออกกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆทั้งเพื่อการส่งเสริมและการควบคุม
ง. โดยผ่านทางบริษัทของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ การร่วมทุนกับเอกชนทั้งภายในและ
ภายนอกประเทศ
จ. โดยผ่านการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาของรัฐบาลเพื่อให้เงินกู้ระยะยาวและคำ
แนะนำปรกึษาแก่ผู้ลงทนุเอกชนเชน่ธนาคารเพือ่การเกษตรและสหกรณ์การเกษตรธนาคารอาคารสงเคราะห์
และสถาบันเงินทุนสำหรับธุรกิจขนาดย่อมเป็นต้น
3) การติดตามประเมินผลการพัฒนา เมื่อมีการนำแผนไปปฏิบัติและดำเนินการแล้ว ต้องมี
การติดตามตรวจสอบและรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงาน และรับทราบถึงปัญหาในทางปฏิบัติ
ต่างๆเพื่อสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีในการประเมินผลนั้นควรมีการประเมินผลทั้งในขณะ
ที่มีการดำเนินงานและหลังจากการดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้วทั้งนี้เพื่อทดสอบถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ในการบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้รวมตลอดถึงการวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นโดย
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-54 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ไม่ได้ตั้งใจอีกด้วยนอกจากนั้นการประเมินผลยังอาจนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขการพัฒนาประเทศให้ได้ผล
ดียิ่ง ๆ ขึ้นในแผนฉบับต่อ ๆ ไปได้อีก เช่น ในทศวรรษที่ 1950 และ 1960หลายประเทศใช้กลยุทธ์เพื่อ
การพัฒนาด้วยการเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมหนักให้เป็นสาขานำหรือพาหะของการพัฒนาประเทศ
กลยุทธ์ดังกล่าวนับว่ามีเหตุมีผลดีในขณะนั้น แต่หลังจากที่มีการปฏิบัติและปรากฏผลขึ้นแล้ว จึงตระหนัก
ว่าเกิดความผิดพลาดในการพัฒนาขึ้นเพราะผลจากความพยายามที่จะพัฒนาตามแนวทางดังกล่าว หาได้
แผ่ขยายไปสู่สาขาอื่น ๆ ตามที่คาดคิดไว้ไม่ ในขณะเดียวกันไม่ได้ช่วยปรับปรุงการกระจายรายได้และ
การว่าจ้างทำงาน ความรู้เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการปฏิบัติและประเมินผลกันแล้ว และเมื่อทราบแล้ว
สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขทิศทางและแนวทางการพัฒนาต่อๆไปได้
บทบาท ของ ภาค เอกชน ใน การ พัฒนา เศรษฐกิจ มีดังนี้สำหรับบทบาทของภาคเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้น ภาคเอกชนจะมีบทบาทใน
คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ทั้งนี้ การจัดตั้งคณะกรรมการ
ดังกล่าวจะมีวัตถุประสงค์ดังนี้
วตัถปุระสงค ์ตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่30มิถุนายน2524โดยมีนายกรัฐมนตรีขณะนั้น
คือพลเอกเปรมติณสูลานนท์เป็นประธานซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการกรอ.นี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ
บทบาทของภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากยิ่งขึ้นการยอมรับบทบาทของภาค
เอกชนนี้มีปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฯฉบับที่2และ3เป็นต้นมาแต่จะ
มาปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นเมื่อช่วงปลายแผนพัฒนาฯฉบับที่4ต่อกับช่วงเริ่มต้นของแผนพัฒนาฯฉบับที่5
กรอ.จะเปน็รปูแบบคณะกรรมการรว่ม(jointcommittee)โดยบคุคลผู้เปน็ตวัแทนจากภาครฐัจะมา
จากผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงในงานด้านเศรษฐกิจเช่นรัฐมนตรีเศรษฐกิจและข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้อง
กับภาคเศรษฐกิจ ส่วนภาคเอกชนมาจากตัวแทนผู้นำสถาบันภาคเอกชน ที่สำคัญ ได้แก่ หอการค้าไทย
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย
ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดกรอ.คือปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจกล่าวคือในช่วงปีพ.ศ.2522–2524ทั่วโลก
เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เนื่องจากเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 เป็นผลให้เศรษฐกิจของประเทศ
ไทยชลอตัวลง และเกิดปัญหาภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศถีบตัวสูงอย่างรวดเร็ว ปัญหา
การขาดดุลการค้า ดุลการชำระเงิน และวิกฤติการณ์เงินคงคลังซึ่งเป็นปัญหาหลักสำคัญ เป็นเหตุให้รัฐบาล
ต้องลดบทบาทของตนเองลง และสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ปัญหา
ต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการประกอบธุรกิจของเอกชนมากตลอดจนปัญหาการ
กำกับและการควบคุมธุรกิจของรัฐเช่นกฎระเบียบของรัฐไม่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน
ดังนั้นภาคเอกชนเองซึ่งมีการรวมกลุ่มกันอยู่แล้วจึงร่วมกันผลักดันให้เกิดกรอ.ขึ้นทั้งนี้จุดประสงค์ของ
การจัดตั้งกรอ.ได้แก่การมีระบบการปรึกษาหารือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการกำหนดแนวทางการแก้ไข
ปัญหาเศรษฐกิจและการนำนโยบายการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไปสู่การปฏิบัติ
ทัง้ในระดบักลางและภมูภิาคควบคู่ไปกบัการชว่ยพฒันาสถาบนัเอกชนให้มีความเขม้แขง็รวมทัง้การเผยแพร่
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-55แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ความรู้ความเข้าใจในประโยชน์ที่ส่วนรวมจะได้รับจากการร่วมมือกัน ทั้งนี้ กรอ. จะเป็นองค์กรที่มีหน้าที่
ในการเสนอแนะนโยบายแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางเศรษฐกิจ มิใช่เป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจ
เชิงนโยบายและสั่งการโดยตรงฯพณฯพลเอกเปรมติณสูลานนท์ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษในฐานะ
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันจนทำให้เกิดคณะกรรมการกรอ.ขึ้นมากล่าวมอบหมาย
นโยบายของรัฐบาลในการประชุมกรอ.ครั้งแรกซึ่งฯพณฯเป็นประธานเมื่อเดือนสิงหาคมพ.ศ.2524ความ
ว่า “การจัดตั้ง กรอ. ขึ้นมานั้น เป็นการย้ำเจตนาของรัฐบาลที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจกับภาคเอกชน
อย่างใกล้ชิดหากมีปัญหาข้อขัดข้องประการใดก็มาร่วมมือปรึกษาหารือกันนอกจากนี้รัฐบาลมีนโยบายจะ
พฒันาสถาบนัเอกชนให้เปน็องค์กรที่รัฐบาลจะพึ่งพาได้จะต้องเปน็สถาบนัที่รับผิดชอบต่อสังคมเปน็ที่เชือ่ถือ
ต่อส่วนรวม ร่วมมือขจัดผู้ปฏิบัติมิชอบและผู้ที่เอาเปรียบต่อส่วนรวมโดยไม่เป็นธรรม ในระยะเริ่มต้น
ฯพณฯนายกรัฐมนตรีเน้นการสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ โดยการสร้างศรัทธาและความเชื่อถือให้
เกิดขึ้นระหว่างคณะผู้นำฝ่ายรัฐบาลและผู้นำของสถาบันภาคเอกชนภาครัฐมุ่งเน้นการพัฒนาความเข้มแข็ง
ของสถาบันภาคเอกชนให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น และสามารถเป็นผู้แทนของภาคธุรกิจเอกชนในวงกว้าง
กฎเกณฑ์กติกาในการทำงานร่วมกันมีการกำหนดให้ชัดเจน โปร่งใส และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
มิใช่กลุ่มบุคคลหรือธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ตลอดระยะเวลาเกือบ20ปีซึ่งฯพณฯประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษพลเอกเปรมติณสูลานนท์
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนากระบวนการ กรอ. โดยจะเห็นได้ว่า มีการ
จัดประชุมคณะกรรมการ กรอ. ทุกเดือน ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ยกเว้นช่วงที่ต้องเดินทางไปราชการ
ต่างประเทศการที่ภาครัฐและภาคเอกชนมีโอกาสมาหารือร่วมกันโดยตรงทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นได้
รับการนำไปพิจารณาแก้ไขได้อย่างตรงจุด รวดเร็ว ทันสถานการณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับ
การที่ผู้นำภาครัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับกระบวนการกรอ.ทำให้ระบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาล
และภาคเอกชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีผลงานที่เป็นรูปธรรม
หลัง จาก ศึกษา เนื้อหา สาระ ตอน ที่ 4.2 แล้ว โป รด ปฏิบัติ กิจกรรม 4.2
ใน แนว การ ศึกษา หน่วย ที่ 4 ตอน ที่ 4.2
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-56 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ตอน ที่ 4.3
การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ โลก
โปรดอ่านแผนการสอนประจำตอนที่4.3แล้วจึงศึกษาเนื้อหาสาระพร้อมปฏิบัติกิจกรรมในแต่ละตอน
หัว เรื่องเรื่องที่4.3.1การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนา
เรื่องที่4.3.2การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
เรื่องที่4.3.3แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของโลก
แนวคิด1. การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับสูงนอกจากนั้น
ประเทศพัฒนายังให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทุกคนให้มีอิสระเสรีและมีสุขอนามัย
ดี อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เช่น ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา สหรัฐอเมริกา
ออสเตรเลียนิวซีแลนด์และประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป
2. การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่มี
มาตรฐานการดำรงชีวิตปานกลางถึงต่ำและพื้นฐานอุตสาหกรรมยังไม่พัฒนา
3. แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกสามารถแบ่งแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจในทวีป
ต่างๆ ได้แก่อเมริกาและยุโรปกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ประเทศในทวีปแอฟริกาประเทศ
ในกลุ่มอาหรับและรวมไปถึงประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชีย
วัตถุประสงค์เมื่อศึกษาตอนที่4.3จบแล้วนักศึกษาสามารถ
1. อธิบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาได้
2. อธิบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาได้
3. อธิบายแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกได้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-57แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
เรื่อง ที่ 4.3.1 การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศ พัฒนา
ประเทศ พัฒนา หมายถึงประเทศที่มีการพัฒนาในระดับที่สูงเมื่อวัดตามมาตรฐานบางประการแต่
การจะยึดมาตรฐานใดเป็นหลัก หรือการจัดกลุ่มให้ประเทศใดอยู่ในกลุ่มพัฒนาแล้วนั้นยังคงเป็นประเด็น
ที่ถกเถียงกันอยู่ โดยทั่วไปมาตรวัดทางเศรษฐกิจมักเป็นที่ยอมรับ เช่น การใช้รายได้ต่อหัวเป็นหลัก และ
ให้ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวสูงอยู่ในกลุ่มพัฒนา ในระยะหลังมีการใช้ดัชนีการ
พัฒนามนุษย์ซึ่งเป็นการรวมมาตรวัดทางเศรษฐกิจกับมาตรวัดอื่นๆเช่นดัชนีอายุขัยและการศึกษาเพื่อ
เป็นตัววัดการพัฒนาของประเทศต่างๆมากขึ้นจึงมีการจัดกลุ่มประเทศที่มีค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์สูงอยู่
ในกลุ่มประเทศพัฒนา
นายโคฟีอันนันอดีตเลขาธิการสหประชาชาติให้คำจำกัดความประเทศพัฒนาว่า“ประเทศพัฒนา
คือประเทศที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนทุกคนมีอิสระเสรีและมีสุขอนามัยดี อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อม
ที่ปลอดภัย”นอกจากนี้ยังมีองค์กรอื่นๆให้คำจำกัดความสำหรับความหมายของประเทศกำลังพัฒนาและ
ประเทศพัฒนาดังต่อไปนี้ “การจัดกลุ่มหรือกำหนดกลุ่มประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนานั้นเพื่อประโยชน์ใน
ทางสถิติและไม่จำเป็นที่จะมาใช้ในการตัดสินใจสถานะของประเทศหรือขอบเขตในกระบวนการพัฒนา”
สหประชาชาติให้ความเห็นดังนี้
“จากตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไปคือประเทศญี่ปุ่นในเอเชียแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในอเมริกาเหนือ
ออสเตรเลยีและนวิซแีลนด์ในโอเชยีเนยีและประเทศสว่นใหญ่ในยโุรปกลุม่ประเทศเหลา่นี้ได้รบัการพจิารณา
ให้เป็นประเทศพัฒนา ส่วนในเชิงสถิติทางการค้า สหภาพศุลกากรแอฟริกาใต้ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่ม
ประเทศพัฒนาและประเทศอิสราเอลก็อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาส่วนในยุโรปกลุ่มประเทศที่กำเนิดขึ้นจาก
ประเทศยูโกสลาเวียเก่าถือว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศในกลุ่มของยุโรปตะวันออกและกลุ่มที่เป็น
