Nu Skin - Rebirth

Preview:

DESCRIPTION

Nu Skin...Rebirth Anti-Aging

Citation preview

เรื่อง: ปฏิคม พลับพลึง

Nu Skin…Rebirth เปลี่ยนธุรกิจ Anti-aging

มีการคาดการณ์ว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ Anti-aging ทั่วโลกในปี 2013 จะมีมูลค่ามากกว่า 270,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 80% ในปี 2015 Anti-aging Company นู สกิน (Nu Skin) บริษัทผู้ผลิตและ ผู้ขายเครื่องสำอาง ที่ทำธุรกิจในระบบขายตรงแบบ MLM ของอเมริกา เป็นหนึ่งในธุรกิจเครื่องสำอางที่บุกธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง Anti-aging อย่างจริงจังต่อเนื่องมาหลายปี ปีหน้า นูสกินจะมีอายุครบ 30ปี นับแต่เริ่ม กอ่ตั้งธุรกิจของตนในอเมริกา และ 15 ปีสำหรับการดำเนินธุรกิจในไทย

ธุรกิจ Anti-aging ในไทยมีมลูคา่ ประมาณสีพ่นักวา่ลา้นบาท และกำลังมีอัตราเติบโต อย่างรวดเร็ว เพราะคนปัจจุบันทั้งชายหญิงที่มีรายได้ดี มีกำลังซื้อสูง ต่างให้ความสนใจกับการ Anti-aging เพื่อให้ใบหนา้ยงัคงดอูอ่นเยาว ์ อยูเ่สมอมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางกลุ่ม Anti-aging เติบโตในอัตราที่สูงมาก

043THE COMPANY

“นู สกิน มีการงบประมาณสำหรับ การทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สูง ถึง 10% ของรายได้ และเน้นการทำในเรื่อง Anti-aging สี่ห้าปีที่แล้ว เราเริ่มคิดว่าเราต้องการจะทำสิ่ งที่ เ ราชำนาญดีอยู่ แล้ วให้ ดีขึ้ นคือ เรื่ อง Ant i -ag ing เราจึ ง เริ่มสร้างพันธมิตร สร้างศูนย์วิจัย” ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอน็เตอรไ์พรส์ (ประเทศไทย) จำกดั กล่าว “เราต้องการ Positioning บริษัท ของเรา แบรนด์ของเรา ให้เป็น Anti-aging Company เพื่อให้ลูกค้า

การ Positioning ตัวเองให้เป็น Anti-aging Company ผลักดันให้ นู สกิน ทำงานวิจัยและพัฒนาอย่างหนัก ด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่มากกว่า 170 คน และยังทำงานวิจัยในเรื่อง Anti-aging กับพันธมิตรจำนวนมาก ทัง้กบัสถาบนัการศกึษา เชน่ มหาวทิยาลยั สแตนฟอร์ด, UCLA, มหาวิทยาลัยปักกิ่ ง ฯลฯ และสถาบันวิจัยต่างๆ รวมจำนวนทั้งสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยที่เป็นพันธมิตรกับนู สกิน ในการทำวิจัยเรื่องเกี่ยวกับ Anti-aging มีมากกว่า 150 สถาบัน

ageLOC Technology สถาบันวิจัย LIFEGEN ซึ่งเป็นสถาบัน วิจัยที่ เป็นผู้นำในระดับโลกในการทำงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาความแก่ชราในระดับยีน ต่ อ เนื่ อ งมานับสิบปี เป็นพันธมิตรที่สำคัญมากของนู สกิน ทำงานร่วมกันมาหลายปี และทำให้ นู สกิน ประสบความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา จนได้ เทคโนโลยี ใหม่ ของผลิตภัณฑ์ Anti-aging ที่เรียกว่า ageLOC Technology ซึ่งก้าวข้ามเทคโนโลยี Anti-aging ทั่วไป เพราะเทคโนโลยีนี ้ ทำให ้ น ู สกินสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ Anti-aging ที่สามารถเขา้ไปแกป้ญัหาความแกช่รา

ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา Live Young และ Feel Young ด้วย สินค้าจึงต้องทำให้สิ่ งนั้น เกิดขึ้น เราก็จึ ง โฟกัสนวัตกรรมที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามาช่วยให้ผู้บริโภคเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้” นู สกิน น่าจะเป็นบริษัทแรกในโลกที่ประกาศยุทธศาสตร์ชัดเจน ในเรื่องการเป็น Anti-aging Company สำหรบัในป ี2011 ทีผ่า่นมาน ูสกนิ ทัว่โลกมีรายได้มากกว่า 50,000 ล้านบาท ขณะที่ในไทยมีรายได้ประมาณ 2,200 ล้านบาท ในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา นู สกิน มีอัตราการเติบโตในแต่ละปี ตั้งแต่ 50-100%

ภคพรรณ ลีวุฒินันท์

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย)

จำกัด เธอกำลังจะเป็นผู้นำ นู สกิน ประเทศไทย ไปสู่ความเป็นผู้นำ

ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ Anti-aging

44 THE COMPANY

ไดท้ีร่ะดบัยนี อันเป็นต้นตอของสาเหตุ ที่ ทำให้ ร่ างกายของมนุษย์แก่ชรา ความสำเร็จที่ เกิดขึ้นทำให้ นู สกิน ตัดสินใจซื้อสถาบันวิจัย LIFEGEN เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภคพรรณ กล่าวว่า “เราประสบความสำเร็จเมื่อสามปีที่แล้ว เราเรียกว่า ageLOC Technology เราสามารถรู้ว่า ยีน (Gene) ตัวไหนทำงานอย่างไร และยีนตัวไหนทำให้เซลล์ในร่างกายของเราเสื่อมสภาพ เราเข้าใจตรงนั้น คิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถปรับยีนให้กลับมาสร้างเซลล์ที่อ่อนเยาว์อีกครั้งหนึ่ง เทคโนโลยีนี้คือการค้นพบว่า ยีนอะไรทำให้ เซลล์ในร่างกายมนุษย์ เสื่อมสภาพ ทำให้แก่ชรา ผิวหย่อนคล้อย เราใช้พันธุวิศวกรรมเข้าไปศึกษายีน ซึ่งในโลกนี้มีน้อยสถาบันที่ศึกษาเรื่องนี้ อย่างจริงจัง เพราะต้องใช้เวลาศึกษายาวนาน ทุนเยอะ เป็นการศึกษากระบวนการของนวัตกรรม และเราพบว่ ายี นตั ว ไหนทำให้มนุษย์ แก่ ช รา เป็นการค้นพบที่ยั งไม่มี ใครค้นพบ พบกลุ่มยีนที่ทำให้คนเราแก่ เราพบว่าระดับของยีนในวัยแก่กับวัยรุ่นไม่เหมือนกัน เราพบว่าแถบสียีนวัยรุ่นและวัยชราไม่เหมือนกัน เราก็ใช้สาร ที่ เราใส่ในผลิตภัณฑ์นี้ ไปทำให้ยีน สร้างเซลล์กลับมาเป็นวัยรุ่นใหม่ เป็น สารประเภทสารต้านอนุมูลอิสระ นีเ่ปน็การคน้พบทีย่ิง่ใหญม่าก ทีผ่า่นมาการแก้ปัญหาเป็นการแก้ปัญหาปลายทาง แต ่ น ู สกิน ของเราเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ พบว่าปัญหาของการแก่ชราคือยีนตัวไหน กลุ่มไหน เราพบยี น แ ล้ ว ร้ อ ย ก ว่ า ตั ว มั น ค อ น โ ท ร ล ทกุๆ อยา่ง ทีท่ำใหเ้ราดแูก ่เราจงึพฒันาสารสร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปสามารถทำให้ยีนกลับเข้าไปเป็นสมัยวัยรุ่น เราทำให้ร้อยกว่าตัวยีนปรับระบบการทำงานสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่ให้เหมือนสมัยอ่อนเยาว์

