Upload
nn-ning
View
54
Download
3
Embed Size (px)
Citation preview
บทท่ี 5จลนศาสตรเ์คมแีละ
สมดลุเคมี
5.1 จลนศาสตรเ์คมี• จลนศาสตรเ์คมี คือ สาขาหนึ่งของวชิาเคมทีี่
เก่ียวขอ้งกับความเรว็ หรอือัตราเรว็ท่ีปฏิกิรยิาเคมี เกิดขึ้นคำาวา่ จลน์ บอกถึงการเคล่ือนที่การ เปล่ียนแปลง จลนพลศาสตรห์มายถึง อัตราการ เกิดปฏิกิรยิา ซึ่งหมายถึง การ เปล่ียนแปลงความ
เขม้ขน้ของสารเริม่ต้น หรอืสารผลิตภัณฑ์ ต่อ หน่วยเวลาโดยทัว่ไปเราสามารถแทนปฏิกิรยิาใดๆ
ด้วยสมการทัว่ไปดังนี้ สารต้ังต้น สาร→
ผลิตภัณฑ์
• สมการน้ีจะบอกเราวา่ ในระหวา่งท่ีปฏิกิรยิาดำาเนิน ไปนัน้ สารตัง้ต้น (reactant) จะถกูใชไ้ปในขณะที่
สารผลิตภัณฑ์ (product) จะเกิดขึ้น ซึ่งเราสามารถติดตามการดำาเนินไปของปฏิกิรยิาได้โดยการวดั
การลดลงของสารตัง้ต้น หรอืการเพิม่ขึ้นของความเขม้ขน้ของสารผลิตภัณฑ์เป็นฟงัก์ชนักับ
เวลา• สำาหรบัปฏิกิรยิาที่เกิดขึ้นในสารละลายเรามกัวดัความเขม้ขน้ของสารด้วยวธิกีารทางสเปกโทรสโกปีหากมไีอออนเก่ียวขอ้งการเปล่ียนแปลงความ
เขม้ขน้ สามารถ การวดัการนำาไฟฟา้ ปฏิกิรยิาที่ เก่ียวขอ้งกับแก๊ส สามารถวดัด้วยการวดัความดัน
เป็นตน
• ปฏิกิรยิาเคมี ปฏิกิรยิาเคมนีับ เป็นหวัใจของวชิาเคมกีารศึกษาปฏิกิรยิาเคมทีี่สำาคัญคือการเปล่ียนแปลงพลังงานซึ่งเป็นสมบติัเฉพาะของ
แต่ละสาร และปรากฏออกมาในรูปต่าง ๆ เชน่ ความรอ้น แสง สไีฟฟา้ และพลังงานจลน์เชน่ เมื่อ
ใชถ่้านหงุต้มอาหารถ่านจะทำาปฏิกิรยิากับแก๊ส ออกซเิจนในอากาศใหแ้ก๊ส คารบ์อนไดออกไซด์
พรอ้มกับพลังงานความรอ้น และแสงสวา่งออกมา ดังตัวอยา่ง
C(s)+ O2(g)→ CO2 (g)+ พลังงาน
การเกิดปฏิกิรยิาเคมี• การเกิดปฏิกิรยิาเคมเีป็นกระบวนการที่สารหนึ่งหรอืมากกวา่หนึ่งชนิดเกิดการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบโครงสรา้งแล้วได้สารใหม่
ซึ่งมอีงค์ประกอบโครงสรา้งและสมบติัต่างไปจากสารเดิม หรอื กล่าวสรุปวา่ เป็นกระบวนการที่สารเขา้ไปทำา ปฏิกิรยิากัน แล้วเกิด สารใหมข่ึ้นมา เรยีกการเปล่ียนแปลงทางเคมี ซึ่งเขยีนแทนด้วย
• สมการเคมี (chemical equation) การเกิดปฏิกิรยิาเคมปีระกอบ ด้วยสารตัง้ต้นในการทำา ปฏิกิรยิา เรยีกวา่ตัวทำา ปฏิกิรยิา