ประเทศเครือรัฐเอกราชในยุโรปไม่เรียกรวมอยู่ในกลุ่มใดๆของประเทศพัฒนาหรือกำลังพัฒนา
ในศตวรรษที่21กลุ่มประเทศในเอเชียได้รับการขนานนามว่าสี่เสือเอเชียได้แก่ฮ่องกง สิงคโปร์
เกาหลีใต้และไต้หวัน รวมทั้งประเทศไซปรัส มอลตา สาธารณรัฐเช็ค เอสโตเนีย อิสราเอล โปแลนด์
ยูโกสโลวาเกียและสโลวาเนียเหล่านี้ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนา”
อีกนัยหนึ่งจากการจัดกลุ่มของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(InternationalMonetaryFund:
IMF)เมื่อเดือนเมษายนค.ศ.2004กลุ่มประเทศทั้งหมดในยุโรปตะวันออกรวมทั้งยุโรปกลางและสหภาพ
โซเวียตในอดีตกลุ่มประเทศที่อยู่ในเอเชียตอนกลาง(คาซัคสถานอุซเบกิสสถานคีร์กีซสถานทาจิกีสสถาน
และเติร์กเมนิสสถาน) และมองโกเลีย ไม่รวมให้อยู่ในทั้งสองประเภทคือประเทศพัฒนาและกำลังพัฒนา
แต่จะได้รับการจัดให้อยู่ประเภทของ“ประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน”อย่างไรก็ตามในรายงานระหว่างประเทศ
กลุ่มประเทศเหล่านี้คือประเทศ“กำลังพัฒนา”นั่นเอง
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-58 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ส่วนธนาคารโลกจัดกลุ่มประเทศออกเป็นสี่กลุ่มกลุ่มที่ได้รับการจัดใหม่ในเดือนกรกฎาคมของทุก
ปีตามหลักเศรษฐกิจแบ่งออกเป็นกลุ่มช่วงของรายได้ตามGNIซึ่งค่าGNIย่อมาจากภาษาอังกฤษว่าGross
National Incomeหรือรายได้ประชาชาติทั้งหมดการวัดค่าGNIต่อประชากรเป็นดัชนีชี้วัดการจัดกลุ่ม
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศคำจำกัดความของธนาคารโลกต่อประชากรมีดังต่อไปนี้
• กลุ่มประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำค่าGNIต่อประชากรจะอยู่ที่US$975หรือน้อยกว่า
• กลุ่มประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางค่าGNIต่อประชากรจะอยู่ระหว่างUS$976ถึง
US$3,855
• กลุ่มประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มรายได้เหนือกว่าปานกลาง ค่า GNI ต่อประชากรจะอยู่ระหว่าง
US$3,856ถึงUS$11,905
• กลุ่มประเทศที่ จัดอยู่ ในกลุ่มระดับรายได้สูง ค่า GNI ต่อประชากรจะต้องมีมากกว่า
US$11,906
สำหรับกรณีศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศพัฒนานั้นขอนำเสนอกรณีศึกษาของ3ประเทศ
ดังนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศสหภาพโซเวียตรุสเซียและประเทศในทวีปเอเชียที่น่าศึกษาและน่าสนใจ
คือประเทศเกาหลีใต้ซึ่งขอกล่าวถึงรายละเอียดดังนี้
1. กรณี ศึกษา การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศ สหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกาพัฒนามาจากประเทศอาณานิคมจนเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ภายใต้ระบบทุนนิยมเริ่มเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรมก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่1
และเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อเมริกาในสมัยเป็นอาณานิคมต้องดำเนินการทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของเมืองแม่ดำเนินการ
เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบ และเป็นตลาดสินค้าอุตสาหกรรมของเมืองแม่ หลัง
สงครามกลางเมืองเป็นช่วงที่อัตราความเจริญทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งด้านเกษตรกรรมและ
อตุสาหกรรมตอ่มามีปญัหาดา้นแรงงานและการรวมตวักนัทางธรุกจิจนทำให้เกดิสหภาพแรงงานและกฎหมาย
ต่อต้านการผูกขาดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่1ในปลายค.ศ.1929เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่
รัฐบาลใช้นโยบายการดำเนินการแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้เกิด
ปัญหาทางเศรษฐกิจน้อยกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากมีการเตรียมการที่ดีกว่า นอกจากนี้อเมริกา
ยังให้เงินช่วยเหลือแก่ต่างประเทศเป็นจำนวนมากภายใต้โครงการมาร์แชลและหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
สหประชาชาติ
สภาพ เศรษฐกิจ สมัย อาณานิคม จนถึง สมัย สงครามกลางเมือง ประเทศ สหรัฐอเมริกา
ลักษณะทั่วไปทางการเกษตรในสมัยอาณานิคม ส่วนมากเป็นการผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเอง โดยใช้
เครื่องมือที่นำมาจากยุโรปและความรู้ที่ได้จากอินเดียนแดงในการปลูกข้าวข้าวโพดยาสูบถั่วและแตงโม
มีการผลิตเพื่อการค้าบ้างสำหรับรัฐทางใต้มีการปลูกข้าวและยาสูบ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-59แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ข้อแตกต่างระหว่างการค้าต่างประเทศของอาณานิคมตอนใต้กับอาณานิคมนิวอิงแลนด์คือทางใต้
ดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับอังกฤษส่วนนิวอิงแลนด์นั้นดำเนินการค้าขายกับหลายประเทศในทวีปยุโรป
นอกจากนี้แล้วมลรัฐทางตอนใต้และอาณานิคมอื่นๆดำเนินการทางด้านการขนส่งสินค้าอีกด้วย
หลกั การ สำคญั ของ พระ ราช บญัญตั ิตา่ง ๆ เปน็ กฎหมาย ที ่องักฤษ เรยีก เกบ็ ภาษ ีจาก อาณานคิม อเมรกิา
มีดังนี้
• พ.ร.บ.น้ำตาล-เก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากน้ำตาลผ้าลินินไวน์และอื่นๆ
• พ.ร.บ.แสตมป์-เก็บจากเอกสารต่างๆที่ตีพิมพ์
• พ.ร.บ.เทาน์เซนด์-เก็บภาษีขาเข้าจากแก้วสีกระดาษและชา
สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองหรือความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้คือความรู้สึก
เป็นชาติ และเหตุผลทางเศรษฐกิจคือ การเอาเปรียบจากประเทศอังกฤษผลของสงครามกลางเมืองทำให้
ระบบทาสถูกทำลายไปเกิดเงินเฟ้อและมีการพัฒนาอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมขนานใหญ่
สภาพ เศรษฐกิจ หลัง สงครามกลางเมือง จนถึง สมัย สงครามโลก ครั้ง ที่ 1
พัฒนาการของเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของอเมริการะหว่างหลังสงครามกลางเมืองจนถึง
สงครามโลกครั้งที่1มีการใช้เทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาประยุกต์ในเกษตรกรรมและ
อุตสาหกรรมอเมริกาในช่วงนี้เปลี่ยนจากชาติเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรมสำหรับเกษตรกรรมมีปัญหา
เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและควบคุมการผลิตสินค้าได้ยากจึงมีความเคลื่อนไหวเป็นองค์การต่างๆ เพื่อ
เรียกร้องทางเศรษฐกิจการรวมกลุ่มของธุรกิจมีผลดีคือทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารต้นทุนต่อ
หน่วยต่ำลดการแข่งขันลงได้และสามารถให้เงินอุดหนุนวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ส่วนผลเสียได้แก่การผูกขาด
อาจทำให้ราคาสูงขึ้น เกิดการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมบริษัทใหญ่ทำลายบริษัทเล็ก การเก็งกำไรโดยการปั่น
หุ้นความเคลื่อนไหวของกรรมกรในสมัยสงครามโลกครั้งที่1มีการรวมตัวกันเรียกร้องเรื่องค่าจ้างแรงงาน
ชั่วโมงการทำงานสวัสดิการและสภาพการทำงานตัวอย่างสหภาพแรงงานแห่งชาติอัศวินแรงงานสหพันธ์
แรงงานอเมริกัน
เศรษฐกิจ สมัย หลัง สงครามโลก ครั้ง ที่ 1 จนถึง ทศวรรษ 1980
สาเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ เพราะรายได้เกษตรกรต่ำลง การลงทุนน้อยลง ความ
ต้องการสินค้าและบริการมีน้อยลงนโยบายนิวดีนเป็นนโยบายที่รัฐบาลเข้าไปมีบทบาทในทางเศรษฐกิจมาก
ขึ้นทั้งในด้านการเกษตรกรรมการอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคารการสร้างงานการประกันสังคมหลัง
สงครามโลกครั้งที่1เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่เนื่องจากเกิดปัญหาในการปรับตัวของเศรษฐกิจ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่2เกิดภาวะเงินเฟ้อแต่ไม่รุนแรงนัก
2. กรณี ศึกษา การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศ สหภาพ โซเวียต รุส เซีย ประเทศสหภาพโซเวียตรุสเซียพัฒนามาจากประเทศเกษตรกรรมในระบบศักดินาค่อนข้างล้าหลัง
ต่อมาเปลี่ยนเป็นระบบสังคมนิยมภายใต้เศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง จนถึงการล่มสลายไปในปี
ค.ศ.1991
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-60 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
สภาพเศรษฐกิจในสมัยแรกเริ่มส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรมซึ่งการผลิตค่อนข้างล้าหลังและการจัด
ระบบเศรษฐกิจเป็นรัฐทรราชย์ตะวันออกมีซาร์เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดในรัสเซียทำให้ชาวนาเป็นไพร่ของ
รัฐแต่ในทางปฏิบัติชุมชนชาวนาจะเป็นผู้ครอบครองที่ดินและแบ่งปันให้ชาวนาไปใช้ประโยชน์
ในค.ศ.1861มีการประกาศเลิกทาสในประเทศพัฒนาด้านอุตสาหกรรมทำให้เกิดชนชั้นนายทุน
และชนชั้นแรงงาน ในขณะเดียวกันความคิดเสรีนิยมเริ่มแพร่หลายในหมู่ประชาชนภายหลังสงครามโลก
ครั้งที่1เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเงินเฟ้อทำให้ชนชั้นชาวนาและกรรมกรอดอยากก่อการจลาจลเนืองๆ
ในที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบทุนนิยมเป็นสังคมนิยมในค.ศ.1917
ภายหลังการปฏิวัติบอลเชวิคปลายค.ศ. 1917 รัฐบาลโซเวียตโดยพรรคบอลเชวิคเป็นพรรคที่มี
เสียงข้างมากซึ่งมีเลนินเป็นผู้นำมีมาตรการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ2ประการได้แก่นโยบาย
สงครามคอมมิวนิสต์และนโยบายเศรษฐกิจใหม่
นโยบายสงครามคอมมิวนิสต์ เป็นนโยบายที่ยกเลิกกรรมสิทธิ์ต่าง ๆ ของเอกชนส่วนใหญ่มาเป็น
ของรัฐและบังคับนำผลิตผลส่วนเกินทางการเกษตรจากชาวนามาเป็นของรัฐและแบ่งผลิตผลอุตสาหกรรม
ของรัฐไปให้แก่ชาวนายกเลิกระบบเงินตราหันไปใช้วิธีปันส่วนจากรัฐบาลส่วนนโยบายเศรษฐกิจใหม่ เป็น
นโยบายที่ยอมรับการดำเนินงานของระบบตลาดเข้ามาประยุกต์กับระบบสังคมนิยมหันมาใช้ระบบเงินตรา
และยินยอมให้เอกชนมีโอกาสเป็นเจ้าของโรงงานขนาดเล็ก
สหภาพโซเวียตรุสเซียเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแบบเป็นทางการมาตั้งแต่ค.ศ.1928โดยมีแผน
5ปีในฉบับที่1ถึงฉบับที่6แผนฉบับที่7มีระยะเวลา7ปีและต่อมามีแผน5ปีจนถึงฉบับที่11ซึ่งมีระยะ
เวลาตั้งแต่ค.ศ.1981-1985
แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับแรกๆ เน้นความสำคัญของอุตสาหกรรมหนักเพื่อปูทางสำหรับ
การพัฒนาอุตสาหกรรม แผนฉบับหลัง ๆ เน้นถึงอุตสาหกรรมประเภทอุปโภคและบริโภคมากขึ้นเพื่อ
ยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของประชาชน ในค.ศ. 1985มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่
ในยุคของกอร์บาชอฟเรียกว่าการปฏิรูปเปเรสตรอยกาต่อมาในค.ศ. 1991มีการประกาศยกเลิกสหภาพ
โซเวียตอย่างเป็นทางการและเริ่มต้นเครือจักรภพรัฐอิสระภายใต้การนำของเยลด์ซิน โดยมีการปฏิรูปไปสู่
ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด
สภาพ เศรษฐกิจ ทั่วไป ก่อน การ ปฏิวัติ
ลักษณะของการเกษตรกรรมของรุสเซียก่อนการปฏิวัติ ใช้ระบบนาแบบยุโรปตะวันตก และการ
เพาะปลูกใช้วิธีการล้าหลังไม่มีเทคโนโลยีใหม่ๆหลักการของพรรคการเมืองที่นิยมในความคิดของมาร์กซ์
คือพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยมีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในระบบทุนนิยมมาเป็นสังคมนิยมนั้น
จะต้องมีการปฏิวัติระบบนายทุนโดยชนชั้นกรรมาชีพแต่ต่อมาแยกออกเป็นเมนเชวิคและบอลเชวิค
การ เปลี่ยน ผ่าน สู่ ระบบ สังคมนิยม
นโยบายสงครามคอมมิวนิสต์ เน้นการบังคับนำผลิตผลจากชาวนา ในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจ
ใหม่ยอมให้มีระบบตลาดและหันไปใช้วิธีเก็บภาษีจากผลิตผลแทนเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อมีการใช้นโยบาย
เศรษฐกิจใหม่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ทำให้ราคาผลิตผลเกษตรกรรมลดลง ในขณะที่ราคาผลิตผล
อุตสาหกรรมสูงขึ้นและท้ายที่สุดนำไปสู่วิกฤติการณ์กรรไกร
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-61แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจ ภาย ใต้ การ วางแผน
การใช้ระบบนารวมในสหภาพโซเวียต เป็นการจัดระบบเกษตรกรรมเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการ
ผลิตสูงขึ้นใช้เครื่องมือเครื่องจักรในการผลิตมากขึ้นโดยการรวมนาให้เป็นที่ดินผืนใหญ่ซึ่งแแบ่งออกเป็น
2ประเภทได้แก่นารวมและนารัฐนารวมคือการรวมนาเล็กๆ เข้าด้วยกันในรูปสหกรณ์ส่วนนารัฐคือนาที่
รัฐเป็นเจ้าของและดำเนินงานโดยตรงการบุกเบิกที่ดินที่ไม่เคยนำมาใช้ในการเพาะปลูกมีขึ้นในสมัยครุสชอฟ
เพื่อการเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรแต่ไม่ได้ผลมากนักเพราะที่ดินแห้งแล้งขาดการชลประทานไม่เหมาะแก่
