1

แบบฝึกชุดที่ 1

แนวปฏิบัติ: 1) ศึกษาตัวอย่างข้อสอบที่ให้ไว้แต่ละข้อให้ละเอียดทั้งการใช้ศัพท์ส านวนที่ใช้ในสถานการณ์ ข้อค าถามและเฉลยค าตอบ 2) ศึกษาข้อความรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษที่จ าเป็นเพื่อใช้ตอบค าถามให้ถูกต้อง

3) ฝึกท าข้อสอบ 2 ข้อที่ให้ไว้ส่วนท้ายหลังจากได้ศึกษาตัวอย่างข้อสอบและข้อความรู้แล้ว

ข้อ 1. Which pair of words has the different vowel sound?

1. wet – vet 2. cake – take 3. king – kind 4. wish – wing *เฉลย ข้อ 3. king – kind เหตุผล: จากที่โจทย์ถามว่าค าศัพท์คู่ใดต่อไปนี้ที่มีเสียงสระที่ต่างกัน ดังนั้นค าตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ 3. king – kind เนื่องจากเสียงของ “i” ในค าว่า king นั้น ออกเสียง “อิ” /ɪ/ แต่ “i” ในค าว่า kind นั้น ออกเสียง “อาย” /aɪ / ข้อ 1. wet – vet เสียงของ “e” ของทั้ง 2 ค านั้นออกเสียง “เอะ” /e/ ข้อ 2. cake – take เสียงของ “a” ของทั้ง 2 ค านั้นออกเสียง “เอ” /eɪ/ ข้อ 4. wish – wing เสียงของ “i” ของทั้ง 2 ค าออกเสียงว่า “อิ” /ɪ/ เสียงพ้ืนฐานของตัวอักษรที่เป็นเสียงสระ a, e, i, o, และ u นั้นมีดังต่อไปนี้

อักษรสระ เสียง เทียบเสียงไทย ตัวอย่างค า a /ɶ/ (แอ) can, bat, gas, sat e /e/ (เอะ) pen, net, ten, mess i /ɪ/ (อิ) pin, kiss, big, lip o /ɑ:/ (ออ) hot, pot, lot, knot u /ʌ/ (อะ) cut, mud, sun, hug

ตัวอย่างเสียง “อาย” /aɪ/ ของตัวอักษร “i” มีดังต่อไปนี้ • ลงท้ายด้วย –nd bind, find, hind, blind, kind, mind, rind, wind (verb), etc. • ลงท้ายด้วยตัวอักษรและแล้วตามด้วยตัว “e” เช่น

dine, fine, line, mine, nine, pine, sine, vine, wine, bile, file, line, mile, pile, rile, tile, vile, dime, lime, mime, time, dice, mice, lice, nice, vice, size, kite, bite, lite, white, pipe, glide, hide, hive, knife, etc.

2

1.1. Which pair has the different vowel sound?

1. fair – pair 2. nail – sail 3. wear – hear 4. park – bark

1.2. Which pair has the same vowel sound? 1. happy – baby 2. bird – first 3. team – learn 4. hear – bear

ข้อ 2. Which word starts with the same sound as "useful"?

1. unit 2. ugly 3. uncle 4. upset *เฉลย ข้อ 1. unit เหตุผล: เพราะ u ที่เป็นตัวอักษรตัวแรกของค าว่า useful และค าว่า unit นั้นออกเสียง /ju:/ (จูวฺ) ข้อที่ 2. ugly ตัวอักษร u ในค านี้ออกเสียง /ᴧ/ (อะ) ข้อที่ 3. uncle ตัวอักษร u ในค านี้ออกเสียง /ᴧ/ (อะ) ข้อที่ 4. upset ตัวอักษร u ในค านี้ออกเสียง /ᴧ/ (อะ)

ตัวอย่างเสียงของตัวอักษร u ที่ออกเป็นเสียง /ᴧ/ (อะ) เช่น ugly, uncle, upset, untidy, us, under, ultra, umbrella, unable, upon, utter, etc.

ตัวอย่างเสียงของตัวอักษร u ที่ออกเป็นเสียง /ju:/ (จูวฺ) เช่น useful, uniform, university, unicorn, unite, unicycle, etc.

*กลุ่มค าศัพท์เพิ่มเติม ค าศัพท์ท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน ค าศัพท์ท่ีมีความหมายตรงกันข้าม

start begin, initial, first, etc. end, final, last, etc. same similar, close, alike, equal to, etc. different, another, contrast, other, etc.

2.1. Which word begins with the same sound as “canteen”?

1. city 2. child 3. carry 4. cheap

2.2. Which word has the same sound as “hungry”? 1. hour 2. honor 3. hurry 4. honest

3

ข้อ 3. Look at the picture. Where are they? 1. In the store. 2. In the studio. 3. In the garage. 4. In the museum.

*เฉลย ข้อ 1. In the store. เหตุผล: ในร้านค้า เพราะจากโจทย์ถามว่า Where are they? Where เป็น wh-question แปลว่า ที่ไหน ซึ่งสถานที่ในรูปคือร้านค้า ข้อ 2. In the studio. ในสตูดิโอ ข้อ 3. In the garage. ในโรงรถ ข้อ 4. In the museum. ในพิพิธภัณฑ์

Wh-questions คือ ค าที่ใช้แสดงค าถาม ที่ต้องการให้ผู้ตอบ บอกข้อมูล เรื่องราว ที่ผู้ถามต้องการทราบ ค าถามประเภทนี้เราเรียกว่า Information Questions ส่วนมากจะข้ึนต้นด้วย “ Wh ”.....

Who ใคร (subject) Whom ใคร (object) Whose ของใคร What อะไร How อย่างไร

Why ท าไม Where ที่ไหน Which สิ่งไหน / อันไหน When เมื่อไร

*ค าศัพท์เพิ่มเติม school โรงเรียน police station สถานีต ารวจ restaurant ร้านอาหาร airport สนามบิน hospital โรงพยาบาล post office ไปรษณีย์ cinema โรงภาพยนตร์ park สวนสาธารณะ

3.1. Look at the picture. Where does she work? 1. At the school. 2. At the hospital. 3. At the post office. 4. At the police station.