(reactant)และสารท่ีเป็นผลของปฏิกิรยิาเรยีกวา่สารผลิตภัณฑ์(product)
• ในการเขยีนสมการเคมจีะเขยีนสารตัง้ต้น ไวท้างซา้ยของลกูศร และเขยีนสารผลิตภัณฑ์ไวท้างขวา
ในการเกิดปฏิกิรยิาเคมบีางครัง้ผลของปฏิกิรยิามี สมบติัต่างไปจากสารเดิมอยา่งชดัเจน แต่บางครัง้ก็
ยากท่ีจะ บอกได้วา่ มสีารใหมเ่กิดขึ้นแล้วต้องทำาการ วเิคราะหท์างเคมหีรอืใชเ้ครื่องมอืตรวจวดั จงึจะบอกได้
วา่ เกิดปฏิกิรยิาเคมกีารเปล่ียนแปลงทางเคมท่ีีมองเหน็ด้วยตาได้อยา่งชดัเจน
สารต้ังต้น สารผลิตภัณฑ์ เชน่→ A + B →C + D A และ B คือสารต้ังต้นหรอืตัวทำาปฎิกิรยิา C และ D คือสารผลิตภัณท์ ท่ีได้จากตัวทำาปฏิกิรยิา
• เมื่อมกีารเปล่ียนแปลงทางเคมรีะบบทัง้หมดยอ่มมกีาร เปล่ียนแปลงทางพลังงานด้วย พลังงานท่ีเก่ียวขอ้ง คือ
พลังงานความรอ้น บางปฏิกิรยิาเมื่อเกิดการเปล่ียนแปลง ขึ้น มคีวามรอ้นจำานวนหนึ่งถกูปล่อยออกมาเมื่อสมัผัส
ระบบจะรูส้กึรอ้น เรยีกปฏิกิรยิาเชน่น้ีวา่ ปฏิกิรยิาแบบคาย ความรอ้น (exothemic reaction)แต่บางปฏิกิรยิาท่ีเกิดขึ้น
แล้วต้องดดูพลังงานจากสิง่แวดล้อมเขา้ไปเมื่อสมัผัส ระบบจะรูส้กึเยน็ เรยีกปฏิกิรยิาเชน่น้ีวา่
• ปฏิกิรยิาดดูกลืนความรอ้น (endothermic reaction) พลังงานความรอ้นท่ีคายออกมาหรอืดดูกลืนเขา้ไปนัน้ เป็น
ผลจากการเปล่ียนแปลง พลังงานภายในของระบบซึ่ง เรยีกวา่ เอนทัลปี(enthalpy)
5.1.1 ทฤษฎีการชน• มสีมมติฐานวา่โมเลกลุของแก๊ส มกีารชนกันเองอยูต่ลอดเวลา จงึ
สามารถตัง้สมมติฐานได้วา่ปฏิกิรยิาเคมนัีน้ เป็นผลมาจากการชนกัน ระหวา่งโมเลกลุของสารตัง้ต้น สว่นทฤษฎีการชนของ จลนศาสตร์
เคมนัีน้อัตราการเกิดปฏิกิรยิาแปรผันโดยตรงกับจำานวนครัง้ของการ ชนของโมเลกลุต่อวนิาทีหรอื ความถ่ีในการชน แต่การชนกันของ
โมเลกลุไมไ่ด้ทำา ใหเ้กิดปฏิกิรยิาทกุครัง้ซึ่งทกุ ๆ โมเลกลุท่ีมกีาร เคล่ือนท่ี จะ มพีลังงานจลน์ยิง่ โมเลกลุเคล่ือนท่ีเรว็เท่าใด ก็จะมี
พลังงานจลน์มากขึ้นเท่านัน้ แต่โมเลกลุท่ีเคล่ือนท่ีเรว็น้ีจะไม่ สามารถ แตกเป็นชิน้เล็กชิน้น้อยได้ด้วยตัวเอง ในการท่ีจะเกิดปฏิกิรยิานัน้
โมเลกลุจะต้องชนกับโมเลกลุอ่ืน และ เมื่อเกิดการชนกัน บางสว่นของพลังงานจลน์ของโมเลกลุจะถกูเปล่ียนไปเป็นพลังงานในการสัน่
