of 41 /41
พัฒนาการทางจิตสังคม

พัฒนาการทางจิตสังคมpws.npru.ac.th/wiratn/system/20151230163732_7c9ca35e5...ความค ดต างจากฟรอยด เช น เห

  • Author
    others

  • View
    3

  • Download
    0

Embed Size (px)

Text of พัฒนาการทางจิตสังคมpws.npru.ac.th/wiratn/system/20151230163732_7c9ca35e5...ความค...

  • พฒันาการทางจิตสงัคม

  • บุคคลส าคญัท่ีไดส้ร้างทฤษฎีน้ีคือ อิริคสนั (ลูกศิษยข์องฟรอยด)์

    สร้างทฤษฎีตามแนวความคิดของฟรอยด ์ แต่เนน้ความส าคญัทางดา้น

    สงัคม วฒันธรรม และส่ิงแวดลอ้มดา้นจิตใจ

    (psychological environment) วา่มีบทบาทในการพฒันาบุคลิกภาพมาก

  • ความคิดต่างจากฟรอยด ์เช่น เห็นความส าคญัของอีโก ้(Ego) มากกวา่อิด (Id)

    และพฒันาการไม่ไดห้ยดุแค่วยัรุ่น แต่จะพฒันาต่อไปจนกระทัง่วาระสุดทา้ยของชีวิตคือวยัชรา บุคลิกภาพของคนมีการเปล่ียนแปลงไปเร่ือย ๆ ตลอดชีวิต

    และถือวา่เป็นวิวฒันาการท่ีจะตอ้งมีอุปสรรค บุคคลอาจมีประสบการณ์ท่ีไม่พึงปรารถนา

    และท าใหเ้ป็นแผลหรือรอยร้าวของพฒันาการของบุคลิกภาพ แต่ละขั้นของชีวิตซ่ึงเป็นธรรมชาติของคน แต่รักษาใหห้ายไดด้ว้ยการบ าบดัของตนเอง

    อีริคสนั เรียกทฤษฎีของเขาวา่เป็นทฤษฎีจิตสงัคม

  • แนวคิดพ้ืนฐานในการพฒันาทฤษฎี

    • มนุษยทุ์กคนมีความตอ้งการพื้นฐานอยา่งเดียวกนั การเปล่ียนแปลงทางจิตสงัคมของเดก็ท่ีเกิดข้ึนจากการมีปฏิสมัพนัธ์กบัผูอ่ื้น จะมีแบบแผน การพฒันาเป็นเช่นเดียวกนัในทุกสงัคม

    • พฒันาการจะเป็นไปตามล าดบัขั้น (hierachy) • ตลอดช่วงชีวิตของมนุษย ์จะแบ่งพฒันาการทางจิตสงัคมออกเป็นขั้น ๆ

    ในแต่ละขั้นจะมีปมขดัแยง้ซ่ึงเป็นวิกฤตการณ์ (crisis) ท่ีแต่ละบุคคลจะตอ้งประสบ วิกฤติขดัแยง้น้ีจะแตกต่างกนัไปตามขั้นของการพฒันา

  • 8 ขั้นพฒันาการทางจิตสงัคม • ขั้นท่ี 1 : ความรู้สึกไวว้างใจ – ความไม่ไวว้างใจ (Trust vs. Mistrust) • ขั้นท่ี 2 : ความรู้สึกเป็นตวัของตวัเอง – ความอายหรือความเคลือบแคลงสงสยั (Autonomy vs. Shame/Doubt) • ขั้นท่ี 3 : ความคิดริเร่ิม – ความรู้สึกผิด (Initiative vs. Guilt) • ขั้นท่ี 4 : ความอุตสาหะ พากเพียร – ความรู้สึกดอ้ย (Industry vs. Inferiority) • ขั้นท่ี 5 : ความมีเอกลกัษณ์ – ความสบัสนในบทบาท • (Identity vs. Role Confusion) • ขั้นท่ี 6 : ความรู้สึกผกูพนั – ความรู้สึกโดดเด่ียว (Intimacy vs. Isolation) • ขั้นท่ี 7 : การเป็นหลกัใหผู้อ่ื้น การเป็นผูใ้ห ้– ความเฉ่ือยชา (Generativity vs. Stagnation) • ขั้นท่ี 8 : ความรู้สึกสมบูรณ์และสมหวงัในชีวติ – ความรู้สึกส้ินหวงั (Ego Integrity vs. Despair)

