Author
others
View
3
Download
2
Embed Size (px)
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
การอ่านคือขุมทรัพย์ที่ขุดขึ้นมาได้ไม่มีวันหมด
— BiscuitBus
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
BiscuitBus เขียน
สํ า นั ก พิ ม พ์ อ รุ ณ ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑ ผู้เขียน BiscuitBus
สำนักพิมพ์อรุณ
ในเครือบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ๓๗๘ ถนนชัยพฤกษ์ (บรมราชชนนี) เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๒-๙๙๙๙ ต่อ ๔๙๖๔, ๔๙๖๙โทรสาร ๐-๒๔๓๔-๓๕๕๕, ๐-๒๔๓๔-๓๗๗๗, ๐-๒๔๓๕-๕๑๑๑ E-mail: [email protected]
สงวนลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. ๒๕๓๗ ห้ามคัดลอกเนื้อหา ภาพประกอบ รวมทั้งดัดแปลงเป็นแถบบันทึกเสียง ตลับวีดิทัศน์ หรือเผยแพร่ด้วยรูปแบบและวิธีการอื่นใดก่อนได้รับอนุญาต
สื่อดิจิตอลนี้ให้บริการดาวน์โหลดสำหรับผู้รับบริการตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น การทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ ไม่ว่าวิธีใดๆ นอกเหนือจากเงื่อนไขที่กำหนด ถือเป็นความผิดอาญา ตาม พรบ. ลิขสิทธิ์ และ พรบ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 978-616-18-0531-9
เจ้าของ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)กรรมการผู้จัดการใหญ่ ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์บรรณาธิการอำนวยการ อุษณีย์ วิรัตกพันธ์บรรณาธิการ ลดาวัลย์ นงลักษณ์บรรณาธิการต้นฉบับ ภัทรียา จินตไพจิตรศิลปกรรมผู้ออกแบบปก ดวงหทัย มิตตอุทิศชัยกุลตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ เป็นเรื่องราวของคนสองคนที่มีฐานะแตกต่าง
แต่กลับมาพบกันโดยบังเอิญ หนึ่งคือ ไต้หยี่ จอมยุทธ์หญิงผู้สืบทอดดาบสวรรค ์
วิชามารที่ร้ายกาจ ทว่าคนรอบข้างกลับเห็นว่าเธอเป็นชายหนุ่มขี้เล่น ทรงเสน่ห์
ซึ่งใช้วิชาแปลกประหลาด ส่วนอีกหนึ่งคือ จ้าวเหลียนหยา ซึ่งทั่วหล้าทราบว่า
เป็นพระขนิษฐาผู้งดงามและเป็นที่รักขององค์ฮ่องเต้ หากความจริงแล้วเขาเป็น
พระอนุชา!
อย่างไรก็ดี ด้วยเนื้อหาทั้งเรื่องความรัก การต่อสู้ และการผจญภัยใน
นวนิยายเรื่องนี้ค่อนข้างยาว ทางสำนักพิมพ์จึงต้องแบ่งเรื่องราวออกเป็นสามเล่ม
เพื่อให้ผู้อ่านได้เต็มอิ่มกับจินตนาการของผู้เขียนตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงบทสรุป
อย่างจุใจ
สำนักพิมพ์อรุณขอต้อนรับ BiscuitBus นักเขียนผู้มีฝีมือในการเขียน
บทสนทนาได้อย่างน่าสนใจและมีนักอ่านในหมวดนิยายกำลังภายในติดตาม
มากมายอย่างเป็นทางการด้วยค่ะ
สำนักพิมพ์อรุณ
มีนาคม ๒๕๕๘
คำนำสำนักพิมพ์
ตวัอย่าง
คำนำผู้เขียน
นานมาแล้วตั้งแต่หนมปังอยู่ประถม ตอนเย็น ๆ ทางทีวีจะมีซีรี่ส์จีนกำลัง-
ภายในฉายเป็นประจำ จำได้ว่าพอกลับมาจากโรงเรียนหนมปังต้องวิ่งหน้าตั้งมาดู