3.2. He is a doctor. He works in___________. 1. a school. 2. a market. 3. a hospital. 4. a post office.

4

ข้อ 4. Look at the picture. What do you say to her? 1. "I want to pull your tooth out." 2. "Why did you clean your teeth?" 3. "Can I buy you some toothpaste?" 4. "You should go to see the dentist." *เฉลย ข้อ 4. "You should go to see the dentist." เหตุผล: จากภาพที่โจทย์ก าหนดให้นั้นแสดงให้เห็นถึงอาการปวดฟัน (toothache) และโจทย์ต้องการทราบค าแนะน าที่เราจะใช้แนะน าบุคคลในภาพในการแก้ปัญหานี้สังเกตจากประโยคค าถามที่ว่า What do you say to her? ซึ่งผู้ที่จะสามารถรักษาได้ก็คือ the dentist เพราะเป็นข้อแนะน าที่เหมาะสมที่สุด ข้อ 1. ผิดเพราะ "I want to pull your tooth out." เป็นการแสดงถึงความต้องการของของตัวเราเองไม่ใช่การให้ค าแนะน าซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกวิธี ข้อ 2. ผิดเพราะ "Why did you clean your teeth?" เป็นค าถามที่ต้องการทราบเหตุผลซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับค าถามท่ีโจทย์ก าหนด ข้อ 3. ผิดเพราะ "Can I buy you some toothpaste?" เป็นประโยคค าถามที่ต้องการค าตอบใช่ หรือ ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นการให้ค าแนะน า

อาการเจ็บป่วยอื่นๆ

headache (n) อาการปวดหัว toothache (n) อาการปวดฟัน backache (n) อาการปวดหลัง stomachache (n) อาการปวดท้อง sore throat (n) อาการเจ็บคอ ill (adj) ป่วย sick (adj) ป่วย cold (n) เป็นไข้ flu (n) เป็นไข้ You have a temperature. เธอตัวร้อนน่ะ sneeze (n) อาการจาม cough (n) อาการไอ a runny nose (n) อาการน้ ามูกไหล dizzy (adj) อาการมึนหัว

การให้ค าแนะน าอ่ืนๆ You should take some medicine. เธอควรจะทานยาน่ะ You should take a rest. เธอควรจะพักผ่อนน่ะ You should go to see the doctor. เธอควรจะหาหมอน่ะ You should drink a lot of water. เธอควรดื่มน้ ามากๆ You should go to see the dentist. เธอควรไปหาหมอฟัน You should have enough sleep. เธอควรนอนหลับให้เพียงพอ You should eat healthy food. เธอควรกินอาหารที่มีประโยชน์

4.1. Look at the picture. What should she do? 1. She should go swimming. 2. She should go to see a doctor. 3. She should go to see a dentist. 4. She should have some ice–cream.

4.2. If you are sick, you must go to see _____________

1. a doctor 2. a farmer 3. an engineer 4. a hairdresser

5

ข้อ 5. You want someone to take a photo for you. What would you say to him? 1. Can I take a photo? 2. May I take a photo of you? 3. Do you want to take a photo? 4. Could you take a photo of me? *เฉลย ข้อที่ 4. Could you take a photo of me? เหตุผล: จากโจทย์ที่ก าหนดให้นั้นเป็นการขอร้อง (request) ให้บุคคลอ่ืนท าบางสิ่งบางอย่างให้กับเราซึ่งมักจะขึ้นต้นประโยคด้วยค าว่า Can หรือ Could แต่ในข้อนี้ควรใช้ค าว่า Could เพราะเป็นค าพูดที่สุภาพกว่า ข้อ 1. ผิดเพราะ Can I take a photo? “ฉันขอถ่ายรูปได้ไหม” เป็นการขออนุญาตให้ตัวเองถ่ายรูปของบุคคลอ่ืนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ข้อ 2. ผิดเพราะ May I take a photo of you? “ฉันขออนุญาตถ่ายรูปคุณได้หรือไม่” เป็นค าถามที่ต้องการขออนุญาตให้ตนเองเพ่ือถ่ายภาพของผู้อื่นซ่ึงไม่ใช่การขอร้องให้บุคคลอ่ืนมาถ่ายภาพให้เรา ข้อ 3. ผิดเพราะ Do you want to take a photo? เป็นประโยคค าถามความต้องการของผู้อ่ืนว่า “ต้องการที่จะถ่ายภาพหรือไม”่

ตัวอย่างประโยคทีข่ึ้นต้นด้วย Could ที่ใช้ในการร้องขอ คุณจะช่วยฉันย้ายหนังสือพวกนี้หน่อยได้ไหม - Could you help me move these books? ฉันขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณหน่อยได้ไหม - Could I use your computer?

ฉันขอทราบชื่อคุณหน่อยได้ไหม - Could I have your name?

*ตัวอย่างด้านบนเป็นการร้องขอความช่วยเหลือไม่ใช่การถาม ดังนั้นในการตอบเราสามารถใช้ส านวนต่อไปนี้ได้

การตอบรับ การตอบปฏิเสธ yes. /sure./of course./no problem/ certainly, etc. I’m sorry. / I’m afraid…., etc.

5.1. Situation: You want to go to the toilet while your teacher is teaching.

You: May I ___________ Teacher: Yes, you may.

1. help you? 2. have a seat? 3. go out, please? 4. come in, please?

5.2. Situation: The teacher is asking Suporn to open the window.

Teacher: Please open the window. Suporn: __________________

1. Please do. 2. No, I don’t. 3. Yes, of course. 4. Yes, go ahead.

6

ข้อ 6. Mana is riding a motorcycle. At the bridge over the intersection, he sees this sign. What should he do?

1. He should go on the bridge. 2. He should take the right turn. 3. He should not take the left turn. 4. He should not go on the bridge. *เฉลย ข้อ 4. He should not go on the bridge. เหตุผล: จากโจทย์ระบุว่า มานะก าลังขับรถจักรยานยนต์ และได้มีป้ายสัญลักษณ์ห้ามรถจักรยานยนต์ขึ้นสะพานตรงทางแยก ฉะนั้น เมื่อมานะเห็นป้ายดังกล่าวแล้วควรท าอย่างไร ซึ่ง ข้อ 3 บอกว่า “ห้ามรถจักรยานยนต์ผ่าน” ข้อ 1. He should go on the bridge. ผิดเพราะ จากประโยคบอกให้ข้ามสะพานได้ ข้อ 2. He should take the right turn. ผิดเพราะ จากประโยคบอกให้เลี้ยวขวา ข้อ 3. He should not take the left turn. ผิดเพราะ จากประโยคบอกห้ามเลี้ยวซ้าย

*ตัวอย่างป้ายค าเตือนประเภทอ่ืนๆ

Meaning (ความหมาย) - “First Aid” จุดปฐมพยาบาล *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. Equipment for medical treatment is available. 2. You could have medical treatment here.

ที่มา www.clipartbest.com

Meaning (ความหมาย) - “Do not enter” ห้ามเข้า *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง)

1. 1. You can’t get inside the place. 2. You can’t come in.

ที่มา www.clker.com 3. You are not allowed to come inside.

Meaning (ความหมาย) - “Slippery Floor” ระวังพ้ืนลื่น *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. The floor is slippery. 2. The floor is wet.

ที่มา www.lyfechanger.blogspot.com 3. You should walk carefully.

Meaning (ความหมาย) - “People Crossing” ระวังคนข้ามถนน *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. People cross the street here. 2. You should be careful of people crossing the street.

ที่มา findingthesound.com 3. There are people crossing the street here.

7

Meaning (ความหมาย) - “No Parking” ห้ามจอดบริเวณนี้ *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You cannot park here.

ที่มา www.imgarcade.com 2. You are not allowed to park in this area.

Meaning (ความหมาย) - “High Voltage” ไฟฟ้าแรงสูง *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. This area is dangerous.

ที่มา www.ftextures.com 2. Elctrical area, do not enter!

Meaning (ความหมาย) - “Fire Exit” ทางหนีไฟ *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. Use this exit in case of fire.

ที่มา www.connectelec.net.au 2. You can use this door in case of fire.