  • ขั้น วยัและอายุ ลกัษณะส าคญั ทีจ่ะพฒันา

    ผู้ทีม่อีิทธิพล ต่อพฒันาการ

    1.ความไวว้างใจ –ความไม่ไวว้างใจ (Trust vs. Mistrust)

    ทารก (0-1 หรือ 2 ปี) จะพฒันาความไวว้างใจผูอ่ื้น ถา้ไดรั้บการเล้ียงดูอยา่งเหมาะสม หรือไม่กจ็ะเกิดความรู้สึกไม่ไวว้างใจ

    แม่ หรือผูเ้ล้ียงดู

    2.ความรู้สึกเป็นตวัของตวัเอง-ความอายหรือเคลือบแคลงสงสยั (Autonomy vs. Shame/Doubt)

    วยัเดก็เลก็ (1 หรือ 2-3 ปี)

    จะพฒันาความรู้สึกมีอิสระ สามารถท าอะไรไดด้ว้ยตนเอง หรือไม่ก็จะเกิดความรู้สึกอายและเคลือบแคลงสงสยั

    พอ่แม่และผูป้กครอง

  • ขั้น วยัและอายุ ลกัษณะส าคญั ทีจ่ะพฒันา

    ผู้ทีม่อีิทธิพล ต่อพฒันาการ

    3.ความคิดริเร่ิม-ความรู้สึกผิด (Initiative vs. Guilt)

    วยัเดก็ตอนตน้ (3-6 ปี)

    จะเกิดความคิดแปลกใหม่หรือความคิดริเร่ิม หรือไม่กจ็ะเกิดความรู้สึกผิด

    บุคคลในครอบครัวและเพื่อน

    4.ความอุตสาหะ พากเพียร-ความรู้สึกดอ้ย (Industry vs. Inferiority)

    วยัเดก็ตอนกลาง (6-12 ปี)

    จะเกิดความตอ้งการเรียนรู้ทกัษะใหม่ๆ ดว้ยความวริิยะอุตสาหะ หรือไม่กจ็ะเกิดความรู้สึกดอ้ย ลม้เหลวและไร้ความสามารถ

    ครูและเพื่อนๆ ในโรงเรียน

  • ขั้น วยัและอายุ ลกัษณะส าคญั ทีจ่ะพฒันา

    ผู้ทีม่อีิทธิพล ต่อพฒันาการ

    5.ความมีเอกลกัษณ์-ความสบัสนในบทบาทหนา้ท่ี (Identity vs. Role Confusion)

    วยัรุ่น (12-18 ปี)

    จะพฒันาภาวะเอกลกัษณ์แห่งตนดา้นอาชีพ บทบาททางเพศ การเมือง ศาสนา หรือไม่กเ็กิดความรู้สึกสบัสนในบทบาทและภาวะความเป็นตน

    เพื่อนๆ

    6.ความรู้สึกผกูพนั-ความรู้สึกโดดเด่ียว (Intimacy vs. Isolation)

    วยัผูใ้หญ่ตอนตน้ (18-35 ปี)

    จะพฒันาความรู้สึกผกูพนัเพื่อนสนิทหรือคู่รัก หรือไม่กจ็ะรู้สึกขาดเพื่อนและโดดเด่ียว

    คู่รัก เพื่อนสนิท

  • ขั้น วยัและอายุ ลกัษณะส าคญั ทีจ่ะพฒันา

    ผู้ทีม่อีิทธิพล ต่อพฒันาการ

    7.การเป็นหลกัใหผู้อ่ื้น การเป็นผูใ้ห-้ความเฉ่ือยชา (Generativity vs. Stagnation )

    วยัผูใ้หญ่ตอนกลาง (35-65 ปี)