• ในการที่ปฏิกิรยิาจะเกิดขึ้นได้นัน้ โมเลกลุท่ีมาชน กันจะต้องมพีลังงานจลน์รวมเท่ากับหรอืมากกวา่
พลังงานก่อกัมมนัต์ (activation energy, Ea) ซึ่ง เป็นพลังงานที่ตำ่า ที่สดุ ที่จะทำา ใหป้ฏิกิรยิาเคมเีกิด
ขึ้นได้เมื่อ• โมเลกลุมกีารชนกัน โมเลกลุจะสรา้งสารประกอบเชงิซอ้นกัมมนัต์(activated complex) หรอืเรยีกวา่
สภาวะแทรนซชินั โดยสารน้ีเป็นสารเชงิซอ้น ชัว่คราวท่ีเกิดจากสารตัง้ต้น ต่าง ๆ มาชนกันก่อน
ท่ีจะเกิดเป็นสารผลิตภัณฑ์เชน่ A +B AB C + D
• เมื่อ AB* คือ สารเชงิซอ้นกัมมนัต์ที่เกิดจากการชน กันของโมเลกลุ A และ B ถ้าสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น
มพีลังงานตำ่ากวา่สารตัง้ต้นปฏิกิรยิาจะเกิดขึ้น พรอ้มกับการคายความรอ้น
จงึเรยีกวา่ ปฏิกิรยิาคายความรอ้น• ในทางตรงกันขา้มถ้าสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมี
พลังงานมากกวา่สารตัง้ต้น ในขณะเกิดปฏิกิรยิาจะ มกีารดดูความรอ้นจากสิง่แวดล้อมเขา้ไปสูป่ฏิกิรยิา
เป็นปฏิกิรยิาดดูความรอ้น
สมการเคมี (Chemical equation )• สมการเคมคืีอสิง่ท่ีใชแ้ทนปฏิกิรยิาเคมซีึ่งบอกใหท้ราบถึงชนิดของตัวทำาปฏิกิรยิาและชนิดของผลของปฏิกิรยิาโดยแสดงในรูปของสตูรเคมสีมการท่ีสมบูรณ์หรอืท่ีดลุแล้วจะมี
จำานวนอะตอมของธาตชุนิดเดียวกัน ก่อนและหลังปฏิกิรยิาเท่ากันอันเป็นไปตามกฎอนุรกัษ์มวล
ตัวอยา่งเชน่ เผาแก๊สมเีทน (CH4) ในบรรยากาศ ของ ออกซเิจน จะใหแ้ก๊สคารบ์อนไดออกไซด์(CO2 )กับนำ้า(H2O)
เขยีนสมการได้ดังน้ี
เมื่อดลุสมการแล้วจะได้ดังน้ี
CH4 + O2 → CO2 + H2O
CH4 +2O2 → CO2+2H2O
สมการรดีอกซห์รอืปฏิกิรยิารดีอกซ์ (Redox reaction)• เป็นปฏิกิรยิาท่ีมกีารเปล่ียนแปลงเลขออกซเิดชนัเน่ืองจากมกีารใหแ้ละ
รบัอิเล็กตรอน ประกอบด้วยปฏิกิรยิายอ่ย 2 ชนิด ซึ่งเกิดขึ้นพรอ้มกันคือออกซเิดชัน่(oxidation) และรดัีกชนั (reduction)
• ออกซเิดชัน่ เป็นปฏิกิรยิาท่ีมกีารเพิม่เลขออกซเิดชัน่ หรอืเป็นปฏิกิรยิาท่ี มกีารใหอิ้เล็กตรอนแก่สารอ่ืน ทำาใหต้นเองมเีลขออกซเิดชัน่เพิม่ขึ้น