Meaning (ความหมาย) - “Do not litter” ห้ามทิ้งขยะลงบนพื้น *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. Do not drop garbage on the floor.

ที่มา www.clipartbest.com 2. Drop your garbage in the bin.

Meaning (ความหมาย) - “Wi-Fi” มีสัญญานอินเทอร์เน็ตที่นี่ *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. Wi-fi is available here.

ที่มา www.romania-insider.com 2. You can access wi-fi here.

Meaning (ความหมาย) - “No Pets Allowed ” ห้ามน าสัตว์เลี้ยงเข้ามา *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You cannot bring your pets inside.

2. Pets must be kept outside. ที่มา www.theground-up.com 3. Pets are not allowed in the place.

6.1. What is the meaning of this sign? 1. You cannot litter. 2. You cannot park here. 3. You cannot pass this area. 4. You cannot smoke in this area.

6.2. What does the sign mean? 1. No entry. 2. No U-turn. 3. No parking. 4. No smoking.

8

ข้อ 7. There is a fire while you are watching a film in a cinema. Which sign should you follow?

1. 2. 3. 4.

*เฉลย ข้อ 2. เหตุผล: จากโจทย์บอกว่า ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ขณะชมภาพยนตร์ที่โรงหนัง

แล้วเราควรปฏิบัติตามป้ายสัญลักษณ์ในข้อใด ซึ่งข้อ 2 . ป้าย สัญลักษณ์ หมายถึง ทางออก

ข้อ 1. ผิดเพราะ จากป้ายสัญลักษณ์ หมายถึง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ข้อ 3. ผิดเพราะ จากป้ายสัญลักษณ์ หมายถึง ห้ามเข้า ข้อ 4. ผิดเพราะ จากป้ายสัญลักษณ์ หมายถึง ต้องการความช่วยเหลือ

*ตัวอย่างป้ายสัญลักษณ์ที่มักพบได้บ่อย

7.1. When you see the sign, what should you do? 1. Do not turn left. 2. Turn left. 3. Turn right. 4. Do not turn right.

7.2. At a gas station, you 1. must not use your mobile phone. 2. must bring your mobile phone inside. 3. must leave your mobile phone outside. 4. must not keep your mobile phone ringing.

9

ข้อ 8. Sue is going to walk in the park. What should Sue do when she sees this sign?

1. She should step into the grass. 2. She should jump onto the grass. 3. She should not walk on the grass. 4. She should not run out of the grass. *เฉลย ข้อ 3. She should not walk on the grass. เหตุผล: จากโจทย์บอกว่า ซู ก าลังไปเดินเล่นที่สวน-สาธารณะ และควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเห็นป้ายบอกว่า โปรดอย่าเดินลัดสนามหญ้า ซึ่งข้อ 3 ตรงตามที่โจทย์ต้องการ ข้อ 1. She should step into the grass. หมายถึง เดินเหยียบบนสนามหญ้าได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับป้ายสัญลักษณ์ที่ก าหนดไว้ ข้อ 2. She should jump onto the grass. หมายถึง กระโดดบนสนามหญ้าได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับป้ายสัญลักษณ์ท่ีก าหนดไว้ ข้อ 4. She should not run out of the grass. หมายถึง ห้ามวิ่งออกนอกสนามหญ้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับป้ายสัญลักษณ์ที่ก าหนดไว้

ตัวอย่างป้ายสัญลักษณ์ประเภทอ่ืนๆ

Meaning (ความหมาย) - “ส าหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. Only the authority can enter.

2. You can’t enter if you are not one of the authority. ที่มา www.directiondesign.com.au

Meaning (ความหมาย) - “ระวังสุนัขด”ุ *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. There are fierce dogs around the area.

2. Be careful of fierce dogs here. ที่มา www.mysecuritysign.com

Meaning (ความหมาย) - “อย่าให้อาหารสัตว์ป่า” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You should not feed the wild animals here.

2. You should never feed animals in the area. ที่มา www.signwithanattitude.com

Meaning (ความหมาย) - “ห้ามจับหรือสัมผัส” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You can’t touch the objects.

2. You must not touch the objects. ที่มา www.theresilentfamily.com

10

Meaning (ความหมาย) - “ห้ามจับหรือสัมผัส” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You can’t touch the objects.

2. You must not touch the objects. ที่มา www.pixgood.com 3. You have to keep your hands off the objects.

Meaning (ความหมาย) - “กรุณาชิดขวา” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You must walk / run / drive on the right.

ที่มา www.myparkingsign.com

Meaning (ความหมาย) - “ระวัง ห้ามวิ่ง” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You should never run here.

2. Running here is prohibited. ที่มา www.mysafetysign.com 3. You should walk here.

Meaning (ความหมาย) - “น้ าดื่มไม่ได้” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. The water here is not safe to drink.

2. You can’t drink the water from here. ที่มา www.directionalsign.com.au

Meaning (ความหมาย) - “ห้ามถ่ายภาพ” *Related suggestions and key words (ค าศัพท์ท่ีเกี่ยวข้อง) 1. You can’t take photos of the objects here.

2. The photography of the objects is not allowed. ที่มา www.theresilentfamily.com

8.1. When you see this sign at a museum, you

1. can sell any food in the area. 2. cannot buy any food in this area. 3. must take your food into the area. 4. must not take food inside the area.

8.2. What can you do when you see this sign? 1. You can post a letter. 2. You can take a photo. 3. You can make a copy. 4. You can borrow a book.

11

ข้อ 9. Daisy and Megan are making pumpkin ghost masks. They are celebrating the festival. What festival are they celebrating?

1. Easter 2. Christmas 3. Halloween 4. Thanksgiving

ที่มา www.leefendallhouse.com *เฉลย ข้อ 3. Halloween เหตุผล: จากค าถามของโจทย์ที่ต้องการทราบว่าเทศกาล (festival) ที่มีความหมายตรงกับภาพที่ให้มานั้นตรงกับเทศกาลอะไร โดยได้ให้ค าอธิบายเพ่ิมเติมว่า “Daisy และ Megan ก าลังตกแต่งฟักทองให้เป็นเหมือนหน้ากากผี โดยพวกเขาทั้ง 2 คนก าลังฉลองเทศกาลๆ หนึ่งอยู่” เมื่อพิจารณาค าส าคัญ (keyword) คือ pumpkins (ฟักทอง) และ ghost masks (หน้ากากผี) พร้อมกับภาพที่ก าหนดให้มานั้นจึงสามารถตอบได้ว่าเทศกาลนั้น คือเทศกาล Halloween ข้อ 1. Easter วันอีสเตอร์ ข้อ 2. Christmas วันคริสต์มาส ข้อ 4. Thanksgiving วันขอบคุณพระเจ้า

*ตัวอย่างวันส าคัญต่างๆ ของเจ้าของภาษาและสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์หรือมีความสัมพันธ์กันกับวันต่างๆ เหล่านั้นมีดังต่อไปนี้

วัน Easter Easter eggs (ไข่อีสเตอร์เป็นขนมช็อคโกแลต)

วัน Christmas card (บัตรอวยพร) Christmas trees (ต้นคริสต์มาส) Santa Clause, reindeer, sleigh, jingle bells

วัน Halloween pumpkins (ฟักทอง) ghost costumes (ชุดแต่งกายเป็นผี) witches (แม่มด) วัน Thanksgiving turkey (ไก่งวง (อาหาร) ) วัน Valentine’s Day rose (ดอกกุหลาบ) chocolate (ช็อคโกแลต) วันเกิด Birthday cake (ขนมเค้ก) gift (ของขวัญ) present (ของขวัญ) วัน Mother’s Day card (บัตรอวยพร) gift (ของขวัญ) present (ของขวัญ) วัน Father’s Day card (บัตรอวยพร) gift (ของขวัญ) present (ของขวัญ) วัน New Year’s Day card (บัตรอวยพร) gift (ของขวัญ) present (ของขวัญ)

9.1. What is related to Valentine’s Day? 1. Lily 2. Roses 3. Lotus 4. Jasmine

9.2 Look at the picture and read the sentences below. “Emma likes this festival very much. She always receives gifts from her parents.” What festival does Emma like?