    จะหาแนวทางท่ีจะท าประโยชน์แก่ชนรุ่นหลงั (ลูก-หลาน) หรือไม่กเ็กิดความรู้สึกทอ้ถอยเฉ่ือยชา

    ครอบครัวอ่ืนในสงัคม

    8.ความรู้สึกสมบูรณ์และสมหวงัในชีวติ-ความรู้สึกส้ินหวงั (Ego Integrity vs. Despair)

    วยัผูใ้หญ่ตอนปลาย (65 ปีข้ึนไป)

    จะเกิดความรู้สึกสมหวงัและรู้สึกวา่ประสบความส าเร็จในชีวติ หรือไม่กจ็ะเกิดความรู้สึกส้ินหวงัและไม่สมหวงัในชีวติ

    มนุษยชาติ

  • พฒันาการระยะก่อนวยัเรียน

    ลกัษณะส ำคญัท่ีจะต้องเสริมให้เกิดขึน้ก็คอื

    ความไว้วางใจ (trust)

    ความรู้สึกเป็นตวัของตวัเอง (autonomy)

    และความคิดริเร่ิม (intiative)

  • ขั้นที ่1 ความรู้สึกไว้วางใจ – ความไม่ไว้วางใจ แรกเกิด – 2 ปี

    เดก็ยงัช่วยตวัเองไม่ได ้ ตอ้งการความช่วยเหลือเม่ือมีความตอ้งการ

    ผูเ้ล้ียงดูจะตอ้งเอาใจใส่ ควรใหน้มเม่ือถึงเวลา ควรปลดเปล้ืองความเดือดร้อนความไม่สบายของทารกเน่ืองจากการขบัถ่าย

    จะตอ้งสนองความตอ้งการของเดก็อยา่งสม ่าเสมอ เพราะเดก็มีความหวงัวา่เม่ือหิวกจ็ะมีคนใหน้ม เวลาผา้ออ้มเปียกกจ็ะมีคนมาเปล่ียนผา้ออ้มให ้

    อิริคสนักล่าววา่ ความไวว้างใจเป็นพื้นฐานท่ีส าคญัของการพฒันาบุคลิกภาพ เดก็ท่ีขาดความไวว้างใจจะกลายเป็นคนท่ีชอบกา้วร้าว

    ตีตวัออกจากส่ิงแวดลอ้ม บางกรณีถึงกบัเป็นโรคจิต(เกบ็ตวั) ท่ีเรียกวา่ childhood schizophrenic

  • ขั้นท่ี 2 ความรู้สึกเป็นตวัของตวัเอง – ความอายหรือความเคลือบแคลงสงสัย

    2-3 ปี

    เร่ิมรู้จักควบคุมตนเอง (self control)

    เร่ิมเดินได ้พดูได ้ ความเจริญเติบโตของร่างกายช่วยใหเ้ดก็มีอิสระ พ่ึงตนเองได ้

    มีความอยากรู้อยากเห็น อยากจบัตอ้งส่ิงของต่าง ๆ เพื่อตอ้งการส ารวจวา่คืออะไร

    และเกดิความเช่ือมั่นในตนเอง (self confidency) เพราะเขาสามารถเร่ิมท าอะไรไดด้ว้ยตนเอง

  • ตอ้งเร่ิมเรียนรู้พฤติกรรมท่ีสังคมก าหนดข้ึน ส่ิงไหนท าได ้ท าไม่ได ้

    พอ่แม่/ผูเ้ล้ียงดู ตอ้งรักษาความสมดุลดว้ยการอธิบาย หลีกเล่ียงการดุเดก็เวลาท่ีท าไม่ถูกตอ้ง

    ในบางคร้ังตอ้งปล่อยใหเ้ดก็มีความอาย (shame) และสงสยัตวัเองวา่ท าไม่ถูก (doubt) เพราะเป็นส่วนหน่ึงของการพฒันา

    เพราะควรจะตอ้งมีความละอายใจ ไม่กลา้ท าในส่ิงท่ีสงัคมไม่ยอมรับ พอ่แม่ควรเนน้ในการใหโ้อกาสเดก็ไดพ้ึ่งตนเอง