การเพาะปลูกจึงได้ผลิตผลที่ตกต่ำ
หลกัการของลิเบอร์มานใช้ระบบคำนวณเงนิโบนสัตามกำไรแทนความรวดเรว็ในการสง่มอบการผลติ
และการใช้หลักกำไรวัดประสิทธิภาพในการประกอบการการดำเนินงานตามแผนเศรษฐกิจต่างๆที่ประสบ
ความสำเร็จสูงที่สุดในการพัฒนาอุตสาหกรรมคือแผนเศรษฐกิจ5ปีฉบับที่2
3. กรณี ศึกษา การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศ สาธารณรัฐ เกาหลีประเทศสาธารณรัฐเกาหลี(RepublicofKorea)หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเกาหลีใต้(SouthKorea)
ในภาษาเกาหลีเรียกชื่อประเทศเกาหลีว่าแดฮันมินกุกสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้เป็น
ตวัอยา่งที่ดีของการพฒันาเศรษฐกจิของประเทศพฒันาในภมูภิาคเอเชยีทัง้นี้การพฒันาเศรษฐกจิของประเทศ
เกาหลีใต้นั้นสามารถแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ3ยุคด้วยกันได้แก่
ยุคที่1รัฐนำราษฎร์หนุน(ค.ศ.1962-1987)
ยุคที่2ราษฎร์นำรัฐหนุน(ค.ศ.1988–2002)
ยุคปัจจุบัน การสร้างความเสมอภาคทางสังคม (ค.ศ. 2003–ปัจจุบัน) ในแต่ละยุคของการพัฒนา
เศรษฐกิจนั้นสามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้
ยุค ที่ 1 รัฐ นำ-ราษฎร์ หนุน
สภาพสังคมสาธารณรัฐเกาหลีภายหลังสงครามเกาหลี(ค.ศ.1950–1953)เต็มไปด้วยความยากจน
รัฐบาลในสมัยนั้นจึงพยายามทุกทางที่จะให้ประชาชนมีกินมีใช้ในแต่ละวัน ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน
เพาะปลูกผลิตอาหาร และนำอาหารที่ได้รับการช่วยเหลือของนานาประเทศมาแจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ เมื่อ
ความต้องการขั้นพื้นฐานได้รับการบำบัดรัฐบาลจึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ยังหลงเหลืออยู่ผลิตสินค้า
อุปโภคบริโภคให้เพียงพอกับความต้องการของคนในชาติ อีกทั้งยังเรียกร้องให้นายทุนชาวอเมริกันเข้ามา
ผลิตสินค้าในเกาหลีแทนที่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ
เริ่มกลับฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเห็นว่าเกาหลีใต้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้วจึง
ตัดทอนปริมาณและมูลค่าการช่วยเหลือแบบให้เปล่าลง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของเกาหลีก็ยังอยู่ในสภาพย่ำแย่ เช่น
อัตราความเจริญทางเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของพลเมือง อัตราการออมภายในมีเพียงร้อยละ 3
เงินช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา383ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นคิดเป็นจำนวนถึงร้อยละ14ของมูลค่าผลิตภัณฑ์
มวลรวมประชาชาติในปีค.ศ.1957ซึง่เงนิจำนวนดงักลา่วจะถกูตดัทอนลงราว60-100ลา้นดอลลารส์หรฐัตอ่ป ี
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-62 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เป็นต้นเมื่อคณะปฏิวัติยึดอำนาจในตอนเช้าตรู่ของวันที่16พฤษภาคมค.ศ.1961หัวหน้าทางการทหารหรือ
เรียกว่ารัฐบาลรักษาการทหาร(ค.ศ.1961-1962)คือนายพลปักจุงฮีจึงประกาศนโยบายที่จะเข้ามาแก้ไข
ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แต่เป็นการเน้นการผลิตสินค้าประเภทอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก
หรือที่เรียกนโยบายหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจนี้ว่า“นโยบายการมองออกไปสู่ภายนอก”(outward-looking
policy)นั่นเอง เหตุผลเบื้องหลังของการประกาศนโยบายมองออกไปสู่ภายนอกแทนการพัฒนาตามยุทธวิธี
การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้าและไม่ยึดการพัฒนาเกษตรกรรมซึ่งเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเกาหลีมา
ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเพราะในปริบทของเกาหลีนั้นมีจุดด้อยได้แก่
(1) พื้นที่ของประเทศมีขนาดเล็กโดยมีพื้นที่ทั้งหมดราวหนึ่งในห้าของเนื้อที่ประเทศไทยแต่
มีจำนวนพลเมืองมากส่วนพื้นที่ที่สามารถทำเกษตรกรรมได้มีเพียงร้อยละ20ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้นทำให้
ไม่สามารถพัฒนาประเทศโดยยึดการเกษตรกรรมเป็นหลักได้
(2) การลดจำนวนเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศลงไปทำให้เกาหลีใต้จำเป็นต้องหาเงินตรา
เพื่อซื้อสินค้าจากต่างประเทศทั้งที่เป็นอาหารสินค้าอุปโภคบริโภคและอื่นๆจึงจำเป็นที่จะต้องยึดนโยบาย
การผลิตเพื่อการส่งออก ข้อจำกัดที่กล่าวถึงนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลเกาหลีใต้ในยุคนั้นต้องตระหนักถึงผลกระทบ
หากต้องวางแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว ในขณะเดียวกัน รัฐบาลส่งคนไปดูงานและศึกษาความเป็นไป
ได้ยังประเทศอุตสาหกรรมในยุโรป ซึ่งประเทศเหล่านี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่เคยเป็นชาติมหาอำนาจทาง
เศรษฐกิจมาแล้วทั้งสิ้น นอกจากนี้ตัวอย่างของญี่ปุ่นก็ได้รับการศึกษาอย่างละเอียดจากกลุ่มนักวิชาการ
เกาหลีเพื่อพิจารณารูปแบบการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานเพื่อการพัฒนานับตั้งแต่อดีตผลจากการ
ศึกษาตัวอย่างดังกล่าวแล้วนำมาผสมผสานกับข้อจำกัดที่เกาหลีมีอยู่ทำให้ผู้นำประเทศ(คือนายพลปักจุงฮี
ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในยุคสาธารณรัฐที่สามและยุคสาธารณรัฐที่4(ระหว่างปีค.ศ.1962-1979)
เลือกการพัฒนาที่จะทำให้เกาหลีกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมอนึ่งการเลือกแนวทางการพัฒนาตามแนวนี้
สหรัฐอเมริกามีอิทธิพลสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้นำเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก
ยุค ที่ 2 ราษฎร์ นำ-รัฐ หนุน
ในยุคที่ 2 ของการพัฒนาเศรษฐกิจนั้น ภาวะทางการเมืองมีส่วนเกื้อหนุนสำคัญที่จะยังผลให้การ
พัฒนาบรรลุเป้าหมายได้เร็วหรือช้า เพราะการเมืองเป็นตัวชี้นำให้รัฐทุ่มเททรัพยากรและหล่อหลอมจิตใจ
ของคนทั้งชาติให้ก้าวไปสู่จุดหมายเดียวกันกรณีของเกาหลีเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความ
สำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นผลมาจากการรวบอำนาจทางการเมืองไว้กับคนกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของ
พรรคการเมืองของรัฐบาล และผู้นำทางการเมืองต่างใช้อำนาจของตนผลักดันให้เกิดการพัฒนา แทนที่จะ
เบียดบังทรัพย์สินของแผ่นดินไปเป็นของตนดังเช่นผู้นำเผด็จการของประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆในแง่ผลดี
นั้นอาจจำแนกได้หลายประเด็นดังนี้
(1) การรวบอำนาจทำให้ผู้นำสามารถกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาไปในทิศทางหนึ่งได้
ประเด็นนี้มีความสำคัญมากในระยะเริ่มต้นและขั้นต่อเนื่องก่อนที่อุตสาหกรรมของประเทศจะอยู่ในภาวะที่
มั่นคงหรือเจริญเติบโตเต็มที่ทั้งนี้เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายของการพัฒนาบ่อยๆตามแนวคิด
ของแต่ละกลุ่มแล้วจะทำให้การดำเนินงานตามเป้าหมายหลักต้องหยุดชะงักลงและจะทำให้มีการเริ่มต้นใหม่
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-63แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
กันอีกแม้ว่าแนวคิดแต่ละกลุ่มนั้นต่างก็มีเหตุมีผลด้วยกันทั้งสิ้นแต่การที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายของคนทุก
กลุม่ในเวลาเดยีวกนัดว้ยทรพัยากรที่มีอยู่อยา่งจำกดันัน้คงเปน็ไปได้ยากฉะนัน้จงึจำเปน็ตอ้งเลอืกเปา้หมาย
หนึ่งแล้วทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างเพื่อดำเนินการพัฒนาให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็วในกรณีนี้การปกครองแบบ
เผด็จการในรูปของประชาธิปไตยจึงเป็นหนทางหนึ่งที่ก่อให้เกิดผลดีในการเลือกเป้าหมายและยุทธวิธีการ
พัฒนา
(2) ก่อให้เกิดการสะสมทุนขึ้นในประเทศเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจอุตสาหกรรม เพราะการ
รวบอำนาจมีผลทำให้นักธุรกิจสามารถลดต้นทุนการผลิตด้วยการจ่ายค่าแรงต่ำ ผลกำไรที่เกิดขึ้นนำไปใช้
ในการลงทุนต่อไปอย่างไรก็ตามในกรณีนี้ก่อให้เกิดการกระจุกตัวของทรัพย์สินในมือของกลุ่มธุรกิจขนาด
ใหญ่หรือที่เรียกกันในภาษาเกาหลีว่าแชโบล์ (chaebol)หากรัฐบาลไม่ระมัดระวังแล้วคนกลุ่มนี้อาจก่อให้
เกิดปัญหาทางการเมืองต่อไปประเทศเกาหลีใต้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 และออก
กฎหมายหลายฉบับเพื่อป้องกันการกระจุกตัวของกลุ่มนายทุนผลที่ได้รับเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง
(3) การรวบอำนาจทำให้ผู้นำประเทศสามารถบังคับกลไกของรัฐให้ตอบสนองเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายของการพัฒนาได้โดยง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงระบบบริหารงานของรัฐศักราชแห่งการ
เข้มงวดและควบคุมกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งดำเนินมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962-1986ผ่านพ้นไปพร้อมๆ
กับฐานะทางเศรษฐกิจที่พัฒนามาถึงจุดที่แข็งแกร่งและการอุตสาหกรรมที่บรรลุขั้น“วุฒิภาวะ”(maturity
stage)หรอืเจรญิเทา่เทยีมอารยประเทศในขณะเดยีวกนัมวลชนเกาหลีได้รบัการศกึษาโดยทัว่ถงึกนัรวมทัง้
มีทักษะและความรู้เพียงพอเพื่อเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมประชาธิปไตยดังนั้นจุดเปลี่ยนผ่านทางการเมืองจึง
เกิดขึ้นในปีค.ศ.1987เมื่อนักการเมืองฝ่ายค้านนักศึกษาและประชาชนยื่นเจตจำนงอย่างแรงกล้าที่จะเข้า
ร่วมในกระบวนการทางการเมืองอย่างเต็มตัวผู้นำทางการเมืองฝ่ายรัฐบาลคนใหม่คือนายพลโรห์เตวู(ต่อมา
ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในระหว่างปีค.ศ.1988–1992)ตอบสนองความต้องการของพรรคฝ่ายค้าน
และประชาชนโดยยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของพรรคฝ่ายค้านกล่าวคือให้มีการ
เลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชนการกระทำดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายรัฐบาล “ยอมตาม”
พลังเรียกร้องของฝ่ายค้าน โดยสันติแทนการประกาศกฎอัยการศึกหรือรัฐประหารดังที่เคยเป็นมาในอดีต
ซึ่งก่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองการยอมตามของฝ่ายรัฐบาลยังผลให้มีการปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพื่อ
ให้มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศโดยตรง จากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งอย่างรีบเร่ง ก่อนที่นายพลชุนดูฮวาน
จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งลงในวันที่25กุมภาพันธ์ค.ศ.1988ดังนั้นคณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จึงได้รับการแต่งตั้งและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จนเสร็จสมบูรณ์ภายในระยะเวลา1เดือนต่อมารัฐสภาผ่าน
ร่างกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 12ตุลาคมค.ศ. 1987 และประชาชนรับรองกฎหมายใหม่ด้วยคะแนนเสียง
ประชามติอย่างท่วมท้นในวันที่ 27 เดือนเดียวกัน รัฐบาลจึงประกาศใช้ฐธรรมนูญฉบับนี้ในวันที่ 30 ของ
เดือนเดียวกันนั้นเอง กล่าวโดยสรุปนโยบายสำคัญในยุคที่สองนี้คือ การลดบทบาทโดยตรงของรัฐในการ
เข้าแทรกแซงการพัฒนาเศรษฐกิจโดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาดมากยิ่งขึ้น
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-64 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ยุค ที่ 3 หรือ ยุค ปัจจุบัน การ สร้าง ความ เสมอ ภาค ทาง สังคม
ในช่วงปลายทศวรรษ1990เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศสูงสุดจนมีการกล่าว
ขวัญกันว่าเป็น “มหัศจรรย์ในผลงานของมนุษย์บนฝั่งแม่น้ำฮั่น” (Man-mademiracle on theHanRiver)
กลา่วคอืกรงุโซลได้รบัเกยีรติให้เปน็เจา้ภาพจดัการแขง่ขนักฬีาเอเชยีนเกมส์ในปีค.ศ.1986และกฬีาโอลมิปคิ
ฤดูร้อนในปี ค.ศ. 1988ประเทศมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ของโลกประชากรมีรายได้ต่อหัว
10,560 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ขนาดและปริมาณการลงทุนจากกลุ่มบริษัทภายในและต่างประเทศเพิ่ม
สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกาหลีใต้เข้าเป็นสมาชิกองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(OECD)หรือ
องค์กรของกลุ่มประเทศร่ำรวยซึ่งเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาประเทศในช่วงสามสิบปีที่
ผ่านมา ยังผลให้คนเกาหลีต่างดีใจและมีความเชื่อมั่นในความสามารถสูงที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