1. Christmas 2. Halloween 3. Thanksgiving 4. Valentine’s Day

12

ข้อ 10. In an aquarium, there are 60 fish, 40 crabs, 30 shrimps and 50 squids. Which graph is correct?

1. 2.

3. 4.

*เฉลย ข้อ 3. เหตุผล: จากโจทย์บอกว่า ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ าแห่งนี้ มีปลา อยู่ 60 ตัว มีปูอยู่ 40 ตัว มีกุ้งอยู่ 30 ตัวและมีปลาหมึกอยู่ 50 ตัว อยากทราบว่ากราฟในข้อถูกต้อง ซึ่งข้อ 3 เขียนกราฟได้ถูกต้องตามข้อมูลที่ก าหนดให้ ข้อ 1. ผิดเพราะจากกราฟ เขียนข้อมูลผิด คือ ปลามี 30 ตัว ปูมี 50 ตัว กุ้งมี 60 และปลาหมึกมี 40 ตัว ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่โจทย์ได้ก าหนดมา ข้อ 2 . ผิดเพราะจากกราฟ เขียนข้อมูลผิด คือ ปลามี 40 ตัว ปูมี 30 ตัว กุ้งมี 50 และปลาหมึกมี 60 ตัว ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่โจทย์ได้ก าหนดมา ข้อ 4. ผิดเพราะจากกราฟ เขียนข้อมูลผิด คือ ปลามี 50 ตัว ปูมี 60 ตัว กุ้งมี 40 และปลาหมึกมี 30 ตัว ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่โจทย์ได้ก าหนดมา

ส าหรับการตอบค าถามประเภทแผนภูมิต่างๆ นั้น อุปสรรคที่ส าคัญที่สุดแก่ตัวนักเรียน คือการบอกจ านวนต่างๆ ซึ่งนักเรียนมักจะเกิดความสับสนกับเลขจ านวนนับต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษจึงท าให้นักเรียนไม่สามารถตอบค าถามได้ ดังนั้นหากนักเรียนมีพ้ืนฐานค าศัพท์และรู้เทคนิควิธีการจ าค าศัพท์จ านวนนับต่างๆ ที่ดีแล้วนั้นก็จะสามารถช่วยให้นักเรียนตอบค าถามได้อย่างถูกต้อง *เทคนิคการจ าค าศัพท์จ านวนนับเป็นภาษาอังกฤษ (จ านวน 1 – 1000)

1 one 11 eleven 100 one hundred 2 two 12 twelve 1000 one thousand 3 three 13 thirteen 30 thirty 4 four 14 fourteen 40 forty 5 five 15 fifteen 50 fifty 6 six 16 sixteen 60 sixty 7 seven 17 seventeen 70 seventy 8 eight 18 eighteen 80 eighty 9 nine 19 nineteen 90 ninety 10 ten 20 twenty

13

*ข้อสังเกต

นักเรียนจะสังเกตได้ว่าตั้งแต่เลข 13 – 19 นั้น จะลงท้ายด้วยค าว่า –teen

นักเรียนจะสังเกตได้ว่าตั้งแต่เลข 20 – 90 นั้น จะลงท้ายด้วยค าว่า –ty

*ค าศัพท์และประโยคที่มักพบในการอ่านแผนภูมิ – most (มากที่สุด หรือ ส่วนใหญ่) 1. “Most students like to play football” นักเรียนส่วนใหญ่ชอบเล่นฟุตบอล

2. “Most students watch TV before dinner.” นักเรียนส่วนมากดูทีวีก่อนทานอาหารเย็น 3. “The students like weekends most.” นักเรียนหลายคนชอบวันหยุดสุดสัปดาห์มากที่สุด

10.1. How many students like golf and swimming?

1. Ten percent. 2. Fifteen percent. 3. Twenty percent. 4. Thirty percent.

Look at the graph below and answer the question. 10.2. How many students in Prathom 4-6 like football?

1. 36 students. 2. 40 students. The Sport Chart of Songserm Wittaya’s School 3. 43 students. 4. 52 students.

14

ข้อ 11. Read the given poster and answer the question. On what date is “Big Cleaning Day”? 1. Twenty-three of January, twenty sixteen. 2. January the twenty-third, two zero one six. 3. January twenty-three, two hundred sixteen. 4. The twenty-third of January, two thousand sixteen. *เฉลย ข้อ 4. The twenty-third of January, two thousand sixteen เหตุผล: เพราะการเขียน วันที่ต้องใช้เลขท่ีบอกล าดับ (Ordinal Numbers) เช่น ล าดับ ที่ 1, ล าดับที่ 2,… ซ่ึงต่างจากจ านวนนบั (Cardinal Numbers) เลขล าดับเราจะเติม -th ต่อท้ายตัวเลข แต่ส าหรับบางตัวจะมีการเปลี่ยน รูปก่อนเติม -th เช่น five เป็น fifth โดยเปลี่ยน ve เป็น f หรือ twenty เป็น twentieth, thirty เป็น thirtieth จะเปลี่ยน y เป็น ie แล้วเติม -th และส าหรับล าดับที่ 1 ล าดับที่ 2 และล าดับที่ 3 เราจะไม่ใช้ oneth, twoth หรือ threeth ตัวเลข 3 ล าดบันี้เป็นกรณีพิเศษ เมื่อเป็นเลขล าดับจะเปลี่ยนรูปเป็น first, second และ third ข้อ 1. Twenty-three of January, twenty sixteen. ไม่ถูกต้องเพราะใช้ค าว่า twenty-three และ twenty sixteen ข้อที่ 2. January the twenty-third, two zero one six. ไม่ถูกต้องเพราะใช้ two zero one six ข้อที่ 3. January twenty-three, two hundred sixteen ไม่ถูกต้องเพราะใช้ twenty-three และ two hundred sixteen

ตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างเลขที่บอกล าดับและเลขท่ีเป็นจ านวนนับ Cardinal Numbers Ordinal Numbers one first two second three third four fourth five fifth six sixth twenty twentieth twenty-one twenty-first