• รดัีกชนัเป็นปฏิกิรยิาท่ีมกีารลดเลขออกซเิดชัน่หรอืเป็นปฏิกิรยิาท่ีมกีาร รบัอิเล็กตรอนจากสารอ่ืนทา ใหต้นเองมเีลขออกซเิดชัน่ลดลง
• ตัวออกซไิดส์ (oxidizing agent)คือสารท่ีรบัอิเล็กตรอนไวห้รอืหมายถึง สารท่ีทา ใหเ้กิดปฏิกิรยิารดัีกชนัตัว รดิีวซ์ (reducing agent) คือสารท่ีให้
อิเล็กตรอน หรอืหมายถึงสารท่ีทำาใหเ้กิดปฏิกิรยิาออกซเิดชัน่
5.1.2 อัตราเรว็ของปฏิกิรยิา (Rate of reaction)
• หมายถึง ความเรว็ในหนึ่งหน่วยเวลา อัตราของปฏิกิรยิาจะหมายถึงเวลาในการเกิดปฏิกิรยิาเคมหีรอืการเปล่ียนแปลงทางเคมี
ดำาเนินไปโดยเก่ียวขอ้งกับเวลา ปฏิกิรยิาเคมบีางชนิดเกิดเรว็ มาก เชน่ ปฏิกิรยิาการระเบดิ ของทีเอ็นที (TNT) ปฏิกิรยิาระหวา่
ง AgNO3 (aq) กับ NaCl(aq) จะได้ตะกอนของ AgCl(s) ทันที• แต่ปฏิกิรยิาบางชนิดเกิดชา้มากใชเ้วลาเป็นวนับางทีแทบมองไม่
เหน็การเปล่ียนแปลง เชน่ เหล็กเป็นสนิม แต่บางปฏิกิรยิาก็เกิด ไมเ่รว็หรอืชา้เกินไป พอจะวดัความเรว็ของการเกิดได้ในหอ้ง
ปฏิบติัการ อัตราของปฏิกิรยิาวดักันเป็นจำานวนโมลของตัวทำาปฏิกิรยิาท่ีหมดไปต่อหน่วยเวลาหรอืจำานวนโมลของผลปฏิกิรยิา
ท่ีเกิดขึ้นต่อหน่วยเวลา โดยมากวดัเป็นความเขม้ขน้ของสาร ความเขม้ขน้มหีน่วยเป็นโมลต่อลิตร ร (mol/dm 3 )
กราฟการเกิดปฎิกิรยิา
ปัจจยัท่ีมผีลต่ออัตราเรว็ของปฏิกิรยิา
• 1. ชนิดของตัวทำาปฏิกิรยิา• 2. ความเขม้ขน้ของตัวทำาปฏิกิรยิา ปฏิกิรยิาจะเกิดเรว็ขึ้นถ้าเพิม่
ความเขม้ขน้ของตัวทำาปฏิกิรยิาตามทฤษฎีการชน เชื่อวา่ปฏิกิรยิาเกิดขึ้นได้เมื่ออนุภาคของตัวทำาปฏิกิรยิาเขา้มาชนกันเมื่อชนกันแล้วถ้ามพีลังงานมากพอก็จะมกีารจดัอะตอมกันใหม่
มกีาร สลายพนัธะเดิมและมกีารสรา้งพนัธะใหมเ่กิดขึ้นมา• 3. อุณหภมูิ การเพิม่อุณหภมูทิำา ใหป้ฏิกิรยิาเกิดเรว็ขึ้น
อุณหภมูยิิง่สงูปฏิกิรยิายิง่เกิดเรว็ขึ้นในทางตรงกันขา้ม ถ้าอุณหภมูลิดลงอัตราการเกิดปฏิกิรยิาจะชา้ลง
• 4. ตัวเรง่ปฏิกิรยิา ตัวเรง่ปฏิกิรยิา คือสารท่ีเพิม่อัตราการเกิด ปฏิกิรยิาใหเ้รว็ขึ้น โดยท่ีสารนัน้ ไมเ่กิดการเปล่ียนแปลงทาง
เคมแีละทางปรมิาณ แต่สภาพทางกายภาพอาจเปล่ียนแปลงได้
5.2 สมดลุเคมี
• สมดลุเป็นภาวะที่ไมส่ามารถสงัเกตเหน็การ เปล่ียนแปลงใด ๆ ได้เมื่อปฏิกิรยิาเคมอียูใ่นสภาวะ