    มีความเป็นอิสระ ท าอะไรดว้ยตวัเอง

    มากกวา่การมีความรู้สึกละอายและสงสยัในตวัเอง

  • ขัน้ที่ 3 ความคดิริเร่ิม – ความรู้สึกผดิ 3-5 ปี

    เด็กมีควำมคดิริเร่ิมอยำกจะท ำอะไรด้วยตนเองตำมจินตนำกำร

    กำรเลน่ส ำคญัมำก

    เพรำะเดก็จะได้ทดลองท ำสิง่ตำ่ง ๆ

    ควำมสนกุเกิดจำกกำรสมมตุิของตำ่ง ๆ เป็นของจริง

    เด็กพยำยำมท่ีจะเป็นอิสระ พึง่ตนเอง

    อยำกทดสอบควำมสำมำรถของตนเองในงำนบำงอยำ่งท่ีเห็นผู้ใหญ่ท ำ

    เป็นวยัท่ีเด็กจะเลียนแบบผู้ใหญ่

    ทัง้ด้ำนกำรพดูและกำรกระท ำ

  • เดก็ระยะน้ีเร่ิมแสดงความรับผิดชอบ ตอ้งการความมัน่ใจจากผูใ้หญ่

    วา่ความคิดริเร่ิมของเขา เป็นส่ิงท่ีดี เป็นท่ียอมรับ ควรยอมใหเ้ดก็ท าในส่ิงแปลกใหม่ ใหก้ารแนะน าแต่ไม่ตอ้งช่วยเหลือ

    หากไม่ใหก้ารยอมรับหรือท าแลว้ถูกต าหนิหรือถูกท าโทษ เดก็กจ็ะเกิดความรู้สึกผิด (guilt)

  • ระดบัประถมศึกษา

  • ขั้นที ่4 ความอุตสาหะ พากเพยีร- ความรู้สึกด้อย 6-12 ปี

    วิกฤติของความขดัแยง้กคื็อ

    ความอุตสาหะพากเพียร กบัความรู้สึกดอ้ย เม่ือเดก็เขา้เรียนในระดบัประถมศึกษา เดก็จะเร่ิมเห็นความสัมพนัธ์ระหวา่ง ความอุตสาหะพากเพียรท างาน กบัความสุขท่ีเกิดข้ึนกบัตนเอง หรือจากความส าเร็จท่ีไดรั้บ

  • ในสงัคมยคุใหม่เพื่อนจะมีควำมส ำคญัตอ่เดก็มำกขึน้

    ควำมสำมำรถของเดก็จะพฒันำขึน้

    ทัง้ทำงวิชำกำร

    และกำรท ำกิจกรรมกบักลุม่

    ควำมส ำเร็จสง่ผลให้เด็กเกิดควำมรู้สกึวำ่มีควำมสำมำรถ

    จะทุ่มเทก ำลงักำยและใจท ำกิจกรรมทัง้หลำยด้วยควำมมำนะพยำยำม

    ตรงกนัข้ำม ถ้ำหำกเดก็ท ำกิจกรรมทัง้หลำยไม่ได้

    หรือไมไ่ด้รับกำรยอมรับ

    เขำจะเกิดความรู้สึกด้อยหรือต ่าต้อย

  • ระดบัมธัยมศึกษา

  • ความมีเอกลกัษณ์ – ความสับสนในบทบาท (ขั้นที ่5)

    12-18 ปี

    ระดบัมธัยมศึกษา เดก็อยูใ่นช่วงวยัรุ่น

    จะพยายามค้นหาตนเองเพื่อเห็นภาพตนเอง และก าหนดแนวชีวิตของตนเอง การคน้หาตนเอง อิริคสนัเรียกวา่

    การแสวงหาเอกลกัษณ์แห่งตน (identity)

    นัน่กคื็อ การพยายามตอบค าถามวา่ “ฉนัคือใคร”

  • (ฉันต้องการอะไร มีความสามารถด้านใด เพยีงใด มีความเช่ือหรือยดึมั่นในส่ิงใด อย่างไร