เวลาเขียนวันที่ จะเขียนได้สองแบบคือ American English จะเขียน เดือน / วัน / ปี แต่ British English จะเขียนเป็น วัน / เดือน / ปี เช่น May 31th 2014 (American English) ส่วน 31th May 2014 (British English)

15

วิธีการอ่านวันที่ เราจะอ่านแบบล าดับที่ และต้องมี the น าหน้าเสมอ วันที่อ่านได้สองแบบคือ อาจจะเอาเดือนขึ้นก่อน หรือวันที่ขึ้นก่อนก็ได้ เช่น 1st June 2014 อ่านว่า The first of June two thousand fourteen หรือ June 1st 2014 อ่านว่า June the first two thousand fourteen ถ้าเอาวันที่ขึ้นก่อนต้องมี of แต่ถ้าเ อ า เ ดื อ น ขึ้ น ก่ อ น ไ ม่ ต้ อ ง มี of วิ ธี ก า ร อ่ า น ปี ค .ศ . ใ ห้ เ ร า แ ย ก ที ล ะ ส อ ง ตั ว เ ช่ น 1987 อ่านว่า nineteen eighty-seven แต่ถ้ามี 0 คั่น ให้อ่านว่า โอ เช่น 1905 อ่านว่า nineteen oh five แต่ถ้าปี 2000 ขึ้นไป ให้อ่านว่า two thousand แล้วตามด้วยเลขข้างหลัง เช่น 2006 อ่านว่า two thousand six

11.1. How do you write the following date?

“October the second, two thousand eleven”

1. October 2nd, 2011 2. October 2rd, 2011 3. October 2st, 2011 4. October 2th, 2011

11.2. How do you read the following date?

“April 15th, 2012” 1. April fifteen, twenty-twelve 2. April fifteenth, twenty-twelve 3. April the fifteen, two thousand twelve 4. April the fifteenth, two thousand twelve

ข้อ 12. Situation: In the classroom.

Teacher: It is raining. Could you close the windows please? Suni: _________________________________________ Teacher: Thank you, Suni. You’re a nice student. 1. No, never. 2. Yes, not now. 3. No, thank you. 4. Yes, of course. *เฉลย ข้อ 4. Yes, of course. เหตุผล: จากโจทย์ที่ได้ก าหนดสถานการณ์ที่กล่าวให้เห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้ สอดคล้องกับการใช้ประโยคในการร้องขอความช่วยเหลือตามมา และการตอบรับว่าจะให้การช่วยเหลืออย่างแน่นอนด้วยความเต็มใจและเป็นการพูดโดยการใช้ภาษาที่สุภาพเหมาะสม คือค าว่า Yes, of course หรือ Certainly. ข้อ 1. ผิดเพราะ No, never “ไม่ ไม่เคยเลย” ค าตอบในข้อนี้ไม่มีความเก่ียวข้องอะไรเลย กับสถานการณ์นี้ ข้อ 2. ผิดเพราะ Yes , not now. “ได้แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ค าตอบของข้อนี้มีความขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ข้อ 3. ผิดเพราะ No, thank you. เป็นการตอบรับเมื่อมีคนมาเสนอบางสิ่งให้กับเรา เป็นการตอบปฏิเสธอย่างสุภาพ เช่น Am: Would you like some coffee? Bill: No, thank you.

ตัวอย่างประโยคการร้องขอหรือการขออนุญาตอย่างสุภาพและการตอบรับในชั้นเรียน การร้องขอหรือขออนุญาต การตอบรับ

May I borrow your eraser? Sure. / Certainly. / No problem. Would you mind turning off the fans? Not at all. / Of course, not.

16

Could you help me here, please? Sure. / Certainly. / No problem. Do you mind if I sit here? No, I don’t. Is it fine to put my bag here? Yes, it is. Would you hold this for me for a while? Sure. / Yes. / Of course, Could you open the door for me? Sure. / Certainly. / No problem.

วลีที่น่าสนใจในชั้นเรียน switch / turn off the lights. ปิดไฟ switch / turn off the fans. ปิดพัดลม shut / close the door. ปิดประตู shut / close the windows. ปิดหน้าต่าง clean the blackboard. ลบกระดาน move the tables. ย้าย / ขยับโต๊ะ turn on the lights. เปิดไฟ turn on the fans. เปิดพัดลม open the door. เปิดประตู open the windows. เปิดหน้าต่าง

12.1. Situation: In the classroom.

Teacher: Sit down, please. Student:

1. Sorry. 2. Thank you. 3. May I come in? 4. Can I help you?

12.2. Situation: In the classroom. Teacher:

Student: Nobody.

1. Who’s this girl? 2. Who’s that boy? 3. Who’s absent today? 4. Who’s present today?

ข้อ 13. Situation: In the classroom. Teacher: The winner of the classroom speech contest is Danai. Prapawan: “_______________________________”

1. Good job! 2. Good day! 3. Good luck! 4. Good night! *เฉลย ข้อ 1. Good job! เยี่ยมไปเลย เหตุผล: ค าว่า Good job เป็นการแสดงความชื่นชมยินดีที่

เพ่ือนประสบความส าเร็จ ข้อ 2, 3 และ 4. ผิดเพราะ ค าว่า Good day, Good luck, Good night ทั้งสามค า นี้เป็นการกล่าวค าอวยพรทั้งหมด ไม่ใช่การกล่าวค าแสดงความยินดี

17

ค าพูดในการกล่าวแสดงความยินดี Congratulations! ขอแสดงความยินดีด้วย I’m happy for you. ฉันดีใจกับเธอจัง I’m pleased to hear that. ดีใจที่ได้ยินข่าวนี้ Well done! เยี่ยมไปเลย Fantastic! / Amazing! / Wonderful! / Great! / Fantastic! / Excellent! / Perfect!, etc.

เก่งมาก / เยี่ยมมาก / วิเศษณ์ไปเลย

13.1. Sam: Hey Jack! I got the scholarship! Jack: _________________________

1. Oh dear. 2. Good luck. 3. I’ m happy for you. 4. I’m sorry to hear that.

13.2. Dara: ____________ on your graduation. Manee: Thank you very much.

1. Who’s this girl? 2. Who’s that boy? 3. Who’s absent today? 4. Who’s present today?

ข้อ 14. Situation: At school. Wanida: Teacher: Hi, Wanida! You came very early today.

1. Good luck. 2. Who are you? 3. Good morning. 4. How do you do? *เฉลย ข้อ 3. Good morning. เหตุผล: จากสถานการณ์ที่ได้ก าหนดให้นั้น คือ โรงเรียน เป็นบทสนทนาการกล่าวทักทายระหว่างครูกับวนิดา(นักเรียน) โดยวนิดาได้กล่าวทักทายกับครูก่อนด้วย ค าว่า Good morning และครูก็ได้ทักทายกลับ ซึ่งถูกต้องตามสถานการณ์ที่ก าหนด ข้อ 1. ผิดเพราะ Good luck แปลว่า โชคดีซึ่งใช้ในการอวยพรหรือการลาก็ได้ นอกจาก Good luck แล้ว สามารถใช้ค าต่อไปนี้แทนได้ Good fortune., Be lucky., Wish you well. และ I wish you all the best. ข้อ 2. ผิดเพราะ Who are you? เป็นการถามว่า คุณเป็นใคร ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ข้อ 4. ผิดเพราะ How do you do? เป็นข้อความที่ใช้ทักทายกันเฉพาะกับคนที่พบหรือรู้จักกันเป็นครั้งแรกใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน ข้อความนี้เป็นรูปค าถามที่มีความหมายว่า “สวัสดี” ซึ่งไม่ต้องการค าตอบ ดังนั้นผู้ตอบจึงต้องกล่าวตอบโดยใช้ How do you do? เช่นเดียวกันผู้ทักทาย หรือ "Pleased to meet you." หรือ หรือไม่ก็ "Hello.”