ในอนาคตอันใกล้นี้ ยังมีการพัฒนา ageLOC Technology สู่การต่อต้านความเสื่อมชราในรูปแบบอาหารเสริมอีกด้วย เพื่อให้ นู สกิน ยืนหยัดอย่างมั่นคงในการเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ในการต่อต้านความชรา จากเครื่องสำอาง สู่อาหารเสริม “ประมาณต้นปี 2013 เราจะวางตลาดอาหารเสริมที่ใช้เทคโนโลยี ageLOC ด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าของเรามีความแข็งแรงจากข้างใน” ภคพรรณ กล่าว อาหารเสริมเข้าไปดูแลภายในทีมวิจัยของ นู สกิน เลือก Ingredient ที่ดีที่สุดในปริมาณที่ เหมาะสมพัฒนาเป็นอาหารเสรมิ เปน็ ageLOC Technology ซึ่งจะ Rebirth เซลล์ ในร่างกายข้างใน ผลิตภัณฑ์จะทำงานในระดับยีนเช่นกัน เพื่อไปทำให้เซลล์สร้างตัวเองใหม่เพื่อเซลล์จะได้กลับไปทำงานได้เหมือนเดิม ภคพรรณ ชีแ้จงวา่ “อาหารเสรมิที ่น ูสกนิจะวางตลาดมีสองตัว เป็นตัวเข้าไปปรับยีนในร่างกายที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม เน้นด้าน Anti Occident เป็นหลัก ทำให้เซลล์อวัยวะภายใน ของรา่งกายกลบั Rebirth ใหม่” ความสำเรจ็ในเรือ่ง ageLOC Technology ในตลาดยังไม่มีใครทำได้อย่าง นู สกิน ทำให้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขาทีมนกัวทิยาศาสตรท์ีด่ทีีส่ดุจาก International Business Awards หรือ Stevies Awards ตั้งแต่ปี 2010

นี่เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุด เราเริ่มจากสร้างผลิตภัณฑ์สำหรับข้างนอกก่อน เราเรียกว่า Transformation ageLOC มีครบกระบวนการตั้งแต่ล้างหน้าจนครบกระบวนการทุกอย่าง ออกมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว ใช้ทุกส่วนของหน้าครบวงจร มีทั้งผลิตภัณฑ์ล้างหน้า, Day Crème, Night Crème และซีรั่ม” ศูนย์วิจัยต่อต้านความชราครอบคลุมสองซีกโลก ความสำเร็จจากการสร้าง ageLOC Technology ส่งผลต่อการตัดสินใจของ บรษิทั น ูสกนิ เอน็เตอรไ์พรส์ องิค ์อเมรกิา

ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ นู สกิน ทั่วโลก ในการลงทุนกว่า 2,600 ล้านบาท เพื่อดำเนนิการกอ่สรา้ง Nu Skin Innovation Center ซึ่งจะเป็นศูนย์วิจัยแบบครบวงจรที่มีความทันสมัย โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2013 ปัจจุปัน นู สกิน ได้เปิดตัวสถาบันวิจัยเพื่อการต่อต้านความเสื่อมชราโดยเฉพาะเจาะจงอย่างเป็นทางการที่โพโว สหรัฐอเมริกา ควบคู่กับศูนย์วิจัยที่จีน และเชียงไฮ้ ซึ่งทำให้ นู สกิน มีสถาบัน วิจัยและพัฒนาครอบคลุมสองซีกโลก ที่สำคัญนอกจากเทคโนโลยี ageLOC จะอยู่ในผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลผิวแล้ว

“การที่นู สกิน ได้ลงทุนสร้างศูนย์วิจัย ต่อต้านความชราอยู่ทั้งสองซีกโลก

ในสหรัฐและในจีนนี้ ทำให้นู สกิน มีความรู้ ลึกซึ้งเกี่ยวกับการต่อต้านความชรา

เพราะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับคนทั้สองซีกโลกที่มียีนต่างกัน

และสร้างความแข็งแกร่งให้กับการเป็น Anti-aging Company ของ นู สกิน”