พอดูแล้วรุ่งขึ้นก็จะเอาไปคุยกับเพื่อน
พอได้มีโอกาสหานิยายจีนกำลังภายในจริง ๆ มาอ่านยิ่งติดใจค่ะ เสน่ห์ของ
นิยายกำลังภายในเป็นแบบเฉพาะตัวมาก ไม่ใช่แค่พวกลมปราณจอมยุทธ์ที่เป็น
เอกลักษณ ์ แต่นิยายกำลังภายในจะมีความบ้าคลั่ง ความสุดโต่งอยู่ในคาแร็คเตอร ์
อยู่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งถ้าไปโผล่ในนิยายชนิดอื่นแล้วจะแปลกประหลาด แต่ถ้าเป็น
กำลังภายในกลับทำให้สนุกมาก
ตัวหนมปังในฐานะที่ชอบเขียนนิยายอยู่แล้ว ก็มีความปรารถนาลึก ๆ
อยากจะเขียนนิยายกำลังภายในขึ้นมาสักเรื่อง อย่างน้อยก็แสดงความนับถือ
ระบายความชอบความชื่นชมในนิยายจีนกำลังภายในออกมาเป็นงานสักงาน
ซึ่งก็คือ ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ เรื่องนี้นี่เอง
ตอนแรกที่หนมปังเขียนเรื่องนี้ หนมปังมีความกังวลใจหลายอย่างทีเดียว
ค่ะ ทั้งความเป็นกำลังภายในที่ไม่ใช่กำลังภายในแท้ ความเป็นจีนโบราณที่ไม่ใช่
จีนแท้ (แน่นอนค่ะ หนมปังเป็นคนไทยนี่นา) ทั้งยังพูดถึงการเมืองการปกครอง
อยู่พอควร พระเอกนางเอกก็ไม่ค่อยปกติ (ฮา) คนอ่านจะรับสองคนนี้ได้ไหม
การเมืองและเรื่องกำลังภายในในนิยายจะสื่อสารออกมายังไง ไหนจะการเขียน
ซีนต่อสู้ ซีนรบทัพจับศึก บลา ๆ ๆ
ปรากฏว่าพออัพโหลดขึ้นเว็บเด็กดี นักอ่านหลายท่านมีฟีดแบ็กกลับมา
ในทางที่ดี ยังมีคนบอกว่าชอบพระ - นางเพี้ยน ๆ คู่นี้อีกด้วย หนมปังซาบซึ้งใจ
นักอ่านทุกท่านและขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
ไต้หยี่และเหลียนหยาถูกเปรียบเทียบเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ สองคน
ในแผ่นดินกว้างใหญ่ ต่างที่มา ต่างชาติกำเนิด บังเอิญได้มาเจอกันท่ามกลาง
ตวัอย่าง
ความวุ่นวายทางการเมือง ค่อย ๆ เติบโตในหน้าที่ ในมุมมอง ในความรัก
ในความเป็นตัวของตัวเอง
หนมปังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะสนุกไปกับนิยายเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น
เมื่อท่านอ่านจนจบ ท่านจะได้แรงบันดาลใจและมุมมองบางประการผ่านการเติบโต
ของตัวเอกสองคนนี้ด้วยเช่นกัน
ชื่อดินแดน ชื่อคน สถานที่ และเหตุการณ์ในเรื่อง เป็นจินตนาการของ
หนมปังทั้งหมด ไม่ได้อ้างอิงหรือเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของจีนเลยไม่ว่า
ช่วงไหนนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสค่ะ
BiscuitBus
มีนาคม ๒๕๕๘
ตวัอย่าง
มู่ตงซินพลันเงียบงันอีกครั้ง
“อาหยี่...เหตุใดเจ้าจึงไม่เกิดมาเป็นชาย”
“ท่านคงต้องถามเอากับสวรรค์”
ไต้หยี่หัวเราะ
“บ่าวไม่เคยกังวลถึงเรื่องนี้
จะชายจะหญิง บ่าวก็ยังเป็นบ่าว
เหตุใดคุณชายจึงกังวลแทนบ่าว”
ตวัอย่าง
ตวัอย่าง
1
๑ฝนห่าใหญ่
เสียงรองเท้า กระทบพื้นเป็นจังหวะ ทางเดินที่นำไปสู่กลาง ลานบ้านตระกูลมู่นั้นถูกเหยียบผ่านหลายพันหลายร้อยหนจนเป็นช่อง ชายชรา