18

Good morning เป็นค าทักทายกันโดยทั่วไปที่ใช้ ซึ่งสามารถใช้ได้ในสถานการณ์ท่ีเป็นทางการด้วย เช่นกัน โดย Morning นั่นจะหมายถึงเวลาตั้งแต่ที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือเวลาที่ตื่นนอน ไปจนกระทั่ง เที่ยงวัน ดังนั้น Good morning จึงใช้ทักทายกันในเวลาเช้า Good afternoon ใช้สวัสดีในตอนบ่าย (เที่ยงวันถึง 6 โมงเย็น) Good evening ใช้สวัสดีในตอนเย็น (6 โมงเย็นเป็นต้นไป) ส่วน Hi / Hello / Hey แปลว่า สวัสดี ใช้ทักทายกับบุคคลที่เราสนิทสนมกันเป็นอย่างดี หรือเป็นการกล่าวทักทายที่ไม่เป็นทางการ จะใช้กับคนรู้จัก หรือคนไม่รู้จักก็ได้ ส่วนค าว่า How are you? การถามเก่ียวกับทุกข์สุข

14.1. Situation: Ann meets Billy at school on Monday morning. Ann: How are you this morning? Billy: ____________, thanks.

1. Fine 2. Hello 3. Goodbye 4. Good morning

14.2. Situation: San goes to visit Jan’s mother at the hospital. San: How about your mother today? Jan: She has a fever and has to stay at the hospital for a few days. San: ___________________________. Jan: Thank you so much.

1. You don’t care about that. 2. You can go back your home. 3. I hope she will be better soon. 4. I think she should stay at the hospital.

ข้อ 15. Tim: Would you pass me that glass please?

Bobby: O.K., ___________________________ 1. there it is. 2. here I am. 3. here you are. 4. there we are. *เฉลย ข้อ 3. Here you are. เหตุผล: ผู้พูดขอร้องว่าช่วยส่งแก้วใบนั้นให้ฉันหน่อย คนตอบส่งให้พร้อมพูด ว่า Here you are. แปลว่า นี่ไงละ เป็นส านวนพูดเม่ือส่งของให้ ข้อ 1. There it is. แปลว่า มันอยู่ที่นี่ ข้อ 2. Here I am. แปลว่า ฉันอยู่ที่นั่น ข้อ 4. There we are. แปลว่า พวกเราอยู่ที่นั่น

19

ตัวอย่างประโยคที่ใช้ในการขอความช่วยเหลือพร้อมทั้งการตอบรับ

การขอความช่วยเหลือ การตอบรับ Would you mind reading this for me? No, I don’t. Could you help me carry these bags? Sure. / Certainly. No problem. Could you take me to the school please? Sure. / Certainly. No problem. Would you buy that book for me? Sure. / Certainly. No problem. Please pass me the stapler. Sure. / Certainly. No problem.

15.1. Situation: In Thai class. Teacher: Give me your exercise book, please. Supha: Yes, ____________ 1. go ahead. 2. over there. 3. here you are. 4. here he comes.

15.2 Situation: In the restaurant. Eddy: Pass me the salt, please. Sunee: ____________ Teacher: Thank you. Sunee: You’re welcome. 1. Not at all. 2. Yes, please. 3. Here you are. 4. No, thank you.

ข้อ 16. At the book shop. Jonathan: ____________________________________ Shopkeeper: Twenty-five baht.

1. How long is it? 2. How much is it? 3. How often do you read? 4. How many books are there? *เฉลย ข้อ 2. How much is it? (ราคาเท่าไหร่) เหตุผล: How much ใช้กับค านามท่ีนับไม่ได้ (Countable nounเช่น เวลา เงิน น้ าหนัก ส่วนสูง ข้อ 1. How long is it? ยาวหรือนานแค่ไหน ใช้ถามความยาวของสิ่งของ หรือถามระยะเวลาว่านานเท่าไร ข้อ 3. How often do you read? คุณอ่านหนังสือบ่อยแค่ไหน How often ข้อ 4. How many books are there? มีหนังสืออยู่กี่เล่ม How many ใช้ถามจ านวนต่างๆ ใช้กับค านามที่ นับได้ (Countable noun)

ตัวอย่างค านามนับได้และค านามนับไม่ได้ ค านามนับได้ (Countable) ค านามนับไม่ได้ (Uncountable)

shirts, books, lions, buildings, roses, trees, pens, people, students, houses, tables, toys, bags, shoes, baskets, bins, etc.

water, ink, air, sound, blood, milk, cream, make-up, rice, sugar, salt, hair, fur, wood, plastic, mud, happiness, etc.

20

*How much และ How many Much แปลว่า มาก ใช้น าหน้าค านามเอกพจน์ที่นับจ านวนไม่ได้ (Uncountable noun) Many แปลว่า มาก ใช้น าหน้าค านามที่นับจ านวนได้ รูปพหูพจน์ (Countable noun) How much แปลว่า มากเท่าไร How many แปลว่า มากเท่าไร How much มีหลักการใช้ดังนี้

1. ใช้กับค านามเอกพจน์ที่นับไม่ได้ เช่น - sugar, water, tea, coffee, milk, - beef, pork, salt, fish sauce, rice - powder, flour, paper, tissue paper

2. ใช้ถามเก่ียวกับจ านวนและปริมาณมากน้อยของค านามเอกพจน์ที่นับไม่ได้ เช่น ถามจ านวนเงิน, ปริมาณ น้ าตาล, ปริมาณเนื้อวัว, ปริมาณข้าว และอ่ืน ๆ ตามค านามในข้อ 1. ซึ่งจะมโีครงสร้างดังต่อไปนี้

- How much + ค านามเอกพจน์นับไม่ได้ + ประธาน + กริยา + ……? ตัวอย่าง - How much rice do you want? Two bag, please. - How much money do you have? Ten baht. - How much salt does she want? One bag, please. - How much beef do you want? A kilo, please. - How much sugar do you want? Two kilos, please. - How much fish sauce does she want? One bottle, please. 3. ใช้ถามราคาสิ่งของต่าง ๆ

3.1 ถ้าสิ่งของเป็นค านามท่ีนับจ านวนได้เป็นพหูพจน์ มีโครงสร้าง... - How much are + ค านามพหูพจน์....? ตัวอย่าง

- How much are oranges? Thirty baht a kilo. - How much are these apples? They are ten baht each. - How much are eggs? Twenty baht a dozen. - How much are pens? Five baht each. - How much are watermelons? Fifty baht each.