สิ่งเหล่านี้เองนำไปสู่การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอย่างฟุ่มเฟือยและลดความขยันขันแข็งในการทำงานลงหรือ
ที่เรียกว่า“โรคเกาหลี”อีกทั้งมีการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมที่ไม่ระมัดระวังและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
จนทำให้เกดิวกิฤติเศรษฐกจิจนรฐับาลตอ้งไปขอกู้เงนิจากกองทนุการเงนิระหวา่งประเทศในเดอืนพฤศจกิายน
ค.ศ.1997เป็นจำนวนเงินถึง57พันล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งถือเป็นประเทศที่สามในทวีปเอเชียที่เกิดปัญหา
ต่อจากประเทศไทยและอินโดนีเซียในปีเดียวกัน
“โรคเกาหลี”เปน็คำที่ประธานาธบิดีคมิยงัแซม(ดำรงตำแหนง่ระหวา่งปีค.ศ.1993–1997)ใช้อธบิาย
สภาพสังคมเกาหลีในช่วงทศวรรษ1990ที่เขาขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของประเทศอาการของโรคนี้คือ
การสูญเสียความขยันหมั่นเพียรในการทำงานและค่านิยมที่ดีค่อยๆ เสื่อมหายไปเพราะความอยุติธรรมการ
คอรัปชั่นความเกียจคร้านการไร้เหตุผลความเฉื่อยชาการทะเลาะเบาะแว้งและการเห็นแก่ประโยชน์ส่วน
ตัวเป็นหลักทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองค่อยๆหายไปและกลับไปยอมรับความพ่ายแพ้ประธานาธิบดีคิม
ประกาศนโยบายในการปฏิรูปสังคมเพื่อเยียวยารักษาโรคเกาหลีได้แก่การให้ความสำคัญต่อชาติบ้านเมือง
เพื่อสร้างจิตสำนึกถึงเป้าหมายของชาติในการทำให้ประเทศก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมเฉกเช่นประเทศ
ชั้นนำของโลกแต่ความพยายามดังกล่าวไม่ค่อยเป็นผล วิกฤติเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ยุคใหม่ของเกาหลีใต้เป็นผลมาจากปัจจัยหลักอีกปัจจัยหนึ่ง นั่นคือ แชโบล์ หรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ คน
เกาหลีส่วนใหญ่ต่างเชื่อว่า ปัญหาวิกฤติดังกล่าวเป็นเพราะแชโบล์ไม่ได้ใช้ความคิดและการปฏิบัติการอย่าง
รอบคอบในการลงทุนและไม่สนใจต่อการบริหารที่เน้นประสิทธิภาพ อีกทั้งดำเนินธุรกิจผิดพลาดมากมาย
จนต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ
แชโบล์ขยายกิจการในธุรกิจต่างๆหลายสาขาโดยไม่คำนึงว่ากิจการนั้นจะนำผลกำไรมาให้หรือไม่
มีการเปรียบเทียบการขยายตัวแบบนี้ว่าเป็นเสมือนปลาหมึกที่พยายามทำธุรกิจในกิจการทุกสาขา โดยใช้
เงินกู้เป็นหลักในการสร้างธุรกิจใหม่ๆอนึ่งโครงสร้างของแชโบล์ผูกพันระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูกอย่าง
แน่นแฟ้นหากบริษัทลูกเกิดปัญหาก็จะให้บริษัทอื่นในกลุ่มเข้าไปซื้อผลผลิตและให้การสนับสนุนทางด้าน
การเงินหรือถ่ายเทบุคลากรออกไปนอกจากนี้แชโบล์มีการบริหารงานแบบครอบครัวมีการถ่ายทอดกิจการ
ไปยังลูกชายของเจ้าของทำให้เกิดความไม่คล่องตัวและเป็นการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเมื่อเกิดวิกฤติ
ของเศรษฐกิจขึ้นความภาคภูมิใจในความสำเร็จในด้านการพัฒนาสะดุดหยุดลงโดยทันทีความอับอายและ
ความเสียใจเข้ามาแทนที่และความโกรธแค้นบังเกิดขึ้นในหัวใจของคนเกาหลีทั่วไปที่มองเห็นสังคมของตน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-65แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
มีคนกลุ่มเล็กๆมาทำลายทั้งที่เป็นนักการเมืองข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดกลาง
และขนาดใหญ่ซึ่งนำพาชาติไปสู่กาลวิบัติ
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีคิมเดจุง(ดำรงตำแหน่งระหว่างปีค.ศ.1998–2002)เข้ามากอบกู้ภาวะ
เศรษฐกิจจนได้รับความสำเร็จ สามารถคืนเงินกู้ให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศจนหมดสิ้นภายใน 18
เดือนภายหลังเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ เป้าหมายของนายคิม เดจุงมี 5ประการ ได้แก่ผลักดันให้
ประเทศเป็นประชาธิปไตยและยึดมั่นในสิทธิมนุษยชน ขจัดอคติระหว่างภูมิภาคและพัฒนาประเทศให้เกิด
ความเท่าเทียมกัน เสริมสร้างสังคมเศรษฐกิจที่มีรากฐานแห่งความรู้ สร้างความมั่นคงในชีวิตแก่ผู้มีรายได้
ปานกลางและรายได้น้อยและสานต่อความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือเพื่อนำดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีไปสู่
ยุคสันติภาพและความมั่นคง
นอกจากนี้นายคมิยงัประกาศให้เกาหลใีต้เปน็ศนูยก์ลางดา้นการคา้และวฒันธรรมของภมูภิาคเอเชยี
ตะวันออกภายใต้ชื่อว่าDynamicKorea:BusinessandCulturalHubofNortheastAsiaและพัฒนา
บริเวณโดยรอบของเมืองอินชอนให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและเป็นแหล่งเงินทุนที่ทันสมัยที่สุด (special
economiczone)จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของการพัฒนาเริ่มเปลี่ยนไปโดยมีการเพิ่มมิติการกระจายรายได้
และสันติภาพบนคาบสมุทรควบคู่ไปกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป้าหมายนี้เน้นอย่างเด่นชัดมากขึ้น
เมื่อนายโรห์มูเฮียนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีและประกาศนโยบายในวันเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่25
กุมภาพันธ์ค.ศ.2003ว่ารัฐบาลของเขาจะปรับปรุงคุณภาพชีวิตและการมีส่วนร่วมในสวัสดิการสังคมและ
การกระจายอำนาจทางการเมืองและพัฒนาประเทศให้เท่าเทียมกันอันเป็นนโยบายที่เพิ่มเติมจากการสานต่อ
การพัฒนาเศรษฐกิจต่อจากนโยบายของประธานาธิบดีคนก่อน
นายโรห์ย้ำถึง“การขจัดการแบ่งแยกการยึดถือกลุ่มและช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน”(Discri-
mination, parochialism and the gap between the haves and have-nots) ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายใหม่ที่
รัฐบาลของเกาหลีใต้ประกาศอย่างชัดเจนและพยายามดำเนินการให้เกิดผล อันเป็นการตอบสนองความ
ประสงค์ของผู้เลือกตั้งที่สนับสนุนตัวเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว คนงาน กรรมกรและผู้ด้อยโอกาส
ทางสังคมที่เล็งเห็นว่า ในอดีตที่ผ่านมา คนกลุ่มเล็ก ๆ ผูกขาดสังคมเกาหลีในขณะที่คนส่วนใหญ่ได้รับ
การกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างเท่าเทียมกัน จึงถือได้ว่า นโยบายนี้เป็น
มิติใหม่ของการพัฒนาประเทศสาธารณรัฐเกาหลีโดยแท้ นโยบายพัฒนาสังคมได้รับการริเริ่มสร้างขึ้นทันที
ภายหลังที่นายโรห์เป็นประธานาธบิดีตอ่มาในปีค.ศ.2004รฐับาลเน้นการปรับปรงุระบบสวัสดิการสงัคมดว้ย
การทุ่มงบประมาณถึง12หมื่นล้านวอน(10.1พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)หรือเพิ่มกว่าร้อยละ9ของงบส่วนนี้
ในงบประมาณของปีก่อนนับเป็นวงเงินสูงที่สุดเมื่อเทียบกับงบของรัฐบาลใด ๆ ก่อนนี้ โครงการสำคัญที่
เน้นได้แก่การสร้างงานใหม่การให้เงินอุดหนุนเพื่อการยังชีพแก่คนยากไร้การให้บริการรักษาพยาบาลฟรี
การสรา้งทีพ่กัและศนูย์ฝกึอาชพีแก่คนชราการตัง้ศนูย์รบัเลีย้งเดก็340แหง่ทัว่ประเทศแก่ลกูของสตรีที่ทำงาน
เต็มเวลา ส่วนปี ค.ศ. 2005 รัฐบาลย้ำถึงนโยบายการลดความแตกต่างของฐานะทางเศรษฐกิจระหว่าง
กลุ่มคนรวยกับกลุ่มคนจนลง และกำหนดงบประมาณมากกว่า 10 หมื่นล้านวอนในโครงการช่วยเหลือใน
โครงการยกเลิกหนี้สินให้แก่คนจนการสร้างงานใหม่สี่หมื่นตำแหน่งและการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและ
ขนาดกลางจำนวนสามหมื่นแห่งเป็นต้น
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-66 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เกาหลีใต้ กับ การ พัฒนา อุตสาหกรรม ใน ประเทศ
การพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้ จาก
อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาสู่อุตสาหกรรมหนักเพื่อการส่งออกรัฐบาลเกาหลีใต้เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม
เพื่อการส่งออกด้วยการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทุกวิถีทางตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่1(ค.ศ.
1961–1966) ในขณะเดียวกันขยายอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้าที่สำคัญซึ่งได้แก่อุตสาหกรรมการผลิต
ถา่นหนิซิเมนต์ปุย๋เหลก็กลา้และโรงกลัน่นำ้มนัเปน็ตน้ในแผนพฒันาฉบบัที่2(ค.ศ.1967–1971)รฐับาลเนน้
การขยายฐานของโครงสรา้งอตุสาหกรรมสง่ออกให้ใหญ่ยิง่ขึน้เพือ่เพิม่ศกัยภาพการแขง่ขนัสนิคา้อตุสาหกรรม
ในตลาดโลกด้วยการเร่งระดมเงินทุนและการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลเกาหลีใต้ปรับใช้แนวความคิด
ของนักทฤษฎีความทันสมัยตั้งแต่แรกเริ่มในการพัฒนาประเทศแล้วดังจะเห็นได้ว่า เนื้อหาของแผนพัฒนา
ฉบับที่1ย้ำถึงบทบาทของรัฐที่จะเข้าไปทำหน้าที่กำหนดมาตรการจูงใจเพื่อขยายการส่งออก
อนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้บทบาทของรัฐสามารถดำเนินการให้บรรลุผลตามเป้าหมายคือเจตนารมณ์
ของผู้นำประเทศและกลุ่มนักธุรกิจที่เห็นพ้องต้องกันกับนโยบายส่งเสริมการส่งออกในสินค้าประเภท
อุตสาหกรรมเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ อย่างไรก็ตาม จะขอกล่าวในที่นี้ว่า มาตรการส่งเสริม
การส่งออกในระยะแรกเริ่มจะมีลักษณะเป็นแบบลองผิดลองถูกและมีการเพิ่มมาตรการชนิดต่างๆมากขึ้น
เรื่อยๆ แต่ในบางขณะก็ยกเลิกมาตรการบางอย่างที่ใช้ไม่ได้ผลทั้งนี้เพื่อต้องการย้ำว่าสูตรสำเร็จของนโยบาย
ดา้นนี้ไม่เปน็สิง่ที่แนน่อนตายตวัมกัจะแปรเปลีย่นไปตามสถานการณ์ของตลาดและการเมอืงของโลกอยู่เสมอ
รัฐบาลเกาหลีใต้มีบทบาทสำคัญในการแทรกแซงการดำเนินงานตามนโยบายส่งเสริมการส่งออกทั้งในส่วนที่
กำหนดมาตรการจูงใจให้การช่วยเหลือและสนับสนุนรวมทั้งตั้งสถาบันเพื่อทำหน้าที่ในด้านนี้โดยตรงตั้งแต่
ต้นทศวรรษที่1960เรื่อยมา
ต่อมาแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 3 (ค.ศ. 1972–1976) เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและ
เคมีภัณฑ์ ทั้งนี้เพราะเล็งเห็นว่า การแข่งขันราคาสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมากจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง
กับสินค้าประเภทเดียวกันจากประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกที่เร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมประเภทนี้ ทำให้
รัฐบาลเกาหลีใต้หันไปพัฒนาการผลิตสินค้าประเภททุนเช่นเรือเดินสมุทรเครื่องจักรรถยนต์และรถบรรทุก
ตู้เย็นเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆและเคมีภัณฑ์เป็นต้นเมื่อรัฐบาลกำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาไว้แบบนี้บริษัท
เอกชนจึงขานรับและทุ่มเทการลงทุนเพื่อผลิตสินค้าดังกล่าวโดยได้รับการสนับสนุนทุกทางจากภาคราชการ
อตุสาหกรรมไอทีและเทคโนโลยีระดบัสงูนบัตัง้แต่ตน้ทศวรรษ1990กลุม่บรษิทัซมัซงุและแอลจีซึง่
เปน็ผูน้ำในการผลติสนิคา้ประเภทอเิลก็ทรอนกิส์เรง่พฒันาการผลติสนิคา้ประเภทคอมพวิเตอร์และเครือ่งมอื
สือ่สารคมนาคมในขณะเดยีวกนับรษิทัขนาดกลางและขนาดใหญ่อืน่ๆ ตา่งเรง่ลงทนุในอตุสาหกรรมประเภท
นี้ ทำให้มีการพัฒนาสินค้าประเภทแผงไอซี (integrated circuit) เซมิ-คอนดัคเตอร์ (semi-conductor)
และอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร (information technology) ของเกาหลีใต้ เจริญก้าวหน้าไปอย่าง
รวดเร็วนับตั้งแต่ปีค.ศ.1997 เป็นต้นมาสินค้าที่ได้กล่าวถึงข้างต้นกลายเป็นตัวจักรสำคัญในวงการธุรกิจ
อุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ โดยมีอัตราความเจริญเติบโตมากถึงร้อยละ 18.8ต่อปี ในปีค.ศ. 1997มูลค่า
การส่งออกสินค้าประเภทไอทีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกันมีราว31.3พันล้านดอลลาร์สหรัฐและเพิ่มเป็น
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-67แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
51.761.1และ74.7พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีค.ศ.2001ปี2002และปี2003ตามลำดับทำให้สัดส่วน
ของสินค้าประเภทนี้มีมากกว่าร้อยละ 34 ของสินค้าส่งออกของประเทศทั้งหมดและยังผลให้เกาหลีใต้ได้
เปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
ประธานาธิบดีคิมเดจุง(ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างค.ศ.1998–2002)ประกาศแผนพัฒนา
อุตสาหกรรมประเภทนี้ในปีค.ศ.2000ว่ารัฐบาลลงทุนก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมไอทีรณรงค์
ให้ครูและนักเรียนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ในทุกห้องเรียน ข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารต้องมีความรู้ใน
ด้านคอมพิวเตอร์สนับสนุนการเรียนรู้แบบe-learningและพัฒนาonlinegamesและcyberspaceใน
ยุคปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีย้ำให้ใต้เป็นสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง
บทบาท ของ รัฐบาล เกาหลีใต้ ใน การ ส่ง เสริม อุตสาหกรรม และ การ ส่ง ออก
บทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการส่งออกของรัฐบาลเกาหลีใต้ในทศวรรษที่1960เป็นไป
ในรูปของการจูงใจโดยการกำหนดสิทธิพิเศษทางภาษีอากรและระบบสิทธิพิเศษทางเงินกู้ชนิดต่างๆให้แก่
อุตสาหกรรมการส่งออกในการให้สิทธิพิเศษทางภาษีอากรนั้นมีมาตรการจูงใจประกอบไปด้วย
(1) การยกเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมศุลกากรสินค้าวัตถุดิบที่นำเข้าและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป
รวมทั้งสินค้าประเภททุนที่จะใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออก
(2) การยกเว้นไม่เก็บภาษีทางอ้อมในวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปและรายได้จากการส่งออก
(3) การให้ส่วนลดภาษีทางตรงในรายได้ที่ได้รับจากกิจกรรมส่งออก
(4) มีการตั้งกองทุนด้วยเงินที่เก็บมาจากภาษีเพื่อใช้ในการพัฒนาตลาดใหม่ในต่างประเทศ
และใช้ในการทดแทนการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการส่งออก
(5)การให้เงินทดแทนในค่าเสื่อมของทรัพย์สินถาวรที่ใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออก
โดยตรง
ส่วนมาตรการจูงใจในระบบสิทธิพิเศษทางเงินกู้ได้แก่การให้สินเชื่อระยะสั้นและระยะยาวเพื่อซื้อ
สินค้าประเภทวัตถุดิบและการลงทุนนอกจากนี้ยังมีการยกเว้นภาษีการนำเข้าวัตถุดิบประเภทใช้สิ้นเปลือง
เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น อนึ่ง รัฐบาลประกาศใช้นโยบายปรับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อให้
สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการค้าและเศรษฐกิจอยู่เสมอ รวมทั้งตั้งสถาบันเพื่อดำเนินการสนับสนุนการ
ส่งออกในหลายหน่วยงานซึ่งรัฐบาลสนับสนุนการส่งออกดังนี้
(1) การพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน(infrastructuredevelopment)การลงทุนสร้างปัจจัยพื้นฐาน
เช่นท่าเรือท่าอากาศยานโทรศัพท์ ถนนหนทางและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆในเขตเมืองและนิคมอุตสาหกรรม
ของประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันให้ผู้ประกอบการและบริษัทอุตสาหกรรม
ตัดสินใจริเริ่มและขยายธุรกิจให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วรัฐบาลให้ความสนใจและทุ่มการลงทุนสร้างปัจจัย
พื้นฐานนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกับการขยายตัวของธุรกิจอุตสาหกรรมของประเทศ
(2) การก่อตั้งบริษัทการค้าทั่วไป (general tradingcompanies) เนื่องจากอัตราส่วนการ
ส่งออกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเกาหลีใต้ เพิ่มจากร้อยละ 5 ในปี ค.ศ. 1965มาเป็นร้อยละ
24.8 ในปี ค.ศ. 1975หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มถึงร้อยละ 40ต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว ในขณะเดียวกัน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-68 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
การนำสินค้าเข้าก็เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ30ต่อปีกล่าวคือการนำเข้าคิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม
ประชาชาติจากร้อยละ13.2 ในปีค.ศ. 1965มาเป็นร้อยละ35.5 ในปีค.ศ. 1975ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึง
ความจำเป็นที่จะจัดตั้งบริษัทการค้าทั่วไปเพื่อทำหน้าที่เฉพาะทางด้านการนำเข้าและส่งออกเพื่อให้สอดคล้อง
กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศ
นอกจากนี้ แนวความคิดดังกล่าวยังเป็นผลมาจากการผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลก เช่น
การขึ้นราคาน้ำมันอย่างฉับพลันในปีค.ศ.1973–1974และลัทธิกีดกันทางการค้าประกอบกับประธานาธิบดี
ปัก จุงฮี ตั้งเป้าหมายภายหลังที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำประเทศในปี ค.ศ. 1972 ว่า ในช่วงปลายทศวรรษ
ที่ 1970 เกาหลีใต้จะต้องส่งสินค้าออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ด้วยเหตุผล
ดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมริเริ่มและให้การสนับสนุน
จัดตั้งบริษัทการค้าทั่วไปขึ้นในปี ค.ศ. 1975 ตามแบบของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันซึ่งได้รับความ
สำเร็จมาแล้ว รัฐบาลให้สิทธิพิเศษและช่วยเหลือทางด้านเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำมากแก่บริษัท
การค้าทั่วไปเพื่อให้สามารถขยายจำนวนและมูลค่าที่ส่งออกและนำเข้าเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังจัด
งาน “วันส่งออก” โดยมอบเกียรติยศสูงสุดแห่งชาติให้แก่บริษัทการค้าที่สามารถขายสินค้ามีมูลค่าสูงสุด
ผลที่ได้รับคือ ในปี ค.ศ. 1980 บริษัทประเภทนี้สามารถส่งสินค้าออกเป็นอัตราร้อยละ 43.6 ของสินค้า
สง่ออกทัง้หมดและนำเขา้รอ้ยละ7.4(ในภาษาเศรษฐศาสตร์เรยีกวา่การได้เปรยีบดลุการคา้กลา่วคอืสดัสว่น
และมูลค่าการส่งออกมากกว่าการนำเข้า)
(3) การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม (industrial estates) รัฐบาลช่วยเหลือในการจัดตั้งนิคม
อุตสาหกรรม รวมทั้งนิคมการผลิตเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ และให้การบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นในการ
ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมโดยคิดค่าบริการในอัตราต่ำเป็นพิเศษอนึ่งนิคมอุตสาหกรรมนี้เป็นแหล่งให้ชาว
ต่างประเทศเข้าไปลงทุนด้วยนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ตั้งขึ้นในระหว่างปีค.ศ.1969–1970โดยที่รัฐบาล
ออกกฎหมายพิเศษให้นิคมต่างๆสามารถทำกระบวนการพิธีศุลกากรและเอกสารสำคัญณนิคมนั้นๆอัน
เป็นการให้ความสะดวกแก่ธุรกิจอุตสาหกรรมในการส่งออกผลการดำเนินงานตามนโยบายส่งเสริมการส่ง
ออกในช่วงทศวรรษที่ 1960และ1970 ได้รับความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจมากนั่นคือมูลค่าการส่งออกเพิ่ม
ขึ้นอย่างรวดเร็วคือจาก54.8ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีค.ศ.1962มาเป็น10.7พันล้านดอลลาร์ในปีค.ศ.
1970และ175พันล้านดอลลาร์ในปีค.ศ.1980(คิดเป็นร้อยละ2.4 11.7และ31.0ของมวลรวมประชาชาติ
ในช่วงปีเดียวกัน)ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามผลเสียที่เกิดขึ้นตามมามีหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดวิกฤติการณ์
ทางเศรษฐกิจของโลกในช่วงปีค.ศ.1979–1981ซึ่งผลผลิตตกต่ำมากทำให้อัตราความเจริญก้าวหน้าทาง
เศรษฐกิจติดลบถึงร้อยละ5.2 อันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐเกาหลี
นับตั้งแต่เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจเป็นต้นมาอัตราเงินเฟ้อมีถึงร้อยละ32และดุลการชำระเงินขาดดุลเป็นจำนวน
มากนักเศรษฐศาสตร์อธิบายถึงวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งนั้นว่ามีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการซึ่ง
ไม่จำกัดเฉพาะแต่ความวุ่นวายทางการเมืองภายหลังอสัญกรรมของประธานาธิบดีปักจุงฮีในปีค.ศ.1979
เท่านั้นปัจจัยอื่นๆที่นำความหายนะมาสู่ภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นได้แก่การที่รัฐบาลเข้าไปมีบทบาทเกิน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-69แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ขอบเขตต่อการพัฒนาหรืออาจเรียกว่าการพัฒนาด้วยการนำของรัฐเป็นระยะเวลานานถึงสองทศวรรษซึ่ง
ย้ำการเกื้อหนุนภาคอุตสาหกรรมมากกว่าภาคเกษตรกรรม เน้นการพัฒนาเมืองมากกว่าชนบท ให้การช่วย
เหลือบริษัทใหญ่ ๆ มากกว่าบริษัทเล็ก และเน้นหนักอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกมากกว่าอุตสาหกรรมที่
ผลิตสินค้าเพื่อบริโภคภายในประเทศนอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในโครงสร้างการปกป้อง
อุตสาหกรรมภายในของประเทศทำให้เกิดความล้าหลังในอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางและทำให้
ตลาดภายในไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นต้น อนึ่ง การเร่งการพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมหนัก
และเคมีภัณฑ์จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงมากแต่สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกกลับผันแปรไปอย่างรวดเร็ว
เช่นการขึ้นราคาน้ำมันดิบอย่างรวดเร็วหลายครั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกภายหลังการขึ้นราคาน้ำมันทั้ง
2ครั้งทำให้สินค้าเกาหลีที่ส่งออกไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเกาหลีจึงจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเข้า
มาอัดฉีดให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถดำเนินอยู่ต่อไปได้ทำให้หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก16.8พันล้าน
ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 1978 เป็น 43พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 1984 และประเทศนี้กลายเป็น
ลูกหนี้อันดับที่สี่ของโลก
ประการสดุทา้ยการที่รฐับาลเขา้แทรกแซงดว้ยการปอ้งกนัและใหก้ารอดุหนนุการสง่ออกทำให้
บริษัทใหญ่ซื้อกิจการบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ มีการกว้านซื้อที่ดินเพื่อการเก็งกำไร และบริษัทใหญ่ ๆ ก็เพิกเฉย
ไม่สนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีหรือการวิจัยพัฒนา (research anddevelopment) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ
ต่อการขยายตัวด้านการส่งออกอย่างแท้จริง ดังนั้น การปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างรีบเร่ง
มีการกระทำกันเพื่อให้เหมาะสมกับทศวรรษใหม่ในระหว่างปีค.ศ.1980–1990 ช่วงต่อมาในสหัสวรรษใหม่
ภาคเอกชนเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนาตามระบบเศรษฐกิจเสรีที่กลไกตลาดมีบทบาทสำคัญในการดำเนิน
ธุรกิจอุตสาหกรรมในขณะที่รัฐบาลทำหน้าที่กำหนดกรอบกว้างๆ
อุตสาหกรรม วัฒนธรรม กับ การ ส่ง เสริม สินค้า เกาหลี ใน ตลาด โลก
รัฐบาลเกาหลีใต้เล็งเห็นความจำเป็นที่จะส่งเสริมการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปสู่ประชากร
ทั่วโลกเพื่อหวังผลให้ผู้คนรู้จักประเทศเกาหลีอันก่อให้เกิดประโยชน์ดังนี้
(1) การซื้อสินค้าเกาหลีที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศและ
(2) ชักชวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังเกาหลีจำนวนมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลียังประสงค์ที่จะให้เกาหลีเป็นข่าวในสื่อมวลชนทั่วโลกอยู่อย่าง
ต่อเนื่อง จึงส่งเสริมให้บรรจุเนื้อหาสาระเกี่ยวกับประเทศเกาหลีในหลักสูตรชั้นประถมศึกษาจนถึงขั้น
อุดมศึกษาของประเทศต่าง ๆทั้งนี้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสังคมเกาหลีให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
อีกหนทางหนึ่ง ท่ามกลางสภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในตอนปลายทศวรรษที่ 1990 รัฐบาลเกาหลีใต้เร่ง
ส่งเสริมให้ขยายอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม (cultural industry) ให้มีความแข็งแกร่ง นายปัก ไจวอน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของรัฐบาลนายคิมเดจุง(ค.ศ.1998–2002)ประกาศ
นโยบายเสริมสร้างปัจจัยพื้นฐานทางวัฒนธรรมนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นไป เช่น เร่งก่อสร้างศูนย์
วัฒนธรรมและศิลปะขนาดใหญ่(agiantculturalandartcomplex)ที่เขตโซคกวานทางทิศตะวันออก
เฉียงเหนือของกรุงโซลบนที่ดินส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยโซลแห่งชาติส่วนทางตอนใต้ของกรุงโซลนั้นมีการ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-70 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ขยายศูนย์ศิลปะแห่งกรุงโซล(SeoulArtsCenter)และศูนย์ศิลปะการแสดงพื้นเมืองแห่งชาติ(National
Center for KoreanTraditional PerformingArts) อีกทั้งมีแผนในการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมเพื่อ
ให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของกรุงโซลสามารถเดินทางไปยังศูนย์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกนอกจากนี้
รัฐบาลปรับปรุงศูนย์วัฒนธรรมกษัตริย์เซจอง(SejongCulturalCenter)และโรงละครแห่งชาติ(National
TheaterofKorea)ที่ตัง้อยู่ใจกลางของกรงุโซลให้ทนัสมยัขึน้อกีดว้ย รวมทัง้สง่เสรมิปรบัปรงุและขยายศนูย์