    หรือจะด าเนินชีวติตนเองต่อไปอย่างไร หรือจะเลอืกอาชีพอะไร) อีริคสนัเช่ือวา่

    ความชา้เร็วของการพฒันาเอกลกัษณ์แห่งตน ข้ึนอยูก่บัพฒันาการในขั้นตน้วา่

    ไดผ้า่นวกิฤติความขดัแยง้มาดว้ยดีหรือไม่ ถา้ผา่นมาดว้ยดี จะช่วยใหค้น้พบและเห็นภาพตวัเองไดเ้ร็ว

    และสามารถก าหนดแนวชีวติตนได ้ ในทางตรงขา้มถา้ไม่ดี

    กจ็ะเกดิความสับสนในบทบาทตนเอง (role confusion)

  • 4 กลุ่มของวุฒิภาวะเอกลกัษณ์

    1. ภาวะเอกลกัษณ์สับสน (identity diffusion)

    เดก็ยงัสรุปไม่ไดว้า่จะเป็นอะไร ประกอบอาชีพใด หรือบทบาทใดท่ีควรจะเป็น ยงัไม่มีทิศทางแน่นอน ไม่สนใจแสวงหาความเป็นไปของตนเองในอนาคต

    จะมีความคิดในลกัษณะท่ีวา่ “ชีวติข้างหน้าจะเป็นอย่างไรกเ็ป็นไป ปล่อยไปตามน า้

    ไม่อยากคดิถงึอนาคต”

  • 2. ภาวะทีอ่ยู่ระหว่างการเลอืกเอกลกัษณ์ (moratorium)

    ภาวะน้ีคลา้ยกบัภาวะเอกลกัษณ์สบัสนตรงท่ีวา่ ยงัไม่สามารถคน้พบตนเอง

    ก าลงัพิจารณาเลือก/ยงัไม่ก าหนดเอกลกัษณ์อยา่งใดอยา่งหน่ึง แต่แตกต่างกนั ตรงท่ีภาวะเอกลกัษณ์สบัสน

    ยงัไม่มีความคิดท่ีจะเลือก และยงัไม่มีทางเลือก แต่ภาวะการเลือกเอกลกัษณ์มีตวัเลือกของเอกลกัษณ์แลว้

    แต่ยงัไม่ตดัสินใจ ยงัลงัเลท่ีจะผกูมดัตวัเองกบัอาชีพใดอาชีพหน่ึง

    หรือด าเนินชีวิตในแนวใดแนวหน่ึง

  • 3. ภาวะทีเ่ลอืกเอกลกัษณ์ตามแบบบุคคลทีมี่ความส าคญั (foreclosure)

    เป็นสถานการณ์ท่ีวยัรุ่นยงัไม่ไดศึ้กษา หรือพิจารณาเอกลกัษณ์ทั้งหลาย

    แต่ได้ตัดสินใจผูกมัดตัวเองกบัเป้าหมาย

    ค่านิยม และวถิีชีวติอย่างใดอย่างหน่ึง

    โดยยดึตามแบบอยา่งของบุคคลใดบุคคลหน่ึงเป็นหลกั เช่น คิดวา่จะยดึวิถีชีวิตคลา้ยพอ่แม่

    หรือเลือกอาชีพเดียวกบัพอ่ เป็นตน้

  • 4. ภาวะเอกลกัษณ์สัมฤทธ์ิ

    (identity achievement)

    เป็นภาวะทีว่ยัรุ่นได้ค้นพบ ตัดสินใจเลอืกวถีิชีวติของตัวเอง

    หลงัจากได้คดิพจิารณาทางเลอืกทั้งหลายอย่างดีแล้ว

  • มีขอ้สงัเกตวา่ นกัเรียนในระดบัมธัยมศึกษาจ านวนไม่มากนัก ท่ีบรรลุภาวะเอกลกัษณ์สมัฤทธ์ิ

    จ านวนหน่ึงเลือกเอกลกัษณ์โดยไม่ได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบ ดูจากการเลือกสาขาวิชา หรือคณะท่ีสอบเขา้มหาวิทยาลยั