ในชุดยาวสีเทาเข้มตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีอย่างคหบดีสะบัดแขนเสื้อไพล่หลังข้างหนึ่ง
อีกข้างลูบหนวดเคราหงอกขาวที่งอกยาวถึงอกเสื้อ ทั้งกายไม่มีเครื่องประดับใด
นอกจากปิ่นหยกเก่าแก่มวยผม ก้าวย่างแผ่วเบาจนแทบไร้สุ้มเสียงราวกับเชี่ยวชาญ
วิชาตัวเบา
ปีนี้มู่หลงอายุห้าสิบปี ร่างสูงกลับไม่ผ่ายผอมไม่หย่อนคล้อยอย่างชายชรา
ทั่วไปควรเป็น ความคิดอ่านท่วงท่ายังเฉียบคมแจ่มใส ยามก้าวเข้าใกล้ลานบ้าน
หูทั้งสองข้างยังได้ยินเสียงดาบกระบี่กระทบกันดังขึ้นไม่หยุดยั้ง บ่าวไพร่ผู้มีวรยุทธ์์
กำลงัฝกึฝนแขง็ขนั ชายชราพาตวัเองยนือยูต่รงขา้งเสา ยดืกายชมดรูบัรูก้ระแสเสยีง
ที่เปล่งจากลมปราณ บ่าวชายต่างจับคู่ฝึกฝนอยู่เต็มลานโล่งนับได้ห้าหกคู่ ล้วนมี
สมาธิจนมองไม่เห็นนายท่านของตนที่ยืนอยู่
มู่หลงพยักหน้าชื่นชมได้ครั้งหนึ่งก็กลับทอดถอนใจสองครั้ง ตระกูลมู่
ทำกิจการคุ้มภัย บ่าวไพร่ทั้งหมดล้วนคล่องแคล่วมีวรยุทธ์์ อยู่ในระเบียบวินัย
แต่บุตรชายของเขากลับเหลวไหลไม่ร่ำเรียน ดีแต่กินดื่มร้องรำทำเพลง น่าหนักใจ
อย่างยิ่ง
มู่ตงซินเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาที่สาม มู่หลงตบแต่งมาเพื่อให้รับใช้
ฮูหยินแรกของตนที่ล้มป่วยลง ภรรยาที่สองนั้น นางมีร่างกายอ่อนแอ จึงเสียชีวิต
ขณะคลอดบุตรีคนที่สาม มู่ตงซินเป็นบุตรคนรอง เดิมทีนั้นเติบโตอย่างสบายใจ
ตวัอย่าง
BiscuitBus
2
ไม่เคยมีเรื่องกังวล อายุเพียงสิบขวบยังคงวิ่งเล่นทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ครั้น
บุตรคนโตของมู่หลงเสียชีวิตลง มู่ตงซินจึงต้องรับภาระสืบสกุล ถูกบิดาจับมา
เรียนอ่านเขียนท่องกลอน มู่ตงซินก็อาละวาดโวยวายเฉไฉ ไม่เคยทำให้ดี
คิดแล้วมู่หลงก็ระบายลมหายใจอีกหน จะโทษใครได้นอกจากบิดาอย่างเขา
จะมีบุตรอีกคนเขาก็ชรามากเสียแล้ว ทั้งร่างกายจิตใจล้วนเหน็ดเหนื่อยกับความรัก
อาลัยฉันชู้สาว ตระกูลมู่ทั้งสิ้นจึงอยู่แต่ในมือมู่ตงซิน บัดนี้มันอายุสิบสอง
ยังไม่ร่ำไม่เรียนเอาแต่เที่ยวเล่นเกียจคร้าน ไม่ทราบจะอบรมอย่างไร
ฉับพลันปรากฏร่างหนึ่งที่อีกฟาก มู่หลงทอดสายตามองเงาร่างเด็กน้อย
ในชุดบ่าวสีเข้มกำลังหาบคอนถังน้ำใหญ่สองใบ น้ำหกกระฉอกเล็กน้อยตลอดทาง
แสดงว่าบรรจุน้ำเต็มทั้งสองถัง ก้นถังนั้นแทบลากไปกับพื้น แต่เจ้าของร่างนั้นกลับ
อ้าปากร้องเพลงพื้นบ้าน ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ท่วงท่าคล่องแคล่ว เรี่ยวแรงดี
ไม่เหมือนเด็ก
มู่หลงหรี่ตาพิจารณา เขาย่างเท้าตัดกลางลาน เบี่ยงกายหลบบ่าวที่กำลัง
ฝึกปรืออย่างคล่องแคล่ว ไม่กี่ก้าวก็ไปถึงตัวบ่าวน้อยผู้นั้น
“เจ้า...” มู่หลงส่งเสียง บ่าวน้อยหยุดปากร้องเพลง วางหาบน้ำลง ประสานมือ
คุกเข่าต่อหน้านายท่าน มู่หลงสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อยกล่าว “เงยหน้า...เจ้าคือ...”