45THE COMPANY

สื่อสารสู่ Mass Media ดร.โจ แช็ง (Joe Chang) หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ และรองประธาน กรรมการนู สกิน เคยพูดไว้ว่าความสำเร็จจาก ageLOC Technology จะทำให้ “Game Over for Competition” นั้น อาจจะหมายถึงความมั่นใจว่า นู สกิน ชนะแลว้ในการแขง่ขนัในธรุกจิ ผลิตภัณฑ ์ Anti-aging ในวันนี้ สิ่งที่ นู สกิน จะต้องทำต่อไปคือ การให้ความรู้เรื่องนี้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่จะไม่ใช่เพียงการสื่อสารอยู่ในเฉพาะกระบวนการขายตรงแบบ MLM เทา่นัน้ สำหรับในไทย นู สกิน กำลังจะทำ แคมเปญใหญ่ที่จะ Launch ไม่เกินเดือนกันยายน เพื่อสื่อสารความรู้ เกีย่วกบัขอ้ดขีอง ageLOC Technology ผ่านสื่อที่ เป็นแมส เพื่อให้ข้อมูลแก่ลูกค้าเป้าหมายในวงกว้าง สู่ผู้ ใช้ผลิตภัณฑ์ Anti-aging ในตลาดเปิด เป็นแคมเปญที่ยิงยาวต่อเนื่อง เพื่อดึงคนที่มีกำลังซื้อในตลาดเปิดเข้าหาผลิตภัณฑ์ของ นู สกิน มากขึ้น

“Nu Skin Enterprises เป็นบริษัทแรกที่ประสบความสำเร็จในการ

ศึกษาการต่อต้านความชราลงลึกในระดับยีน ซึ่งมีการศึกษากลุ่มยีนที่เกี่ยวข้องถึง ร้อยกว่าตัว และประสบความสำเร็จ

ออกมาเป็น ageLOC Technology”

1 แม้เศรษฐกิจจะถดถอย ผู้บริโภคยังใช้จ่ายเงินเพื่อผลิตภัณฑ์ต้านความ เสื่อมชรา แสดงว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่จะรักษาความอ่อนเยาว์ เหนือกว่าการดูแลความสวยงามด้านอื่นๆ

2 ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรของผู้มีอายุ 65 ปี และมากกว่าจะมีตัวเลขที่สูงกว่าจำนวนประชากรอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

3 คาดว่าจำนวนประชากรอายุมากกว่า 65 ปี จะเพิ่มเป็นสองเท่าในปี 2050

4 เกือบ 80% ของผู้บริโภคกลุ่มเบบี้บูมต่างค้นหาวิธีเพื่อให้รู้สึกและคงความอ่อนเยาว์ไว้

5 มากกว่า 90% ของผู้บริโภคต่างสนใจที่จะเรียนรู้วิธีเพื่อความสำเร็จสู่การดำเนินชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ

6 ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและการดูแลผิวทั่วโลกมีมูลค่า 333 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต้านความเสื่อมชรามีการเติบโตสูงสุด

7 ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพมีมูลค่า 596 พันล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต้านความเสื่อมชรามีการเติบโตเร็วที่สุด

8 คาดการณ์ว่าตลาดต้านความเสื่อมชราจะมีมูลค่าถึง 274.5 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 2013

9 ในปี 2015 อุตสาหกรรมต้านความเสื่อมชราในแต่ละภูมิภาคจะเติบโต 76% ในสหรัฐอเมริกา 73% ในยุโรป 72% ในญี่ปุ่น และ 82% ในเอเชียแปซิฟิก

ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดต่อต้านความชรา

ที่มา : นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย)

จ า ก ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า ท า ง ด้ า นประชากรศาสตรพ์บว่า จำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี และมีสัดส่วนใหญ่ขึ้นกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด ประชากรในยุคเบบี้บูม ที่เกิดในช่วง 40-50 ปีที่ผ่านมาจะเป็นผู้สูงอายุในอีก 10 ปีข้างหน้า คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่มีพื้นฐานการศึกษา และการทำงานที่ดี จึงมีกำลังซื้อสูง ทำให้สินค้าและบริการเพื่อสุขภาพ และชะลอความชราภาพ เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงขึ้น ต่อเนื่อง นี่คือ โอกาสทางการตลาดที่ ดี ของ นู สกิน สำหรับการก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ต่อต้านความชรา และอาจเป็นผู้นำที่จะปฏิวัติธุรกิจ Anti-aging ในอนาคตอันใกล้

46 THE COMPANY