ท่ีสมดลุหมายถึงความเขม้ขน้ ของสารตัง้ต้น และสารผลิตภัณฑ์มค่ีาคงท่ีและไมม่กีารเปล่ียนแปลง
ความเขม้ขน้ของสารใดๆ ในระบบ อยา่งไรก็ตามการเปล่ียนแปลงในระดับโมเลกลุยงัเกิดอยา่งต่อเนื่องตลอดเวลาเนื่องจากสารตัง้ต้นต้องการ
เปล่ียนเป็นสารผลิตภัณฑ์เชน่เดียวกัน โมเลกลุของสารผลิตภัณฑ์ก็ต้องการเปล่ียนเป็นสารตัง้
ต้นการเปล่ียนแปลงที่เกิดแบบต่อเน่ืองนี้เรยีกวา่สภาวะไดนามกิส์
5.2.2 ค่าคงท่ีของสมดลุ (equilibrium constant)
• ค่าคงท่ีสมดลุ(K)คืออัตราสว่นระหวา่งผลคณูของความเขม้ขน้ของสารผลิตภัณฑ์ยกกำาลังด้วยจำานวนโมลของสารผลิตภัณฑ์กับผลคณูของความเขม้
ขน้ของสารตัง้ต้นยกกำาลังด้วยจำานวนโมล ซึ่งจำา นวนโมลของ สารผลิตภัณฑ์ละจำานวนโมลของสาร
ตัง้ต้น ต้องได้จากสมการท่ีดลุแล้วเท่านัน้ เชน่ aA + bB cC + dD⇌
ความสมัพนัธข์องค่าคงท่ี1. ค่า K ขึ้นอยูกั่บอุณหภมูิ2. ค่า K ขึ้นอยูกั่บสมการคือถ้านำาสมการ ตัวเลขใดคณูสมการ
เดิม ค่า K ของสมการใหมจ่ะเท่ากับค่า K ของสมการเดิมยกกำาลังด้วยเลขนัน้3. ถ้าเขยีนสมการกลับกันค่า K ของสมการใหมจ่ะเป็นสว่นกลับ
ของค่า K ของสมการเดิม4. ถ้าปฏิกิรยิาเกิดหลายขัน้ตอน ค่า K ของปฏิกิรยิารวมจะ
เท่ากับผลคณูของค่า K ของปฏิกิรยิายอ่ย ปฏิกิรยิารวม = ปฏิกิรยิาขัน้ท่ี1 + ปฏิกิรยิาขัน้ท่ี2
เราสามารถทราบวา่ปฏิกิรยิาหนึ่งๆ นัน้ มผีลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมากน้อยเพยีงใดโดยดจูากค่าคงที่สมดลุคือ• 1. ถ้าค่า K >1 ปฏิกิรยิานัน้จะเกิดไปขา้งหนาได้ดีมีสารผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นมากและเหลือสารตัง้ต้นน้อย
• 2. ถ้าค่า K <1 ปฏิกิรยิานัน้จะเกิดยอ้นกลับได้ดี ทำาใหม้สีารผลิตภัณฑ์เกิดขึ้นน้อย สารตัง้ต้น เหลือ
มาก
5.2.3 หลักของเลอชาเตอลิเอร์• เลอชาเตอลิเอรน์ักวทิยาศาสตรช์าวฝรัง่เศสได้ศึกษาเก่ียวกับการเปล่ียนภาวะสมดลุของปฏิกิรยิา
และได้สรุปเป็นหลักการวา่• “เมื่อระบบที่อยูใ่นสภาวะสมดลุถกูรบกวนโดยการเปล่ียนแปลงของปัจจยัที่มผีลต่อภาวะสมดลุของ
ระบบ ระบบพยายามปรบัตัวไปในทางทิศที่จะลดผลของการรบกวนหรอืปรบัตัวไปในทิศทางตรงกัน
”ขา้มเพื่อใหร้ะบบเขา้ภาวะสมดลุอีกครัง้หนึ่ง