“เรียนนายท่าน บ่าวเรียกว่าไต้หยี่” มันเงยหน้าตอบฉาดฉาน ท่วงท่า
กราบกรานแต่แววตาเจิดจ้ากล้าหาญ มู่หลงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องอา
“ที่แท้เป็นเจ้าที่มาจากวัดเส้าหลิน” มู่หลงรำพึงกับตน ไต้หยี่พลันค้อม
ศีรษะลงกล่าวอีก
“บุญคุณนายท่าน ไหนเลยไต้หยี่จะจดจำไม่ได้” มันว่า “บ่าวสูญเสียพ่อแม ่
ในเหตุโรคระบาด เป็นนายท่านที่เมตตาชุบเลี้ยง พามาด้วยกับขบวนส่งสินค้า
เลี้ยงดูให้เป็นบ่าวตระกูลมู่”
สุม้เสยีงเดก็นอ้ยสัน่เครอือยา่งสะเทอืนใจ มูห่ลงลบูหนวดเครา กอ่นหนา้นัน้
ระหว่างส่งสินค้าเที่ยวหนึ่ง มู่หลงได้แวะไปที่เหอหนาน รั้งอยู่สนทนากับไต้ซือ
ท่านหนึ่งที่เคยคบหาเป็นสหาย ท่านกำลังพำนักอยู่เส้าหลิน เมื่อได้ทราบเหตุ
โรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านข้างเคียง มู่หลงจึงรับอุปการะเด็กน้อยห้าหกคน
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
3
ให้เป็นบ่าว เด็กน้อยนี่คงอยู่ในกลุ่มนั้น
คิดแล้วมู่หลงจึงกล่าว
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร”
“เรียนนายท่าน บ่าวอายุสิบปีสองเดือน”
มู่หลงตวัดสายตาไปที่ถังน้ำใหญ่สองใบข้างกายมันแล้วกล่าวอีก “ถังน้ำ
สองใบนั่นหนักมากหรือไม่”
“ไต้หยี่รู้จักวิธีหาบ ไต้หยี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว นายท่าน”
มู่หลงขยับแย้มยิ้ม ได้ยินคำตอบอันฉาดฉานจึงนึกน่าเล่น “เหตุใดจึงเรียก
ตนเองว่าผู้ใหญ่ เจ้าอายุเท่าไรจึงจะเรียกตนเองว่าผู้ใหญ่ ไม่ต้องรอให้สูงเท่าข้า
หรือผมหงอกก่อนจึงจะเป็นผู้ใหญ่หรือ”
ไตห้ยีน่ิง่งนัไป มนัเงยหนา้มองนายทา่น ขมวดคิว้ราวคดิอา่นวุน่วาย กอ่นจะ
กลา่วตอบ “เรยีนนายทา่น อาผูช้ายบา้นขา้งเคยีงสามารถยกกระสอบขา้วไดท้ลีะสอง
อาท่านนั้นกล่าวว่าเป็นผู้ใหญ่จึงจะทำได้ บัดนี้ไต้หยี่ทำได้แล้ว จึงถือว่าเป็นผู้ใหญ่”
มูห่ลงไดย้นิกข็มวดคิว้ ลบูเคราครุน่คดิชัว่อดึใจแลว้จงึกลา่ว “ยืน่มอืเจา้มา”
ไตห้ยีร่อ้นรนขดัเขา่เขา้ใกล ้ ยืน่สง่มอืนอ้ย มูห่ลงเดมิทเีปน็จอมยทุธ์ผ์าดโผน
ในยุทธจักร์ตั้งแต่ยังหนุ่ม มีวิชาติดกายหลายอย่าง ครานี้จึงยื่นมือแตะชีพจร
ไตห้ยีต่รวจสอบ ครัน้แตะตอ้งเสน้ลมปราณกใ็หต้กใจอยา่งยิง่จนถอยหลงัไปครึง่กา้ว
อุทานดังอากล่าวขึ้น
“เหตุใดเจ้าจึงเดินลมปราณอยู่”
ไต้หยี่ส่ายศีรษะ ไม่มีแววมุสาในสีหน้า “ลมปราณคือตัวอะไร บ่าวไม่รู้จัก”
มู่หลงครุ่นคิดอีก ก่อนจะกล่าว “เจ้าไปเรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่มาจากที่ใด”
ไตห้ยีก่ลา่วอกี “เรยีนนายทา่น บา่วถกูกกัขงัในหอหนึง่ในวดั มภีาพวาดมสุกิ