3.2 ถ้าสิ่งของนั้นเป็นค านามนับได้เอกพจน์ หรือค านามเอกพจน์ที่นับไม่ได้ ใช้โครงสร้าง... - How much + is + ค านามเอกพจน์?

ตัวอย่าง - How much is a pen? Six baht. - How much is coffee? Thirty baht a bottle.

21

- How much is flour? Ten baht a bag. - How much is an eraser? Five baht. - How much is tissue paper? Sixteen baht a box.

- How many มีหลักการใช้ ดังนี้ 1. ใช้กับค านามท่ีนับจ านวนได้รูปพหูพจน์ เช่น papayas, apples, pens, books, rambutans, boys, peoples, children, sheep, fish, ... 2. ใช้ถามเก่ียวกับจ านวนมากน้อยของสิ่งของที่นับจ านวนได้รูปพหูพจน์ โดยใช้โครงสร้างต่อไปนี้

How many + ค านามพหูพจน์ + do (does) +ประธาน + กริยา ......? ตัวอย่าง

- How many mangoes do you want? I want three kilos. - How many eggs does she want? She wants two dozen eggs. - How many people are there in the playground? There are fifty people in the playground. - How long ถ้าแปลตามตัวอักษร จะแปลว่า ยาวอย่างไร หรือนานอย่างไร แต่แปลให้ได้ใจความ แปลว่า ยาวแค่ไหน หรือ นานแค่ไหน ตัวอย่างประโยค ยาวแค่ไหน - How long is your ruler? ไม้บรรทัดของคุณยาวแค่ไหน It is 30 centimeters long. มันยาว 30 เซนติเมตร - How long is this rope? เชือกเส้นนี้ยาวแค่ไหน 10 meters long. ยาว 10 เมตร - How long is this road? ถนนเส้นนี้ยาวแค่ไหน 10 kilometers long. ยาว 10 กิโลเมตร - How long is the Nile? แม่น้ าไนล์ยาวแค่ไหน About 6,650 kilometers long. ยาวประมาณ 6,650 กิโลเมตร - How long is the Great Wall of China? ก าแพงเมืองจีนยาวแค่ไหน About 8,851 kilometers in length. ยาวประมาณ 8,851 กิโลเมตร ตัวอย่างประโยค นานแค่ไหน - How long does it take to boil eggs? ใช้เวลาที่จะต้มไข่นานแค่ไหน 5 minutes only. 5 นาทเีท่านั้น - How long do I have to wait for the next flight? ผมต้องรอเที่ยวบินถัดไปนานแค่ไหน About 2 hours. ประมาณ 2 ชั่วโมง - How long is this ticket valid? ต๋ัวใบนี้ ใช้ได้ นานแค่ไหน It is valid for 30 days. มันใช้ได้ 30 วัน - How long is the flight from Bangkok to Ubon Ratchathani? การบินจากกรุงเทพไปอุบลราชธานีนานแค่ไหน It takes about 45 minutes. มันใช้เวลาประมาณ 45 นาท ี- How long does a cat live? แมวมีชีวิตนานแค่ไหน About 20 years. ประมาณ 20 ปี

22

- How often ถ้าแปลตามตัวอักษร จะแปลว่า บ่อยอย่างไร แต่แปลให้ได้ใจความแปลว่า บ่อยแค่ไหนตัวอย่างประโยค บ่อยแค่ไหน

- How often do you think of me? คุณคิดถงึฉันบ่อยแค่ไหน I think of you every beat of my heart. ฉันคิดถึงคุณทุกจังหวะการเต้นหัวใจของฉัน (ทุกลมหายใจ)

- How often should I brush my teeth? ฉันควรจะแปรงฟันของฉันบ่อยแค่ไหน Twice a day. สองครั้งต่อวัน - How often does she go shopping? หล่อนไปชอปปิ้งบ่อยแค่ไหน Once a week. 1 ครั้งต่อสัปดาห์ - How often does it rain? ฝนตกบ่อยแค่ไหน About five times a month. ประมาณห้าครั้งต่อเดือน - How often do they play football? พวกเขาเล่นฟุตบอลบ่อยแค่ไหน They play it everyday. พวกเขาเล่นมันทุกวัน - How often does your kid tell a lie? ลูกของคุณ พูด โกหก บ่อยแค่ไหน Never. ไม่เคย - How often do you go swimming? คุณ ไป ว่ายน้ า บ่อยแค่ไหน Sometimes. บางครั้ง - How often does she get up late? หล่อน ตื่นนอน สาย บ่อยแค่ไหน Always. เสมอๆ

Look at the chart below and answer the question.

16.1. Situation: Jack buys 2 kilograms of mangoes. How much are they?

1. 20 Baht. 2. 30 Baht. 3. 50 Baht. 4. 75 Baht.

16.2. David buys 1 kilogram of pineapples and 2 kilograms of bananas. How much are they?

1. Eighty Baht. 2. Seventy Baht. 3. Eighty-five Baht. 4. Seventy-five Baht.

40 Baht/kg. 20 Baht/kg. 30 Baht/kg. 45 Baht/kg. 25 Baht/kg.

23

ข้อ 17. Ping: Did you like that movie? Kim: It was amazing. 1. Yes, I did. 2. Yes, I was. 3. No, I wasn’t. 4. No, I didn’t.

*เฉลย ข้อ 1. Yes, I did. เหตุผล: ในบทสนทนา Ping ถาม Kim ว่าชอบภาพยนตร์เรื่องนั้นไหมและ Kim ก็ พูดเสริมต่อว่า It was amazing. (หนังเรื่องนั้นน่าสนุกมากเลย) เมื่อค าตอบเป็นเชิงบวกดังนั้นสิ่งที่ Kim ตอบ ควรจะเป็น “ใช่ฉันชอบหนังเรื่องนั้นน่ะ” และค าตอบว่า Yes, I did. นั้นเป็นค าตอบที่ถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์ เมื่อค าถามเป็น Did you like that movie? ก็จะสามารถตอบได้ 2 แบบคือ Yes, I did. และ No, I didn’t. ข้อ 2. Yes, I was. ไม่ถูกต้องเพราะใช้ I was ข้อ 3. No, I wasn’t. ไม่ถูกต้องเพราะใช้ I wasn’t ข้อ 4. No, I didn’t. ค าตอบนั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ในการตอบเชิงปฏิเสธแต่ไม่มีความสัมพันธ์ที่ ถูกต้องกับเนื้อหาเนื่องจากประโยคเสริมนั้นบอกว่า “มันน่าสนุก” (It was amazing.) ซึ่งควรจะใช้คู่กับตอบว่า “ใช่ฉัน ชอบหนังเรื่องนั้น” มากกว่า การตอบค าถาม Yes/No Question อย่างสั้นนั้นต้องเป็นค าตอบที่มีกริยาช่วยตามกริยาช่วยของประโยค ค าถามหากมีกริยาช่วยดังต่อไปนี้ do, does, did, have, has, had, can, could, may, might, will, would, shall, should, เช่น

- Do you like tennis? Yes, I do. No, I don’t.

- Can you swim? Yes, I can. No, I can’t.