    เดก็ส่วนหน่ึงเลอืกตามอาชีพเดิมของผู้ปกครอง หรือเลอืกตามบุคคลทีเ่ด็กนิยมและศรัทธา

    อีกจ านวนหน่ึงยงัตัดสินใจไม่ได้วา่จะเลือกเรียนอะไร บา้งกเ็ลือกตามเพื่อน ตามท่ีผูป้กครองตอ้งการ

    เน่ืองจากอยูใ่นระหวา่งการตดัสินใจ

    หรือไม่กย็งัสับสนในภาพลกัษณ์ของตนเอง

  • พฒันาการในระยะหลงัวยัเรียน

  • ขั้นที ่6 ความรู้สึกผูกพนั-ความรู้สึกโดดเดี่ยว 18-35 ปี วยัผู้ใหญ่ตอนต้น

    เป็นเร่ืองของความผกูพนักบัผูอ่ื้นอยา่งลึกซ้ึง ปมขดัแยง้ท่ีเกิดข้ึนกคื็อ ความรู้สึกผูกพนัตรงข้ามกบัความโดดเดี่ยว

    จากการท่ีไดมี้ใครคนหน่ึงท่ีเป็นคู่คิด รับฟังปัญหาซ่ึงกนัและกนั และเขา้ใจกนัและกนั

    ผู้ทีบ่รรลุเอกลกัษณ์สัมฤทธ์ิได้ด้วยดี กจ็ะสามารถพฒันาความรู้สึกผูกพนันีไ้ด้ด้วยดี

    ตรงกนัขา้ม ผูท่ี้ไม่สามารถหาเอกลกัษณ์ของตนเองได ้ จะมีแนวโนม้ท่ีกลวัการมีส่วนร่วมกบัผู้อืน่ ซ่ึงจะพฒันาเป็นความรู้สึกโดดเด่ียวต่อไป

  • เม่ือย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง (35-65 ปี)

    จะเกิดควำมรู้สกึอยากดแูลผู้อ่ืน

    เช่น อยากอบรมเลีย้งด ู ปลกูฝังให้ลกูหลำนเป็นพลเมืองดี

    อยากท าคุณประโยชน์แก่เยำวชนรุ่นหลงัตอ่ไป (generativity) แตต้่องมีพฒันำกำรขัน้พืน้ฐำนก่อนหน้ำมำแล้วอยำ่งด ี

    มิเช่นนัน้จะเกิดควำมรู้สกึท้อถอย เฉ่ือยชา (stagnation)

  • ถ้ำหำกบคุคลผำ่นพฒันำกำรทำงจิตสงัคมทัง้ 7 ขัน้ข้ำงต้นมำด้วยดี ก็จะเกิดความรู้สึกสมบูรณ์และสมหวังในชีวิต

    จะยอมรับตนเองอย่างเตม็เป่ียม (ego integrity)

    ในทำงตรงข้ำม

    ถ้ำไมเ่หมำะสม ก็จะเกิดควำมรู้สกึสิน้หวังในชีวิต (despair) วิกฤติขดัแย้งนีจ้ะเกิดขึน้

    ในระยะวยัผู้ใหญ่ตอนปลำย (65 ปีขึน้ไป) ซึง่เป็นขัน้สดุท้ำยของพฒันำกำรทำงจิตสงัคม

  • แนวทางการสร้างเสริมความคดิริเร่ิมส าหรับเดก็อนุบาล

    • ส่งเสริมให้เด็กคิดหาทางเลอืกและให้โอกาสเด็กท าในวธีิการที่เด็กเลอืก

    • ตวัอยา่ง – เปิดโอกาสให้เด็กเลอืกท ากจิกรรมท่ีเขาชอบในชัว่โมงอิสระ – หลกีเลีย่งการขัดขวางหรือรบกวนเด็กในขณะท่ีเขาก าลงัท ากิจกรรมบางอยา่ง

    – เม่ือเดก็เสนอวา่อยากท ากิจกรรมอะไร จงให้ความสนใจข้อเสนอนั้น และใหเ้ดก็ท ากิจกรรมท่ีเขาเสนอ