ในตัวมนุษย์อยู่รอบ ๆ ผนัง มุสิกเหล่านั้นพอไต่อยู่ในตัวบ่าวกลับทำให้แรงเยอะ
และหลับสบาย”
มูห่ลงครุน่คดิตามคำกลา่ว นกึไดว้า่เสา้หลนิมหีอฝกึตน ไดย้นิมาวา่ตอนเกดิ
โรคระบาดทางวัดกวาดต้อนเด็ก ๆ เข้าไปในนั้นหลายสิบวัน หรือว่าเด็กคนนี้
“เจ้าดูรูปมุสิกเหล่านั้นแล้วทำได้เองอย่างนั้นหรือ” มู่หลงกล่าวขึ้น “ไม่มี
ตวัอย่าง
BiscuitBus
4
ผู้ใดชี้แจง เจ้าให้มุสิกนั้นไต่ในตัวเจ้าได้เอง”
ใบหน้านั่นยิ้มแป้นพยักหงึกหงัก มู่หลงปรายตามองก่อนจะกล่าวออกไป
“ไต้หยี่เอ๋ย เจ้ารู้หนังสือหรือไม่”
“นายทา่นจดัใหบ้า่วรำ่เรยีน บา่วไมก่ลา้บดิพลิว้ บดันีบ้า่วพออา่นออกเขยีนได ้
บ้างแล้ว”
มู่หลงพยักหน้า ยิ้มแย้มชื่นชม “ปัจจุบันเจ้าทำหน้าที่ใดอยู่”
“พ่อบ้านสือจัดให้บ่าวช่วยงานครัว หากบ่าวทำงานได้รวดเร็ว จะได้เข้าไป
ฝึกอ่านเขียนในหอ”
“จากนี้ไม่ต้องแล้ว” มู่หลงกล่าว “ข้าจะแจ้งต่อพ่อบ้านสือเอง เจ้าไปเป็น
บ่าวรับใช้ให้ตงซินลูกข้า หากมันเรียนสิ่งใด เจ้าก็เรียนด้วย หากมันเล่นสิ่งใด
เจ้าก็เล่นด้วย”
ไต้หยี่เอียงหน้าครุ่นคิด ก่อนจะพูดไปอย่างไร้เดียงสา “นายท่าน คุณชาย
ไม่ชมชอบให้บ่าวเล่นด้วย บ่าวขัดคุณชายไม่ได้”
มู่หลงหัวเราะในลำคอ “เขาไม่ชมชอบเจ้าด้วยเหตุผลใด”
“คุณชายกล่าวว่าบ่าวเป็นหญิง ไม่ควรเล่นกับชาย”
คิ้วหงอกขาวของมู่หลงเลิกขึ้น นี่น่าประหลาดใจ แต่ไม่สำคัญ สำคัญคือ
หากได้เด็กน้อยนี้อยู่ใกล้ ๆ มู่ตงซินที่เหลวไหลอาจนึกต้องการเอาชนะ เป็นแรง
ผลักดันให้เอาดีได้ประการหนึ่ง
ชายชรารวบรวมคำพูดแล้วกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็ขัดใจมันเสียสิ”
ชายชราน้อมกายลง กระซิบกระซาบคล้ายชักชวนล้อเล่น “เจ้ามีทั้งแรง มีทั้ง
ความรู้ หากเอาชนะได้ก็จงเอาชนะมันเสีย”
“บ่าวทำได้หรือ” ไต้หยี่เบิกตาโต “ไม่ต้องยินยอมพ่ายแพ้ให้คุณชายแต่
ฝ่ายเดียว”
มูห่ลงยดือกกลา่วอยา่งผึง่ผายแตป่รากฏวีแ่ววหยอกลอ้ หารูไ้มว่า่ถอ้ยคำนัน้
ได้ผูกพันไต้หยี่ไปจนเติบใหญ่ในภายหลัง
“ข้าอนุญาต” มู่หลงกล่าว “จงเห็นว่ามันเป็นคู่แข่งเป็นสหาย หากเอาชนะ
มันได้ก็จงเอาชนะ ถึงเป็นบ่าวก็อย่าให้มันได้รังแกเจ้า”
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
5
ไตห้ยีป่ระดบัมมุปากดว้ยรอยยิม้อนัรา้ยกาจหนึง่รอย โขกศรีษะขอบพระคณุ
มู่หลงกับพื้นเสียงดัง
แท้จริงแล้วก่อนหน้านั้นไม่นาน ไต้หยี่และคุณชายมู่ตงซินได้ทะเลาะเบาะแว้ง
จนถึงขั้นใช้กำลังใส่กัน
เด็กสองคนนี้อายุห่างกันสองปี แต่มู่ตงซินไม่ชอบคบค้ากับเพื่อนวัยเดียวกัน
ลูกชายชาวบ้านที่มีฐานะต่างพากันไปฝากตัวเป็นศิษย์ของบัณฑิต มีแต่มู่ตงซิน
ที่คร้านเรียนจึงเอาแต่ขลุกกับเด็กชายอายุน้อยกว่า ตั้งตนเป็นพี่ใหญ่ อาศัย