- Does she like tennis? Yes, she does. No, she doesn’t.

- Will you go there? Yes, I will. No, I won’t.

- Did you join the party? Yes, I did. No, I didn’t.

- Would you sing? Yes, I would. No, I wouldn’t.

17.1. Tom: Do you know who she will go with?

Emma: She hasn’t told me yet. 1. Yes, I will. 2. No, I don’t. 3. Yes, she has. 4. No, she doesn’t.

17.2. Sam: Are you sure she did it alone? Dan: 1. Yes, she is. 2. Yes, I did. 3. No, I am not. 4. No. she isn’t.

24

ข้อ 18. Situation: Christ is asking Som about her nationality. Chris: What is your nationality? Som:

1. I’m Thai. 2. I speak Thai. 3. This is Thailand. 4. I live in Thailand. *เฉลย ข้อ ตอบ ข้อ 1. I’m Thai. เหตุผล: โจทย์ What is your nationality? ถามว่าสัญชาติอะไร ค าตอบข้อ 4 เหมาะสมท่ีสุด ข้อ 2. I speak Thai. ฉันพูดภาษาไทย ข้อ 3. This is Thailand. นี่คือประเทศไทย ข้อ 4. I live in Thailand. ฉันอาศัยอยู่ในประเทศไทย

Country Nationality Thailand Thai England English / British

The United States American Japan Japanese China Chinese Italy Italian India Indian Spain Spanish France French Brazil Brazilian

Singapore Singaporean Vietnam Vietnamese

ตัวอย่างการใช้ I’m from Thailand. ฉันมาจากประเทศไทย I’m Thai. ฉันเป็นคนไทย She is from France. หล่อนมาจากประเทศฝรั่งเศส She is French. หล่อนเป็นคนฝรั่งเศส *ซึ่งการพูดถึงสิ่งอ่ืนที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นๆ เช่น สัญชาติ อาหาร หรือภาษา ใช้ค าศัพท์เดียวกัน

18.1. Situation: At the airport. Tom: Are you from Japan? Yoko: Yes, and I speak ____________ 1. China. 2. Japanese. 3. Japan. 4. Chinese.

18.2. Tim: Is Tom Yum Kung __________? Manee: Yes, it is.

1. Thai food 2. Indian food 3. Italian food 4. Chinese food

25

ข้อ 19. Situation: James would like Annie to help him lift a box. James: Annie. ____________It’s too heavy. Annie: Sure. James: Thank you. Annie: Not at all.

1. Why are you standing here? 2. Will you let me lift it alone? 3. Why don’t you come and help me? 4. Could you please lift the box for me? *เฉลย ข้อ 4. Could you please lift the box for me? เหตุผล: บทสนทนาได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่ James นั้นต้องการให้ Annie ช่วยเขายกกล่องใบหนึ่งขึ้นมาดังนั้นประโยคท่ีเหมาะสมที่สุดส าหรับการขอความช่วยเหลือนั้นคือ Could you please lift the box for me? อีกทั้งยังเป็นการขอความช่วยเหลือที่สุภาพอีกด้วย เมื่อมีค าว่า please อยู่ในประโยค ข้อ 1. Why are you standing here? เธอมัวมายืนท าอะไรอยู่ตรงนี้ ข้อ 2. Will you let me lift it alone? เธอจะให้ฉันยกคนเดียวใช่ไหม ข้อ 3. Why don’t you come and help me? ท าไมเธอไม่เข้ามาช่วยฉันล่ะ

ส าหรับการขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นเรามักจะใช้โครงสร้างที่ข้ึนต้นด้วยค าว่า Would you……? Would you mind………? Could you………………? เมื่อเราใช้ Would you……? และ Could you………? เราจะต้องตามด้วยค ากริยาช่องที่ 1 เช่น Would you help me carry these books? เธอช่วยฉันถือหนังสือเหล่านี้หน่อยได้ไหม Could you help me carry these books? เธอช่วยฉันถือหนังสือเหล่านี้หน่อยได้ไหม แต่หากเราต้องการใช้ Would you mind………? นั้นเราจะต้องตามด้วยกริยาที่เติม –ing เช่น Would you mind shutting the windows? เธอช่วยปิดหน้าต่างให้หน่อยได้ไหม Would you mind driving me to the market? เธอจะช่วยขับรถพาฉันไปที่ตลาดหน่อยได้ไหม Would you mind passing me the bag? เธอจะช่วยส่งกระเป๋าใบนั้นให้หน่อยได้ไหม

19.1. Mike: It is windy, Pim: Sure!

Mike: Thanks. 1. would you like to open the windows? 2. would you please close the windows? 3. would you mind opening the windows? 4. would you like me to close the windows?

19.2. Joon: I can’t read this. Palm: No problem. Joon: How kind of you!

1. Should I read it? 2. Have you read it yet? 3. Would like to read it? 4. Could you read it for me, please?

26

ข้อ 20. John: What do you like to do in your free time? Jane: . And what about you? John: I collect stamps.

1. I like going to school very much. 2. I like reading cartoons and watching TV. 3. I always have free time at the weekend. 4. I do many things before I have free time. *เฉลย ข้อ 2. I like reading cartoons and watching TV. เหตุผล: บทสนทนานั้นพูดถึงสิ่งที่ Jane มักจะชอบท าในเวลาว่างของเธอ ดังนั้นค าตอบจึงควรเป็นตอบที่เกี่ยวกับกิจกรรมหรือสิ่ง Jane ชอบท าในเวลาว่าง ค าตอบว่า I like reading cartoons and watching TV. จึงเป็นค าตอบที่ถูกต้องสัมพันธ์กับค าถามของ John มากที่สุด ข้อ 1. I like going to school very much. ฉันชอบไปโรงเรียนมากๆ เป็นค าตอบที่ไม่มีความสัมพันธ์กับค าถาม ข้อ 2. I always have free time at the weekend. ฉันมักจะมีเวลาว่างตอนวันหยุด ไม่เป็นค าตอบที่เหมาะสมกับค าถาม ข้อ 4. I do many things before I have free time. ฉันต้องท าหลายอย่างก่อนที่จะมีเวลาว่าง ค าตอบนี้ไม่มีความสัมพันธ์กับค าถาม

ส าหรับการถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมยามว่างของผู้อ่ืนนั้นเราสามารถใช้ประโยคดังต่อไปนี้ได้ What is your hobby? เธอชอบท าอะไรเวลาว่างหรือเป็นงานอดิเรก My hobby is collecting stamps. ฉันชอบสะสมแสตมป์ What are your hobbies? เธอชอบท าอะไรเวลาว่างหรือเป็นงานอดิเรก My hobbies are watching TV and playing the guitar. What do like to do in your free time? I like to collect stamps. / I like collecting stamps.

20.1. Peter: Mark: I visited my grandparents. Peter: Great! I didn’t go anywhere.

Mark: I also went shopping with them.

1. How did you go there? 2. Where did you go shopping? 3. What did you do last holiday? 4. When did you visit your grandparents?

20.2. Metha: What does your best friend look like? Nancy:

1. He likes football. 2. He is tall and thin. 3. My best friend is John. 4. He is kind and polite.

______Thank You______