  • • เตรียมและเสนอกจิกรรมทีแ่น่ใจว่าเดก็สามารถท าได้

    • ตวัอยา่ง – เม่ือเสนอกิจกรรมหรือเกมใหม่ ๆ ท่ีเขาไม่เคยท ามาก่อน จงสอนใหเ้ดก็ท าเป็นขั้นตอน ใหเ้ขา้ใจง่าย ๆ

    –ถา้เดก็ในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกนั จงหลีกเล่ียงการแข่งขนั

  • • ส่งเสริมการเล่นบทบาทสมมุต ิโดยให้เดก็มีโอกาสแสดงหลายบทบาท

    • ตวัอยา่ง – เล่านิทานพร้อมกบัมีอุปกรณ์ประกอบ ส่งเสริมใหเ้ดก็ไดแ้สดงบทบาทตามบทนิทานพร้อมกบัใหเ้ดก็แสดงเพ่ิมเติมนอกบท หรือใหเ้ดก็แสดงท่าทาง หรือลกัษณะต่าง ๆ ของตวัละครตามจินตนาการของเดก็

    –ใหเ้ดก็เล่นบทบาทของตวัละครต่าง ๆ ตามท่ีเขาชอบและให้เปล่ียนบทบาทเป็นตวัละครอ่ืน ๆ เช่น เป็นครู แลว้เปล่ียนเป็นแม่ พอ่ นกัเรียน เป็นตน้

  • • จงอดทนต่ออุบัติเหตุทีอ่าจเกดิจากการท ากจิกรรมของเด็ก และให้ก าลงัใจในความพยายามของเด็ก

    • ตวัอยา่ง – ในการท ากิจกรรมบางอยา่ง เช่น เทน ้าจากภาชนะใบหน่ึงสู่ภาชนะอีกใบหน่ึง น ้ าอาจจะหกสกปรกเลอะเทอะ เราตอ้งอดทนต่อส่ีงท่ีเกิดข้ึน ไม่ควรต าหนิเดก็ ทางท่ีดีควรหาวิธีป้องกนัโดยการเตรียมอุปกรณ์ท่ีง่ายต่อการเทน ้า เช่น เหยอืกน ้า เพื่อไม่ใหน้ ้ าหกหรือลน้ออกมาง่าย ๆ

    – เม่ือเดก็ท ากิจกรรมตามท่ีก าหนด แมผ้ลท่ีปรากฏจะไม่เป็นไปตามท่ีคาดไว ้หรือไม่เป็นท่ีน่าพอใจ กค็วรแสดงการยอมรับในความพยายามของเดก็

  • แนวทางการสร้างเสริมความอุตสาหะพากเพยีร ส าหรับเด็กประถมศึกษา

    • ส่งเสริมให้เด็กก าหนดเป้าหมายที่ไม่ไกลความจริง และให้โอกาสเด็ก

    ท างานเพือ่บรรลุเป้าหมายน้ัน

    • ตวัอยา่ง – ในระยะแรก ๆ ควรมอบหมายงานท่ีใชเ้วลาท าสั้น ๆ แลว้ค่อยใหง้านท่ีใชเ้วลาท ายาวข้ึน ดูแลการท างานของเดก็ และคอยตรวจสอบความกา้วหนา้ของเดก็

    – สอนใหเ้ดก็ก าหนดเป้าหมายในการท างานอยา่งมีเหตุผล แลว้ใหเ้ดก็บนัทึกความกา้วหนา้ของตนจากการท างาน เพื่อใหบ้รรลุเป้าหมายท่ีก าหนด

  • • ให้เด็กมีโอกาสท างานอย่างอสิระ และมีความรับผดิชอบ

    • ตวัอยา่ง – ใหโ้อกาสเดก็ท างานตามล าพงั แมว้า่เขาจะท างานผดิพลาดกต็าม – มอบหมายหนา้ท่ีรับผดิชอบใหเ้ดก็ท า เช่น รดน ้าตน้ไม ้ดูแล และเกบ็รักษาหอ้งเรียน ท าความสะอาดชั้นเรียน ดูแลแผน่ป้ายหนา้ชั้นเรียน ฯลฯ