ตัวสูงใหญ่ที่สุด
เดิมไต้หยี่เป็นลูกชาวบ้าน พ่อแม่มันเป็นคนไม่ถือพิธีรีตอง ตั้งชื่อลูกสาวว่า
‘ฝนห่าใหญ่’ ไม่ยอมเปลี่ยน เด็กในหมู่บ้านถือไต้หยี่เป็นตัวอัปมงคล พากันรังแก
เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะสู้กับคนหมู่มากเอาตัวรอดแต่เด็ก ไม่มีใครให้พึ่งพาก็ไม่เป็นไร
ครั้นมาอยู่บ้านสกุลมู่ก็ถือเอานิสัยนี้ติดมา พอไต้หยี่โดนรังแกก็สู้กลับเถียงกลับ
ไม่เคยยอมแพ้ ขุดเอานิสัยเสียของมู่ตงซินมาประจาน เรียกขานเป็นคุณชาย
ลูกเต่าบ้าง ลูกสุนัขบ้าง มู่ตงซินจนใจไม่กล้าฟ้องมู่หลง
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เด็กทั้งคู่ชกต่อยกันกลางบ้าน บ่าวเด็กน้อยทั้งหลาย
มงุดสูง่เสยีงสนบัสนนุกนัสนกุสนาน สดุทา้ยไตห้ยีก่เ็ปน็ฝา่ยกมุชยัชนะ กอ่นวิง่หนไีป
ในทันที มู่ตงซินนั้นเจ็บแค้นใจอย่างมาก
ครั้นพ่อบ้านสือรุนหลังเด็กน้อยไต้หยี่มาต่อหน้ามู่ตงซิน แนะนำว่ามัน
เป็นบ่าวที่จะมารับใช้คนใหม่ มู่ตงซินอึดอัดขัดข้องจนกระทืบเท้า ไต้หยี่เด็กน้อย
ลอบยิ้มแย้มยียวน มู่ตงซินทิ้งกายสะบัดขัดใจ ส่งเสียงโวยวาย พ่อบ้านสือถึงกับ
ต้องเอ็ด และขู่ว่าจะฟ้องมู่หลง มู่ตงซินจึงเงียบเสียงไปได้
หลังจากนั้น เด็กน้อยสองคนยิ่งขัดแย้งยิ่งขึ้น ไต้หยี่คะยั้นคะยอให้มู่ตงซิน
รำ่เรยีนดงัเชน่ผูอ้ืน่ มูต่งซนิบดิพลิว้เฉไฉไมย่อมทำตาม บางครัง้ไตห้ยีต่อ้งเขา้เรยีน
แทนคุณชายตน เอาโคลงกลอนเอาหนังสือกลับมาให้ตงซินท่องจำ ยิ่งมาไต้หยี่
ยิ่งอึดอัดใจ
ไต้หยี่ว่าอึดอัดแล้ว ฝ่ายมู่ตงซินยิ่งคับข้อง ชั้นเรียนคลาคล่ำด้วยเด็กวัย
ตวัอย่าง
BiscuitBus
6
ไล่เลี่ยพากันท่องจำโคลงกลอนฉาดฉาน แม้แต่บ่าวตนที่ชื่อไต้หยี่ เห็นเรียนบ้าง
ไม่ได้เรียนบ้างแต่ก็คล่องแคล่วนัก ทั้งมันยังเป็นพวกชอบหาความรู้ เรื่องอันใด
ไมเ่ขา้ใจกซ็กัไซจ้นไดค้วาม แมอ้าจารยร์ำคาญมนันกัหนาแตก่ช็ืน่ชมอยา่งยิง่ มูต่งซนิ
กลายเป็นลูกเต่าในชั้นจริง ๆ แล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง ถูกเรียกท่องโคลงกลอน มู่ตงซินเพิ่งถูกบังคับขู่เข็ญเข้าเรียน
ไมน่านไหนเลยจะทอ่งได ้ ดว้ยความอดึอดัดือ้รัน้อยา่งเดก็ มูต่งซนิวิง่เตลดิออกจาก
บ้านบัณฑิต ไต้หยี่ผุดลุกวิ่งตามคุณชายของตน
แท้จริงฝีเท้าไต้หยี่มิใช่ชั่ว มันคล่องแคล่วอย่างคนทำงานใช้แรงอยู่ตลอด
เวลา แต่ด้วยแรงอารมณ์ผลักดัน มู่ตงซินวิ่งเตลิดร้องไห้โฮเข้าไปในป่า รวดเร็ว
อย่างยิ่งจนเด็กน้อยไต้หยี่ตามไม่ทัน ร่างมู่ตงซินหายไประหว่างต้นไม้หนาทึบ
ฟ้ายังไม่มืด แต่พระอาทิตย์คล้อยเคลื่อน แม้ไต้หยี่น้อยกลัวจับใจแต่บ่าว
ย่อมไม่ทอดทิ้งคุณชาย มันเดินตามหาไปทั่ว สองมือป้องปากตะโกนคุณชาย...