วัฒนธรรมที่ตั้งอยู่นอกกรุงโซลจำนวน 30 แห่งทั่วประเทศเพื่อให้เกาหลีเป็น “เมืองวัฒนธรรม” (Cultural
District)ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกไกล
กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวทุ่มเงินกว่า50พันล้านวอนเพื่อทำภาพยนตร์สารคดี
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ สิ่งตีพิมพ์ ดนตรีและข้อมูลที่เกี่ยวกับเกาหลีเพื่อส่งไปเผยแพร่ยังประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลกอนึ่งกระทรวงฯจัดให้ปีค.ศ.2001เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวเกาหลี(VisitKoreaYear2001)โดยมี
การจัดงานทั่วประเทศเช่นเทศกาลการเล่นสกีและหิมะเทศกาลทางทะเลที่เกาะเชจูเทศกาลการซื้อของและ
แฟชั่นนานาชาติเทศกาลกีฬาเทกวนโดเทศกาลภาพยนตร์เทศกาลโสมเทศกาลดนตรีเทศกาลอาหารและ
เทศกาลระบำหน้ากากแห่งเมืองอันดงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีและสร้างกระแสวัฒนธรรมเกาหลี(Korean
wave) หรืออีกชื่อหนึ่งว่าK-Pop(อ่านว่าเคป๊อป)มาจากคำภาษาอังกฤษว่าKoreanPopularนั้นเองโดย
เป็นกลยุทธ์เพื่อส่งออกสินค้าไปขายทั่วโลกเช่นสินค้าแฟชั่นเครื่องสำอางภาพยนตร์เกาหลีแว่นตาคอน
เทคเลนซ์บิ๊กอายขนมจากเกาหลีหรือแม้กระทั่งการทำศัลยกรรมความงามแบบเกาหลีหรือแนวเกาหลีซึ่งมี
ลักษณะเฉพาะรวมถึงโสมเกาหลีจนเกาหลีได้ชื่อว่าเป็นเมืองโสมทำให้โสมจากเกาหลีได้รับความนิยมจาก
ผู้บริโภคในตลาดโลกมากกว่าโสมจากที่อื่นๆด้อยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
ประการสุดท้าย รัฐบาลพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยการชักชวนคนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยว
ในเกาหลีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะช่วยให้ประเทศมีอัตราความเจริญ
เติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้นอีกทั้งเป็นการเผยแพร่สินค้าของเกาหลีสู่ตลาดโลกด้วย
การ พัฒนา ประเทศ เกาหลีใต้ ใน ศตวรรษ ที่ 21
ในศตวรรษที่21ระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งกลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีรากฐานความรู้ความสามารถ
ทางด้านปัญญาเป็นเหล่งสำคัญในการเพิ่มพูนผลผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและจะก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่
เป็นธรรมรัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดให้สังคมของตนเป็นสังคมแห่งความรู้(knowledge-basedsociety)โดย
เน้นอุตสาหกรรมหลักดังนี้
1) ความรู้พื้นฐาน ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ (electronics) และสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
(environmentandenergy)ในสว่นของอเิลก็ทรอนกิส์นัน้ประกอบดว้ย LSI(largesystemintegration)
ซึง่รวมหนา้ที่หลายๆอยา่งเขา้ดว้ยกนัไว้ในหนว่ยความจำหนว่ยเดยีว(semi-conductorchip)อตุสาหกรรม
ผลิตเครื่องมือต่างๆ(manufacturingequipments)และจอภาพทั้งหลาย(flatpaneldisplays)ในส่วน
ของสิ่งแวดล้อมและพลังงานประกอบด้วยการนำกลับมาใช้ใหม่(recycle)การกำจัดของเสีย(disposalof
waste)พลังงานพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ชนิดใหม่ๆ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-71แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
2) การใช้ความรู้หลาย ๆ ด้านมาผสมกัน ได้แก่ ข้อมูลสื่อสาร (information and
telecommunications)และอุตสาหกรรมในส่วนของข้อมูลสื่อสารประกอบด้วยinternet,e-commerce,
contents,wired andwireless, telecommunications, telecommunication service industry,
multifunctionalmobile telephone service ในส่วนของอุตสาหกรรม ประกอบด้วย fiber optic
communication,informationequipment,opticalprecisionequipmentและopticalequipments
นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยarticle intelligence,หุ่นยนต์ (robots) และ
voicerecognitionequipment
3) ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสังคมได้แก่เครื่องมือทางการแพทย์และชีวอุตสาหกรรมในส่วน
ของเครื่องมือทางการแพทย์ ประกอบด้วย visual diagnosis equipment,medical equipment for
household use ในส่วนของชีวอุตสาหกรรมประกอบด้วย genetically engineered food, genetic
diagnoses,medical information service รัฐบาลเกาหลีใต้ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมดังกล่าว
นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่1990ยังผลให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในขณะที่มีจำนวน
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเกาหลีใต้มีกว่า 5.2 ล้านคนหรือเป็นอันดับที่เจ็ดของโลก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรม
ดังกล่าวยังคงเป็นรองสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นอยู่ อนึ่งรัฐบาลสร้างศูนย์อุตสาหกรรมขึ้นให้มีลักษณะคล้าย
กับ SiliconValley ของสหรัฐอเมริกาเพื่อนำเกาหลีให้เป็นชาติที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารขนาดใหญ่หนึ่งใน
สิบของโลกปัจจุบันศูนย์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของเกาหลีมีชื่อว่าTeharanValley
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-72 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เรื่อง ที่ 4.3.2 การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศ กำลัง พัฒนา
ประเทศกำลังพัฒนา เป็นคำที่ใช้เรียกประเทศที่มีมาตรฐานการดำรงชีวิตปานกลาง-ต่ำ พื้นฐาน
อุตสาหกรรมยังไม่พัฒนาและมีดัชนีการพัฒนามนุษย์(HumanDevelopmentIndex:HDI)อยู่ในระดับ
ปานกลาง-ต่ำคำนี้มีแนวโน้มที่จะใช้แทนที่คำอื่นๆที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ซึ่งรวมถึงคำว่า“โลกที่สาม”ซึ่งเกิด
ขึ้นในยุคสงครามเย็นเนื่องจากไม่มีคำจำกัดความใดๆ มากำหนดคำว่าประเทศพัฒนาอาจเป็นไปได้ว่าระดับ
ของคำว่าพัฒนาจะมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าคำว่ากำลังพัฒนาด้วยสำหรับบางประเทศที่เรียก
ว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาพบว่ามีค่าเฉลี่ยของมาตรฐานการดำรงชีวิตอยู่ในระดับสูงเช่นกันส่วนประเทศที่
มีสภาพเศรษฐกิจที่จัดอยู่ในระดับก้าวหน้ามากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนาแต่ยังไม่จัดอยู่ในกลุ่มของประเทศ
พัฒนาจะจัดให้อยู่กลุ่มที่ใช้คำจำกัดความว่าประเทศอุตสาหกรรมใหม่
ความ เจริญ เติบโต ของ เศรษฐกิจ ทุนนิยม โลก หลัง สงครามโลก ครั้ง ที่ 2 ที่ มี ผล ต่อ การ พัฒนา
เศรษฐกิจ ของ ประเทศกำลัง พัฒนา ปัจจัยที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2คือการกีดกันทางการค้า
อยู่ในระดับที่ต่ำมีการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าและมีการสร้างถนนหนทางต่างๆมากมาย
วิกฤติการณ์ ทาง เศรษฐกิจ ของ ประเทศ กำลัง พัฒนา หลัง ทศวรรษ 1960 หลงัทศวรรษ1960ประเทศกำลงัพฒันามีการเปลีย่นแปลงโครงสรา้งทางเศรษฐกจิเปน็อตุสาหกรรม
มากขึ้น วิกฤติการณ์เศรษฐกิจหลังทศวรรษ 1970 ที่สำคัญได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และผลกระทบ
อันเนื่องมาจากวิกฤติการณ์น้ำมัน
วิกฤติการณ์เศรษฐกิจโลกหลังทศวรรษ 1970มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
3ด้านด้วยกันได้แก่ความไม่เท่าเทียมกันในรายได้มีมากขึ้นปัญหาการว่างงานและการเคลื่อนย้ายแรงงาน
และปัญหาภาระหนี้สินต่างประเทศ
กรณี ศึกษา การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ ประเทศ กำลัง พัฒนากรณีศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา 3 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาวและแอฟริกาซึ่งอธิบายได้ดังนี้
1. การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา
1.1 ภาพรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชาในปีพ.ศ.2552กัมพูชามีอัตราการขยายตัว
ทางเศรษฐกิจ(GDPgrowth)ร้อยละ1.5ซึ่งมีสาเหตุจากภัยแล้งและอุทกภัยส่งผลกระทบต่อผลผลิตด้าน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-73แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
การเกษตร ซึ่งเป็นรายได้หลักของประชากรร้อยละ 70 ของประเทศ รวมถึงการส่งออกที่ลดลงของเสื้อผ้า
สำเร็จรูปสิ่งทอรองเท้าเพราะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและสหภาพ
ยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของกัมพูชา รวมทั้งการที่สหรัฐอเมริกายกเลิกการใช้มาตรการ safeguard
ต่อสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากจีนนอกจากนี้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินโลกส่งผลให้การพัฒนาด้าน
อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง และบางโครงการถอนการลงทุน ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาส่งผล
ให้อำนาจซื้อของประชาชนลดลงอย่างไรก็ตามในปีพ.ศ.2553คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ
กัมพูชาน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เนื่องจากมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกของ
กัมพูชามีแนวโน้มดีขึ้น ที่สำคัญคือกัมพูชาเริ่มให้การสนับสนุนการลงทุนภาคสาธารณะมากขึ้นเพื่อรองรับ
เศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวภายในอนาคตอาทิการสร้างถนนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โรงไฟฟ้าถ่านหินสร้าง
ทา่อากาศยานการบรหิารจดัการระบบรถไฟเปน็ตน้ทัง้นี้กมัพชูามีผลติภณัฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)
11.2พันล้านดอลลาร์สหรัฐรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีประมาณ635ดอลลาร์สหรัฐโดยรายได้หลักของกัมพูชา
มาจากภาคเกษตรกรรมร้อยละ32.5ได้แก่การกสิกรรมการประมงปศุสัตว์และป่าไม้ซึ่งสินค้าเกษตรที่
ส่งออกได้แก่ข้าวผลิตภัณฑ์ปลาและยางพารารองลงมาได้แก่ข้าวโพดถั่วเหลืองสัตว์มีชีวิตผลไม้และ
ปลา เป็นต้นภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 22.4 ซึ่งสินค้าอุตสาหกรรมส่งออก ได้แก่ เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม
รองเท้า และภาคบริการร้อยละ 45.1 รายได้ที่สำคัญของภาคบริการ ได้แก่ รายได้จากนักท่องเที่ยว และ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ
อนึ่งสกุลเงินของกัมพูชาคือ เงินเรียล (Riel)การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศใช้เงิน
ดอลลาร์สหรฐัหมนุเวยีนในตลาดมากกวา่เงนิเรียลซึง่เปน็เงนิพืน้เมอืงการแลกเปลีย่นเงนิตราระหวา่งประเทศ
ค่อนข้างเสรี โดยสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระผ่านระบบธนาคารและตัวแทนการแลกเปลี่ยนที่ได้รับ
อนุญาตอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินเรียลกัมพูชาและเงินดอลลาร์สหรัฐ มีอัตรา
ค่อนข้างคงที่กล่าวคืออยู่ในระดับประมาณ4,000เรียลต่อ1ดอลลาร์สหรัฐ
1.2 โครงสรา้งพืน้ฐานทางการเงนิ ในชว่งครสิต์ทศวรรษ1990ประเทศกมัพชูาเริม่เขา้สู่ระบบ
เศรษฐกิจแบบตลาด(market-orientedeconomy)มีการเปิดตลาดการค้าการลงทุนในประเทศและระหว่าง
ประเทศโดยมีสิ่งบ่งชี้ที่สำคัญคือการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน(ASEAN)ในปีค.ศ.1999(พ.ศ.2542)และเข้า
เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(WTO)ในปี2004(พ.ศ.2547)ทำให้กัมพูชาต้องปฏิรูปประเทศในหลายๆ
ดา้นโดยเฉพาะอยา่งยิง่การออกกฎระเบยีบที่เกีย่วขอ้งกบัการคา้การลงทนุสำหรบัภาคการเงนิการธนาคารใน
กมัพชูาเริม่เปดิดำเนนิการในชว่งครสิต์ทศวรรษที่1990สว่นการพฒันาตลาดทนุเดมิรฐับาลกมัพชูาวางแผน
เปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ประมาณปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) แต่ก็ต้องเลื่อนออก
ไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากมีความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในช่วงปลายปี ค.ศ. 2008
เป็นต้นมาอย่างไรก็ดีแม้ว่าในปัจจุบันการให้บริการทางการเงินของธนาคารต่างๆจะมีการให้บริการทางการ
เงินรูปแบบใหม่ๆอาทิตู้ATMบัตรเครดิตและการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตแต่ว่าสัดส่วนการใช้บริการ
ทางการเงินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น(GDP)อยู่ในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำโดยในปีพ.ศ.