  • • ให้การเสริมแรงแก่เด็กทุกคนอย่างทัว่ถึง

    • ตวัอยา่ง – ควรมีแบบบนัทึกความกา้วหนา้ของเดก็แต่ละคนในการท ากิจกรรม หรือเรียนในรายวิชาต่าง ๆ แลว้เสนอภาพความกา้วหนา้ในรูปแผนภูมิ หรือกราฟ เพื่อใหเ้ดก็ประเมินความกา้วหนา้ของตนเอง

    – ควรใหร้างวลัหรือชมเชยแก่เดก็ท่ีมีผลงานกา้วหนา้มากท่ีสุด หรือขยนัหมัน่เพียรมากท่ีสุดในรอบเดือน หรือในภาคเรียนหน่ึง ๆ

  • แนวทางในการส่งเสริมให้เดก็ในระดบัมัธยมศึกษา พฒันาเอกลกัษณ์แห่งตน

    • เสนอตัวแบบ (Model) เพือ่ให้เด็กพจิารณาทางเลอืกในบทบาท และ

    แนวทางอาชีพ

    • ตวัอยา่ง – ช้ีใหเ้ดก็เห็นตวัแบบจากหลายๆ แหล่ง และหลายๆ แบบ เช่น จากละครในวรรณคดี จากบุคคลในประวติัศาสตร์ ผูน้ าชนกลุ่มนอ้ย หรือบุคคลท่ีมีช่ือเสียงในปัจจุบนั

    – เชิญวิทยากรหลาย ๆ สาขาวิชาชีพมาบรรยายเก่ียวกบัวิธีการและเหตุผลท่ีเขา้สู่อาชีพนั้น

  • • ให้ข้อมูลเกีย่วกบัลกัษณะของงานอาชีพทีเ่หมาะสมกบัเด็ก

    • ตวัอยา่ง – จดันิทรรศการเก่ียวกบัโลกของงาน เพื่อใหร้ายละเอียดในเร่ืองคุณสมบติัพื้นฐานของผูท่ี้จะเขา้สู่โลกของแต่ละอาชีพ เช่น ความสามารถ บุคลิกภาพ ฯลฯ รวมทั้งลกัษณะงาน ความกา้วหนา้ และแหล่งของงาน

    – จดัอภิปรายเก่ียวกบับุคลิกภาพและความสามารถท่ีเหมาะสมกบัแต่ละอาชีพ โดยเชิญวิทยากรจากหลาย ๆ อาชีพ

  • • จงอดทนต่อพฤติกรรมประเภททีว่ยัรุ่นนิยมชมชอบส่ิงใดส่ิงหน่ึงแบบบ้าคลัง่

    • ตวัอยา่ง – ใหเ้ดก็มีอิสระพอสมควรเก่ียวกบัการท่ีเขาจะนิยมชมชอบบุคคล ส่ิงของ หรือ แฟชัน่ เช่น การนิยมชมชอบนกัดนตรี นกัร้อง ดารา การแต่งกาย หรือทรงผม โดยท่ีการนิยมชมชอบนั้นไม่ก่อใหเ้กิดความเดือดร้อน และเป็นอุปสรรคต่อการเรียน

    – จดัอภิปราย หรือปาฐกถาเก่ียวกบัเร่ืองท่ีเดก็นิยมชมชอบโดยวทิยากรจากภายนอก

  • • ให้ข้อมูลย้อนกลบัทีเ่ป็นจริงแก่เด็ก เพือ่ให้เขาเห็นภาพของตัวเขาเอง

    • ตวัอยา่ง – ใหเ้ดก็ทราบค าตอบหรือผลงานของตนเอง แลว้เปรียบเทียบกบัผลงานของเดก็อ่ืน ๆ ท่ีมีความสมบูรณ์หรือเป็นตวัอยา่งท่ีดี เพื่อให้เดก็ประเมินตนเอง

    – ใหเ้ดก็จบัคู่กบัเพื่อนสนิทท่ีสุด แลว้ใหเ้พื่อนแต่ละคู่อธิบายและวิจารณ์ลกัษณะนิสยัและพฤติกรรมซ่ึงกนัและกนั