คุณชาย...เรียกให้นายตนกลับบ้าน นายท่านแม้จะอย่างไรก็รักมู่ตงซินปานดวงใจ
ผู้มีพระคุณไต้หยี่ย่อมต้องดูแลจิตใจไม่ให้ชอกช้ำ
ตอนนั้นเองไต้หยี่พลันได้ยินเสียงโวยวาย คราแรกมันจับความไม่ได้
ภายหลังค่อยฟังออกว่าเป็นเสียงชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงทุ้มกว้างสองเสียง และ
ได้ยินเสียงคุณชายตงซินร้องคำ ‘อย่า!’ อย่างตื่นตระหนก
ไต้หยี่รีบเร่งไปยังต้นเสียง เห็นแต่ไกลระหว่างต้นไม้กับต้นไม้ มู่ตงซิน
เอนอยู่บนพื้น ข้างหน้ายืนไว้ด้วยชายร่างใหญ่โตพุงป่องสวมเสื้อกระสอบสองร่าง
ในมือพวกมันมีดาบใหญ่โต มู่ตงซินยื่นส่งถุงเงินของตนให้ชายร่างยักษ์ทั้งสองด้วย
มือสั่นเทา ไต้หยี่นึกขลาดเขลา พ่อบ้านสือเคยเล่าให้ฟัง บ้านนี้เมืองนี้ในสมัย
ก่อนหน้านี้อยู่ยาก ภาษีแพง ประชาชนเดือดร้อน แม้จะอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว
แต่ก็ยังมีโจรชุกชุมไม่คลาย เห็นว่าสองชายร่างยักษ์นี้ต้องเป็นโจรเป็นแน่
เด็กน้อยหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับ เห็นโจรฉวยเอาถุงหนังใส่เงินจากคุณชาย
หน้าตากระหยิ่ม มันหันไปขยิบตาให้สหายคล้ายต้องการสังหารมู่ตงซินให้เรียบร้อย
ใจไตห้ยีก่ระหวดัถงึนายทา่นวบูหนึง่ มนัจงึกลัน้ใจสบัเทา้ หมายกระโจนขวางทางดาบ
ตัดสินใจตายแทนบุตรชายผู้มีพระคุณ
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
7
ไต้หยี่เห็นโจรเงื้อง่าอาวุธ มู่ตงซินร้องลั่นฟังไม่ได้ศัพท์ มันยิ่งสับเท้าหมาย
บรรลุเป้าหมาย ทันใดนั้นโจรทั้งสองพลันหยุดชะงัก ใบหน้ากระหยิ่มกลับฉาบไป
ด้วยความตกใจ ร่างใหญ่โตสองร่างล้มลงกับพื้น ทั้งดวงตายังเบิกอยู่
ครั้นร่างใหญ่ร่วงลงสู่พื้น ด้านหลังของพวกมันปรากฏร่างไต้ซือท่านหนึ่ง
สวมจีวรเก่าแก่ ศีรษะถูกโกนแต่ผมงอกเป็นตอ หนวดเคราไม่ได้โกนออก ใบหน้า
เรียบนิ่งทอดมองมู่ตงซินที่ยังเอนกายอยู่บนพื้น เด็กชายส่งเสียงดังอย่างสิ้นสติ
ไตห้ยีน่กึวา่เปน็โจรเชน่สองคนแรก มนัมาถงึกก็ระโจนกางแขนบดบงัคณุชาย
กล่าวด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าโจร อย่าได้แตะต้องคุณชาย!”
ไต้ซือท่านนั้นเพียงแต่เลิกคิ้วเล็กน้อย มู่ตงซินประทับบ่าไต้หยี่น้อยด้วยมือ
ทั้งสองข้างราวกับจะห้าม แต่ไม่มีเสียงใดหลุดลอดออกมา ไต้หยี่กระซิบกระซาบ
เร็วรี่
“คุณชาย ท่านจงวิ่งหนีไป”
มู่ตงซินได้ยินพลันเกิดทิฐ ิ ใบหน้าเฉอะแฉะแต่กัดริมฝีปาก ส่ายศีรษะอย่าง
ดื้อดึง ไต้หยี่ยิ่งขัดข้องใจ ด่าว่าเสียงดัง
“ไอ้คุณชายลูกเต่า เจ้ารีบคลานหนีไปเสีย!”
“เจ้านั่นแหละลูกเต่า!” มู่ตงซินกล่าวกลับ “หลีกไป เจ้าเด็กไร้หัวคิด เจ้า
เป็นบ่าว ข้าเป็นนาย”
ไต้หยี่ได้ยินก็บังเกิดโทสะ เรียกขานชื่อมันตรง ๆ
“มู่ตงซิน ไอ้คุณชายโง่งม ไม่รู้ตัวอีกหรือไงว่ากำลังจะตาย...”