2550สัดส่วนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน เท่ากับร้อยละ18.3ต่อGDPและสัดส่วนเงินฝากในระบบ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-74 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
สถาบันการเงินเท่ากับร้อยละ26.8ต่อGDPโดยนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2546-2550จำนวนผู้ฝากเงินเพิ่มขึ้นโดย
เฉลี่ยกว่าร้อยละ215ขณะที่ผู้ขอสินเชื่อธนาคารเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ60โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ฝาก
เงินเติบโตมากกว่าผู้ขอสินเชื่อประมาณ3.5เท่าในแง่ของความมั่นคงของระบบธนาคารถือว่าอยู่ในเกณฑ์
ดีพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญกล่าวคือมีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งหมด(Return
onAsset:ROA)โดยเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ2และมีอัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น(ReturnsonEquity:
ROE)เท่ากับร้อยละ11
2. การพัฒนาเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)เศรษฐกิจลาวไม่
ได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินของโลกในปีพ.ศ.2551มากนักเพราะได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้า
โภคภัณฑ์สูงกว่าราคาที่คาดการณ์ไว้ และการขยายตัวของรายจ่ายภาครัฐอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยในการ
กระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ผลกระทบของวิกฤติทางการเงินต่อเศรษฐกิจลาวเป็นไปในรูปของรายได้
ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ลดลงและรายได้จากการส่งออกสินค้า
ที่ไม่ใช่โภคภัณฑ์ลดลงโดยเฉพาะสินค้าเกษตรผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ที่แท้จริงคาดว่า
จะมีอัตราเพิ่มลดลงเหลือร้อยละ7.6 ในปี 2552อันเป็นผลจากวิกฤติการเงินโลกอัตราเติบโตที่โดดเด่นนี้
(นับว่าสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกรองจากจีน)เป็นจริงได้ด้วยสาเหตุดังนี้
ประการแรก เศรษฐกิจลาวค่อนข้างปิดการเปิดรับผลกระทบจากการค้าต่างประเทศอยู่ใน
วงจำกัดจึงได้รับความเสียหายจากวิกฤติการเงินในครั้งนี้น้อย
ประการที่สอง เศรษฐกิจลาวได้รับประโยชน์จากความต้องการสินค้าส่งออกอย่างต่อเนื่อง
(ความต้องการสินแร่จากจีน เสื้อผ้าจากยุโรปและพลังงานไฟฟ้าจากไทย)ความต้องการบริการท่องเที่ยวที่
เพิ่มขึ้นและราคาพลังงานน้ำมันนำเข้าที่ลดลง
ประการที่สาม รัฐบาลเพิ่มการใช้จ่ายก้อนใหญ่เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้อัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจคงอยู่ในระดับสูงโดยค่าใช้จ่ายภาครัฐไปทดแทนการลงทุนของต่างชาติที่ลดลง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังนี้ มีทั้งที่เป็นเงินงบประมาณ (ค่าจ้างและการลงทุน
ภายในประเทศ) และการใช้จ่ายนอกงบประมาณโดยอ้อม ในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระดับ
ท้องถิ่นที่ให้การจัดหาเงินกู้โดยธนาคารแห่งชาติลาว อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(GDP)เกดิจากการขยายตวัในหมวดทรพัยากรอยา่งสำคญัผลผลติภาคเหมอืงแร่(สว่นใหญ่จากทองแดงและ
ทองคำ)มีส่วนทำให้ผลผลิตรวมเติบโตในอัตราร้อยละ2.5ในปีพ.ศ.2552 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตและ
ภาคการเกษตรแตล่ะภาคมีสว่นทำให้อตัราการเตบิโตของผลผลติรวมเพิม่ขึน้ในปรมิาณรอ้ยละ1ภาคบรกิาร
มีส่วนในอัตราการเติบโตส่วนที่เหลือ
จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอัตราการเติบโตของผลผลิตมวลรวมในประเทศ
(GDP)ของสปป.ลาวจะดีขึ้นในระยะปานกลางแม้ว่าการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า
โภคภณัฑ์ในตลาดโลก(โดยเฉพาะราคาโลหะและสนิคา้เกษตร)เปน็ที่คาดวา่เศรษฐกจิลาวจะได้รบัประโยชน์
จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวการดำเนินโครงการพลังน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังก่อสร้างและที่วางแผนไว้
รวมถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของประเทศเพื่อนบ้าน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทย จีน และเวียดนาม) และ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-75แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
สหภาพยุโรป ราคาสินค้าโดยรวมเริ่มขยับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ลดลงพอสมควรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ในปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ ร้อยละ 1.5 ในเดือนพฤศจิกายน 2552 เทียบกับเดือนเดียวกันของ
ปีก่อนหลังจากที่อยู่ในระดับต่ำกว่า0เล็กน้อยมาหลายเดือนเป็นผลเนื่องมาจากราคาอาหารและพลังงานที่
ฟื้นตัวขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่รวมอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้นทีละน้อยจากร้อยละ0.4 ใน
เดอืนมถินุายนเปน็รอ้ยละ1.1ในเดอืนกนัยายนและรอ้ยละ2.4ในเดอืนพฤศจกิายนอตัราเงนิเฟอ้โดยเฉลีย่
คาดว่าจะลดลงจากร้อยละ7.6ในปี2551เหลือต่ำกว่าร้อยละ1ในปี2552โดยอัตรานี้จะค่อยๆเพิ่มขึ้น
ในระยะปานกลางเมื่อราคาน้ำมันและอาหารเพิ่มขึ้นแรงกดดันจากภาวะวิกฤติทางการเงินโลกร่วมกับพันธะ
การเป็นเจ้าภาพกิจกรรมนานาชาติหลายครั้งทำให้ภาครัฐต้องเพิ่มการใช้จ่ายอย่างมากในปี 2552 ดังนั้น
คาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากร้อยละ 1.8 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 6.8 ในปี 2552
รายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งในส่วนของสินค้าทุนและค่าจ้างแรงงาน (การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ
และค่าตอบแทนได้ผ่านสภาแห่งชาติลาวก่อนเกิดวิกฤติ)นอกจากเงินงบประมาณมีการเพิ่มของการใช้จ่าย
เงินนอกงบประมาณที่เป็นภาครัฐโดยได้รับสินเชื่อจากธนาคารแห่งชาติลาวเพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใน
ระดับท้องถิ่นและกิจกรรมสำคัญสองรายการคือการจัดการแข่งกีฬาซีเกมส์และการฉลองครบรอบ450ปี
นครเวียงจันทร์
อย่างไรก็ดีธนาคารแห่งชาติลาวประกาศการทยอยยุติการให้กู้โดยตรงแก่โครงการสาธารณะ
ภายในสิ้นปี2552ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญต่อความกังวลว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นในอนาคตรายได้ของ
รัฐคาดว่าจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ร้อยละ 8 และจะลดลงเล็กน้อย ไปอยู่ที่ร้อยละ 13.8 ของผลผลิตมวลรวม
ในประเทศ(GDP)ในปี2552ทั้งนี้เป็นเพราะการลดลงของรายได้จากทรัพยากรและรายได้อื่นที่ไม่ใช่ภาษี
(โดยเฉพาะเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ)แม้ว่าสปป.ลาวจะประสบความสำเร็จในการลดหนี้ต่างประเทศและ
หนี้สาธารณะแต่ก็ยังเผชิญกับความเสี่ยงต่อการชำระหนี้ เนื่องจากมูลค่าหนี้อยู่ในระดับสูง กระนั้นก็ตาม
การชำระหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่เสียดอกเบี้ยในอัตรา
ลดหย่อน แต่ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระยะปานกลางเนื่องจากความจำเป็นต้องหาเงินทุนเพื่อเข้าถือหุ้นใน
โครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ
มูลค่าการค้าต่างประเทศของลาวลดลงพอสมควรอันเป็นผลจากวิกฤติการเงินโลกที่ทำให้ราคา
สินค้าโภคภัณฑ์และอุปสงค์โดยรวมลดลง มูลค่าการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงร้อยละ 7.2 เมื่อเทียบ
กับปีก่อนขณะที่มูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ9.6ในช่วงเดียวกันเนื่องจากราคาสินค้าทุนและพลังงานลด
ลงดังนั้นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจึงลดลงเหลือร้อยละ 7.9 ของจีดีพี ในปี 2552 จากร้อยละ 12.5 ใน
ปี 2551การเกินดุลทุนเคลื่อนย้ายลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในปี 2552 เนื่องจากการลดลงอย่างเห็นได้ชัดของ
เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศการที่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้าลดลงพร้อมกับการใช้นโยบายการเงิน
ขยายตัวทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงการที่ธนาคารแห่งชาติลาวให้กู้โดยตรงการแทรกแซงตลาด
เพื่อกำหนดค่าเงินกีบ และเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลง ทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงเกือบ
ร้อยละ 16 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมิถุนายน 2552
ทุนสำรองระดับนี้สามารถสนับสนุนการนำเข้าได้4.9เดือนแม้ว่าระดับทุนสำรองจะลดลงแต่ก็อยู่ในสภาพ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-76 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ที่ค่อนข้างมั่นคงตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าลดลงตามไปด้วยค่าเงินกีบเพิ่มขึ้นเล็ก
น้อยประมาณร้อยละ0.5เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐแต่อ่อนค่าลงร้อยละ3.1เมื่อเทียบกันเงินบาทใน
ช่วงหกเดือน(มิถุนายน-พฤศจิกายน2552)
สินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ98ต่อปีซึ่งร้อยละ30มาจากการให้กู้โดยตรง
ของธนาคารแหง่ชาติลาวให้กบัรฐับาลทอ้งถิน่ในโครงการกอ่สรา้งโครงสรา้งพืน้ฐานการเพิม่อยา่งรวดเรว็ของ
สินเชื่อเช่นนี้นับเป็นความพยายามของภาครัฐที่ต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาวะวิกฤติทางการเงินโลก
ซึ่งไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในระยะปานกลางแม้ว่าความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคจะลดลงไป
บ้างจากการที่ฐานของการเพิ่มยังอยู่ในระดับต่ำ(คืออยู่ที่ร้อยละ12ของจีดีพีณสิ้นปี2551)
รัฐบาลตระหนักดีในความเสี่ยงนี้และมุ่งมั่นที่จะควบคุมระดับสินเชื่อให้ขยายตัวในระดับที่เหมาะ
สมในระยะยาว การปฏิรูปกฎระเบียบก้าวหน้าพอสมควร รัฐบาลประกาศเจตนารมณ์ที่จะยึดแนวทางการ
พัฒนาเศรษฐกิจมหภาคแบบยั่งยืน และการทยอยยุติโครงการภาครัฐนอกงบประมาณการปฏิรูปการคลัง
ของประเทศจะครอบคลุมถึงการรวมศูนย์การจัดระเบียบการคลังศุลกากรและภาษีในระดับท้องถิ่นการ
รวมบัญชีงบประมาณของท้องถิ่นเข้ากับของส่วนกลางอยู่ในระหว่างการดำเนินการพร้อมไปกับการปรับปรุง
และประกาศใช้กฎหมายกฤษฎีกาต่างๆรวมถึงกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มกฎหมายภาษีเงินได้และประกาศ
ฝ่ายบริหารเรื่องสินแร่และค่าภาคหลวงตลอดจนการบริหารราชการพลเรือน รัฐบาลดำเนินการยกเลิกการ
ยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับยานยนต์ให้ความเห็นชอบในประกาศฉบับใหม่ว่าด้วยการให้ใบอนุญาตนำเข้าและ
ส่งออกในกฎหมายว่าด้วยสินแร่และกฎหมายใหม่ว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนอย่างไรก็ตามการประกาศ
ใช้และการบังคับใช้กฎหมายระเบียบเหล่านี้ยังค้างอยู่
3. การพัฒนาเศรษฐกิจของทวีปแอฟริกา
3.1สภาพทั่วไปของทวีปแอฟริกาทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมาก
เป็นอันดับสองรองจากทวีปเอเชียพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงประกอบด้วยประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนา
น้อยที่สุด รวม 53ประเทศ ในปี พ.ศ. 2547มีประชากรรวม 873.74 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 13.5 ของ
ประชากรโลกประเทศที่มีประชากรมากที่สุดคือไนจีเรีย (137.3 ล้านคน) เอธิโอเปีย (67.9 ล้านคน) และ
คองโก (58.3 ล้านคน) อัตราการรู้หนังสือของผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปในทวีปแอฟริกาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
66.2มีความหลากหลายทั้งในเรื่องชนชาติภาษาวัฒนธรรมและระบบการปกครองปัจจุบันมี22ประเทศที่
มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกทั้งมีปัญหาคอรัปชั่นในหลายประเทศโดยประเทศที่ผลการสำรวจ
พบว่ามีการคอรัปชั่นสูงสุดได้แก่ไนจีเรียรองลงมาคือชาดและโกตดิวัวร์ส่วนประเทศที่มีการคอรัปชั่น
น้อยที่สุดได้แก่บอตสวานาตูนีเซียและแอฟริกาใต้ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
ต่างๆมากมายเช่นน้ำมัน(ร้อยละ8.9ของโลก)ก๊าซธรรมชาติ(ร้อยละ7.8ของโลก)แร่ธาตุต่างๆเช่น
เพชร ทองพลอยต่าง ๆ ทองแดง เหล็ก ยูเรเนี่ยม เป็นต้น รวมถึงสินค้าประมงและผลไม้เขตร้อน โดย
ประเทศที่ครอบครองบ่อน้ำมันและเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกได้แก่ แอลจีเรีย และลิเบีย อย่างไร
ก็ตามประเทศในแอฟริกายังมีการแปรรูปวัตถุดิบที่ตนเองมีอยู่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มน้อยมาก จึงเป็นเพียง
แหล่งวัตถุดิบให้แก่ประเทศอื่นๆ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-77แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
3.2สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจGDP ของทวีปแอฟริกามีขนาดเล็กมาก เพียงร้อยละ 1.6
ของGDP โลกแต่เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กองทุนการเงินระหว่างประเทศประมาณการการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจของทวีปแอฟริกาในปี2548และ2549ที่ร้อยละ5และ5.4ตามลำดับรายได้เฉลี่ย
ต่อหัวของประชากรในทวีปแอฟริกาในปี2546โดยเฉลี่ยเท่ากับ815เหรียญสหรัฐฯโดยประเทศที่มีรายได้
ต่อหัวสูงสุดได้แก่เซเชลล์มอริเชียสและกาบอง(7,0503,900และ3,120 ดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ)ส่วน
ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่ำสุดได้แก่คองโกบุรุนดีและเอธิโอเปีย(90100และ100ดอลลาร์สหรัฐตาม
ลำดับ) โครงสร้างเศรษฐกิจของทวีปแอฟริกาประกอบด้วย ภาคเกษตรร้อยละ 22.6 ภาคอุตสาหกรรม
ร้อยละ 24.6ภาคบริการร้อยละ 38.7 และเป็นรายจ่ายภาครัฐร้อยละ 14.12 โดยมีแรงงานส่วนใหญ่หรือ
ร้อยละ55.3อยู่ในภาคเกษตรส่วนภาคอุตสาหกรรมและบริการมีสัดส่วนแรงงานร้อยละ18.4และ26.2
ตามลำดับ ภูมิภาคที่มีการพัฒนามากที่สุดจะอยู่ทางตอนเหนือของทวีป เนื่องจากมีพรมแดนติดต่อกับ
ตอนล่างของยุโรปและเอเชีย(ตะวันออกกลาง)
ด้านอัตราเงินเฟ้อ ในช่วงปี 2533-2542 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของทวีปแอฟริกามีค่าสูงถึง
ร้อยละ23.3ต่อปีอย่างไรก็ตามเศรษฐกิจแอฟริกาเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นดังจะเห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อ
เฉลี่ยระหว่างปีพ.ศ.2543-2546ที่ลดลงเหลือร้อยละ11.5หลังจากที่ประเทศในทวีปแอฟริกาทยอยได้รับ
เอกราชจากประเทศเจ้าอาณานิคมกิจกรรมต่างๆทางด้านเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นมีการเปิดความสัมพันธ์
ทั้งกับประเทศภายในและภายนอกทวีปเพื่อขยายการค้าการลงทุนและการพัฒนาโดยการรวมกลุ่มภายใน
ทวปีที่สำคญัไดแ้ก่(1)FrancZone(FZ)ซึง่เปน็การรวมกลุม่ทางเศรษฐกจิของประเทศที่เคยเปน็อาณานคิม
ของฝรั่งเศสโดยใช้เงินฟรังค์ของฝรั่งเศสเป็นสื่อกลางประกอบด้วย16ประเทศ(2)AfricanUnion(AU)
ประกอบด้วยทุกประเทศในทวีปแอฟริกาส่วนการรวมกลุ่มนอกทวีปที่สำคัญได้แก่การเป็นสมาชิกกองทุน
การเงินระหว่างประเทศ(IMF)องค์การการค้าโลก(WTO)การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการ
พัฒนา(UNCTAD)และองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ(UNIDO)
กลา่ว โดย สรปุ จากกรณีศกึษาทัง้3ประเทศกำลงัพฒันาที่กลา่วมาเมือ่เปรยีบเทยีบกบัประเทศพฒันา
จะมีมูลค่าผลิตภัณฑ์ประชาชาติต่อหัวของประเทศน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วนอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึง
การพึ่งพาตนเองแล้วประเทศกำลังพัฒนามีการพึ่งพาตนเองน้อยกว่าประเทศพัฒนานั้นหมายถึงว่าประเทศ
กำลังพัฒนายังมีความจำเป็นในการพึ่งพาต่างประเทศเช่นการลงทุนเทคโนโลยีความรู้ความชำนาญเฉพาะ
ด้านรวมทั้งการศึกษาและสาธารณสุขด้วยเมื่อประเทศเหล่านี้มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะลดการพึ่งพา
ต่างชาติและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-78 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
เรื่อง ที่ 4.3.3 แนว โน้ม การ พัฒนา เศรษฐกิจ ของ โลก
แนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกคือทิศทางการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมโลก
ตลอดทั้งการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในโลกมนุษย์ ทั้งนี้โดยมีนักอนาคตวิทยาชื่อ อัลวิน ทอฟเลอร์
(AlvinTofler)ตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบดังคลื่นทะเลซึ่งมีอยู่ด้วยกัน3ระลอกคลื่น(wave)คลื่นลูกแรก
เรียกว่า เศรษฐกิจการเกษตรแบบชนบทเป็นหลัก (สังคมเกษตร) ซึ่งมนุษย์ผลิตปัจจัย 4 จากคลื่นลูกนี้
(ปัจจัย4ได้แก่อาหารเครื่องนุ่งห่มยารักษาโรคและที่อยู่อาศัย)เมื่อมีความเป็นบ้านเมืองและสังคมแล้ว
คลื่นลูกที่2ถัดมาคือเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม(การผลิตและการตลาด)ทำให้มนุษย์ผลิต
สินค้าเหลือกินเหลือใช้เป็นแรงจูงใจให้เกิดการค้าขายไปทั่วโลกส่วนคลื่นลูกที่3ประมาณหลังสงครามโลก
ครั้งที่2พัฒนามาเป็นการบริการและเศรษฐกิจสร้างสรรค์อาศัยเทคโนโลยีและการบริหารสิ่งแวดล้อมเพื่อ
ให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
เศรษฐกิจ โลก และ ทิศทาง ใน ทวีป ต่าง ๆ ที่ สำคัญสามารถแบ่งออกได้เป็น5กลุ่มหลักดังนี้
1. อเมริกาและยุโรป เคยเป็นหัวรถจักรทางเศรษฐกิจโลก จนกระทั่งเกิดวิกฤติแฮมเบเกอร์ใน
อเมริกาส่วนในทวีปยุโรปเองก็มีปัญหา เช่นประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่นกรีซอิตาลีและสเปนซึ่ง
ผู้คนมีนิสัยสบายๆทั้งรัฐบาลและพลเมืองของเขาทำให้เกิดการก่อหนี้ในภาครัฐจนรายได้ไม่เพียงพอที่จะ
สามารถส่งดอกเบี้ยได้ กลายเป็นเหตุการณ์ก่อจลาจลวุ่นวาย ใกล้ล้มละลายในระดับต่าง ๆ และเนื่องจาก
ประเทศยุโรปที่สำคัญรวมตัวกันเป็นประชาคมและใช้เงินตราร่วมกัน(เงินสกุลยูโร)จึงมีทิศทางว่าจะฉุดดึง
ให้ซบเซาทั้งทวีปตามสหรัฐอเมริกาไปด้วย
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-79แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
ภาพ ที่ 4.1 กลุ่ม ทวีป อเมริกา
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-80 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
2. กลุม่ประเทศอเมรกิาใต้มีประเทศผูน้ำเศรษฐกจิคอืประเทศบราซลิซึง่มีพืน้ที่ขนาดใหญ่สามารถ
ผลิตพืชผลที่เป็นอาหารและพลังงานเลี้ยงชาวโลก(โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟ)ได้บ้างเมื่อรวมทั้งอาเจนติน่าและ
เมก็ซโิกก็จะมีพลงัขบัเคลือ่นเศรษฐกจิที่ดีแต่ก็พอเพยีงชว่ยตวัเองได้เทา่นัน้จากการที่เคยเปน็เศรษฐกจิซบเซา
อยู่หลายทศวรรษ
ภาพ ที่ 4.2 กลุ่ม ประเทศ อเมริกาใต้
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-81แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
3. ประเทศในแอฟรกิาทัว่โลกเริม่ให้ความสนใจเพราะยงัมีวตัถดุบิและทีด่นิมหาศาลเปน็ที่ตอ้งการ
ของตลาดโลกและประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ มีลูกค้าเก่าคือแถบยุโรป ส่วนลูกค้าใหม่ที่สำคัญคือ จีน จึงมี
แนวโน้มว่าจะมีทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สดใสด้านวัตถุดิบแร่ธาตุและที่ดินถ้าสามารถบริหารจัดการ
การคอรัปชั่นและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างเผ่าต่างๆได้ลงตัว
ภาพ ที่ 4.3 กลุ่ม ประเทศ ใน ทวีป แอฟริกา
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-82 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
4. ประเทศในกลุ่มอาหรับในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือมีปรากฏการณ์ทางการเมือง
ที่มีทิศทางการพัฒนาที่อาจนำมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจได้ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ฤดูใบไม้ผลิ” (Arab
Spring)นั่นคือมีการตื่นตัวเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนจากผู้นำที่เป็นเผด็จการมีพฤติกรรมกดขี่
และคอรัปชั่นทำให้ประเทศในกลุ่มอาหรับเป็นประชาธิปไตยมีรัฐบาลปกครองทำให้ลดการกดขี่ลงในหลาย
ประเทศและนำประเทศเข้าสู่การขับเคลื่อนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจโลกด้านพลังงานซึ่งก็คือน้ำมันนั่นเอง
ภาพ ที่ 4.4 ประเทศ ใน กลุ่ม อาหรับ
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-83แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
5. ประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชีย ขณะนี้คาดหวังว่าจะเป็นหัวรถจักรทางเศรษฐกิจใหม่ ในการ
กระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลก มี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ จีน อินเดีย รัสเซีย และประชาคมเศรษฐกิจ
อาเซียน
ภาพ ที่ 4.5 ประเทศ ใน เอเชีย
แนว โน้ม การ พัฒนา เศรษฐกิจ โลกในอนาคตการพัฒนาเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับ 4 กลุ่มประเทศหลักในอเมริกา
ทวีปยุโรปเอเชียและอเมริกาใต้สามารถอธิบายได้4กลุ่มหลักดังนี้
1. กลุ่มประเทศBRICเป็นตัวย่อของประเทศเศรษฐกิจพัฒนาที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ
มากได้แก่BrazilRussiaIndiaและChinaซึ่งจะเห็นได้ว่า3ใน4ประเทศนั้นอยู่ในเอเชียมีพลเมือง
และปริมาณพื้นที่รวมกันมากพอที่จะฉุดเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาให้มีแนวโน้มตื่นตัวขึ้นได้อย่างสำคัญโดย
นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำกำหนดให้รัสเซียเป็นผู้นำด้านการผลิตพลังงานและเทคโนโลยีทางเลือกอินเดียเป็น
ผู้นำการผลิตด้านบริการผ่านระบบโทรคมนาคมและเทคโนโลยีซอฟแวร์ ส่วนจีนเป็นผู้นำการผลิตสินค้า
บริโภคและอุปโภค รวมทั้งครุภัณฑ์สำคัญของโลกในระดับครัวเรือน แต่ก็มีปัญหาอยู่บ้างคือ รัสเซียอาจมี
ปัญหาที่กำลังเปลี่ยนผู้นำและรัฐบาลตลอดทั้งบทบาทการเป็นประเทศสมาชิกในองค์การการค้าโลก(World
TradeOrganization:WTO)อันจะกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจโลกด้วยส่วนอินเดียมีปัญหาความยากจน
ภายในและสมรรถภาพราชการและจนีมีปญัหาเรือ่งตลาดสง่ออกซบเซามีระบบเศรษฐกจิที่แพงเกนิไปสำหรบั
พลเมืองส่วนใหญ่ของตน
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-84 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
ภาพ ที่ 4.6 กลุ่ม ประเทศ BRIC
2. ASEANPlusประมาณปีพ.ศ.2558ประเทศอาเซียนจะกลายเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญไม่น้อย
กว่าBRICมีการผนวกประเทศนอกกลุ่มสำคัญเช่นออสเตรเลียและเอเชียอื่นๆ (จีนญี่ปุ่นเกาหลี)จนเป็นที่
คาดหวังได้ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญของประชาคมเศรษฐกิจโลกร่วมกับBRICได้
ภาพ ที่ 4.7 กลุ่ม ประเทศ ASEAN Plus
3. ทวีปเอเชียใต้ประกอบด้วยประเทศขนาดใหญ่และมีศักยภาพไม่น้อยนอกจากอินเดียแล้วยังม ี
อัฟกานิสถานซึ่งเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุที่หายากนอกจากนี้แล้วประเทศปากีสถาน
ยังเป็นประเทศที่มีความชำนาญในด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ และประเทศบังกลาเทศมีศักยภาพทางด้าน
การบริหารภาคประชาสังคมประเทศเหล่านี้มีสินทรัพย์จำนวนมากและจำนวนพลเมืองของประเทศเหล่านี้
มีคุณภาพและพื้นฐานการศึกษาที่ดีจนสามารถกล่าวได้ว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้อาจกลายเป็นตลาดเสรีขนาด
ใหญ่ทดแทนตลาดส่งออกเดิมของไทยได้
4. กลุ่มประเทศเสือแห่งเอเชีย(OldTigers)อันได้แก่ญี่ปุ่นเกาหลีใต้ไต้หวันและฮ่องกงเป็น
ตัวแบบของประเทศที่มีความสำเร็จในการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีวินัยย่านเอเชียคุณสมบัติที่โดดเด่นของ
พลเมืองของประเทศกลุ่มนี้ คือ ใฝ่รู้ ขยันทำงานอย่างมีวินัย เก็บหอมรอมริบด้วยความประหยัดพอเพียง
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-85แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
และรักพวกพ้องและครอบครัว เป็นค่านิยมที่ฝรั่งเรียกว่า confucianismซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื้อ
นั่นเองเมื่อบุคคลเหล่านี้สามารถดำเนินธุรกิจของตนเองจนสามารถตั้งตัวได้จะพัฒนาเป็นเจ้าของธุรกิจอย่าง
รวดเร็วและนำหน้าใครยกตัวอย่างคือประเทศสิงคโปร์
ภาพ ที่ 4.8 กลุ่ม ประเทศ เสือ แห่ง เอเชีย
หลัง จาก ศึกษา เนื้อหา สาระ ตอน ที่ 4.3 แล้ว โปรด ปฏิบัติ กิจกรรม 4.3
ใน แนว การ ศึกษา หน่วย ที่ 4 ตอน ที่ 4.3
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-86 สังคมไทยกับการบริหารการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร
บรรณานุกรม
ดารารัตน์ อานันทนะสุรวงค์. (2543). “หน่วยที่ 2 ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจ I.” ในประมวลสาระชุดวิชา
เศรษฐศาสตร์การพัฒนา.บัณฑิตศึกษา.สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
(2543). “หน่วยที่ 3 ทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจ II.” ในประมวลสาระชุดวิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา.
บัณฑิตศึกษาสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ดำรงค์ ฐานดี. (2548). “หน่วยที่ 9 ยุทธศาสตร์การพัฒนาของสาธารณรัฐเกาหลี.” ใน ประมวลสาระชุดวิชา
กระบวนการพัฒนาและทางเลือกสาธารณะ.บัณฑิตวิทยาลัย. สาขาวิชารัฐศาสตร์. มหาวิทยาลัยสุโขทัย
ธรรมาธิราช.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ประสิทธิ์ตงยิ่งศิริ.(2529).“หน่วยที่1หลักและแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ.”ในเอกสารการสอนชุดวิชา
ทฤษฎีและนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ.สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
(2529).“หน่วยที่3บทบาทของรัฐในการพัฒนาเศรษฐกิจ”ในเอกสารการสอนชุดวิชาทฤษฎีและนโยบาย
การพัฒนาเศรษฐกิจ.สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช.(2541).พระราชดำรัสพระราชทานเมื่อวันที่4ธันวาคม2540คู่มือ
การดำเนินชีวิตสำหรับประชาชนปี 2541 และทฤษฎีใหม่.จัดพิมพ์โดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วน
พระองค์. สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์. บริษัทมงคลชัยพัฒนา บริษัทบางจากปิโตรเลี่ยม
จำกัด(มหาชน).
วรวุฒิหิรัญรักษ์ (2529). “หน่วยที่2ปัจจัยที่มีอิธิพลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ.”ใน เอกสารการสอนชุดวิชาทฤษฎี
และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ.สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ศิริพร สัจจานันท์. (2543). “หน่วยที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การพัฒนา.” ในประมวลสาระชุดวิชา
เศรษฐศาสตร์การพัฒนา.บัณฑิตศึกษา.สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
สาธารณรัฐเกาหลี. ชื่อประเทศเกาหลีอย่างเป็นทางการ. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ค้นคืนวันที่ 22 ธันวาคม 2555.
จากwww.wikipedia.com
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย.(2542).ตัวชี้วัดธรรมาภิบาล.
สำนกังานคณะกรรมการพฒันาการเศรษฐกจิและสงัคมแหง่ชาต.ิสำนกันายกรฐัมนตร.ี(2535).แผนพฒันาเศรษฐกจิ
และสังคมแห่งชาติฉบับที่7.
(2540). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่8.
(2545). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่9.
(2550). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่10.
(2555). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่11.
อาคมเติมพิทยาไพสิฐและวิโรจน์นรารักษ์.(2543).“หน่วยที่12บทบาทของรัฐและการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ.”
ในประมวลสาระชุดวิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา.บัณฑิตศึกษา. สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์. มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช.
มสธ มสธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ ม
สธ
มสธ มสธ
4-87แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
อนชุาภรูิพนัธุ์ภญิโญ.(2551).“หนว่ยที่13เศรษฐกจิการเกษตร.”ในประมวลสาระชดุวชิาการเกษตรเพือ่การจดัการ
ทรัพยากร.บัณฑิตศึกษา.สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
(2553). “หน่วยที่2แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจกับการสหกรณ์.”ในเอกสารการสอนชุดวิชาสหกรณ์กับ
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม.สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
(2554).“หน่วยที่12นโยบายราคาของรัฐ.”ใน เอกสารการสอนชุดวิชาเศรษฐศาสตร์เพื่อการบริหารธุรกิจ
สหกรณ์.สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์.มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
CommissionoftheEuropeanCommittee.(1992).TowardSustainability:AEuropeanCommunity
Programme of Policy and Action in Relation to the Environment and Sustainable
Development.Volume1.ProposalforaResolutionoftheCouncilofEuropeanCommunity,
Brusels.
Ekins,P(1994).TheEnvironmentSustainabilityofEconomicsProcesses:AFrameworkforAnalysis.
InternationalSocietyforEcologicalEconomics.IslandPress.
Hirschman,AlbertO. (1958).The Strategy of EconomicDevelopment. NewHaven, CT: Yale
UniversityPress.
Recommended