ไต้ซือที่นิ่งมองอยู่แต่แรกส่งเสียงอาเหมือนตกใจอย่างยิ่ง ชี้มือมายังมู่ตงซิน
ที่อยู่ด้านหลัง กล่าวเสียงสั่นเทา
“มูต่งซนิ...มูต่งซนิ...เจา้มแีซว่า่มู.่..” ไตซ้อืรำพงึ ดวงตาหมน่หมองดว้ยวยัชรา
เบิกขึ้น “หรือ...หรือบิดาเจ้าคือมู่หลง”
ไตห้ยีย่งักางแขนอยูเ่บือ้งหนา้ ตงซนิยงัเกาะหลงัยือ้ยดุ เดก็สองคนจอ้งหนา้
ไต้ซือท่านนั้นนิ่ง ไม่มีผู้ใดกล่าวคำ ไต้ซือแปลกหน้าเห็นดังนั้นพลันทำหน้าถมึงทึง
รังสีอำมหิตครอบคลุมทั้งบริเวณ อากาศหนาวเย็นเยียบฉับพลัน ไต้ซือชราคำราม
ตวัอย่าง
BiscuitBus
8
ด้วยลมปราณจากช่องท้อง ทั้งโทสะทั้งพลังยุทธ์ส่งกันและกันจนเสียงก้องป่า
“ตอบ!!”
เด็กทั้งสองสะดุ้งสุดกาย ผวามากอดเกาะกันยึดเหนี่ยว ที่ไม่กล่าวอะไร
อยู่แล้วยิ่งไม่กล่าว เนื้อตัวสั่นเทา หากเป็นมู่ตงซินที่ขยับกาย ฝืนเชิดหน้าขึ้น
“ใช่แล้ว! บิดาข้าพเจ้าชื่อมู่หลง!” เด็กชายเงยหน้ากล่าวเสียงดัง “หากเจ้า
มีหนี้แค้นต้องการชำระ ก็เชิญลงมือกับข้าพเจ้าได้เลย!”
ไต้หยี่ได้ยินดังนั้นก็ขยับมากางกั้นแขนในท่าเดิม พูดขึ้นทั้งยังขลาดกลัว
“ไต้ซือ หากจะฆ่าคน ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้” ว่าแล้วก็หันไปต่อว่าตงซิน “เจ้า
ลูกเต่า ยังไม่รีบไปอีก!”
ไต้ซือแปลกหน้าเห็นเด็กน้อยสองคนนายบ่าว ทั้งทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งมี
ไมตรตีอ่กนั กช็อบใจจนเงยหนา้หวัเราะเสยีงดงั นกึเอน็ดใูนใจ จงึกลา่วไปตามตรง
“หนี้น่ะมีแน่...แต่ฝ่ายเป็นหนี้นั้นไม่ใช่มู่หลง” ไต้ซือกล่าวเสียงเรียบ
หลุบตาต่ำ ส่ายศีรษะกล่าวอย่างหดหู่เศร้าใจ “เป็นอาตมาเองที่เป็นหนี้”
ได้ยินดังนั้นแล้วเด็กน้อยทั้งสองพลันขมวดคิ้วเหลือบมองกันและกัน
ไม่มีใครกล่าวอันใดได้แต่งงงวย ไต้ซือท่านนั้นก้าวเท้าย่อกายหยิบดาบใหญ่ที่ตกลง
ตรงหน้า สืบเท้าสูดหายใจ เดินลมปราณผสานท่วงท่าฟาดฟันไปด้านข้าง ดาบนี้
ไมไ่ดใ้ชเ้ตม็แรง ไมไ่ดเ้กดิรงัสอีำมหติ ไมไ่ดเ้กดิจติสงัหาร แตล่มปราณสง่แรงดาบ
บังเกิดเป็นลมแรงวูบหนึ่ง เป่ากระทบต้นไม้จนส่งเสียงดัง เด็กน้อยสองคนชมดู
อย่างตื่นตาจนอ้าปากค้าง
ไต้ซอืหนัมาแย้มยิ้ม เจาะจงเพ่งมองมู่ตงซิน กล่าวว่า “เจา้เห็นเป็นอย่างไร”
มู่ตงซินทราบว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย จึงรวบรวมขวัญกล้า ตอบออกไป
ตามตรง “ท่าดาบอันยอดเยี่ยม”
ไต้ซือแปลกหน้าพลันพยักหน้า “เจ้าต้องการร่ำเรียนหรือไม่”
แท้จริงเด็กชายวัยคะนองพลังอย่างมู่ตงซินสมควรรีบรุดรับปาก แต่ครั้น
คณุชายแหง่ตระกลูมูค่ดิยอ้นเหน็บา่วชายอายเุทา่ตนครำ่เครง่ฝกึเพลงยทุธ ์ เหงือ่กาฬ
ไหลหลั่ง ทุกวันคืนต้องตื่นแต่ย่ำรุ่ง ทรมานกายใจ ดัดตนฝึกฝนกว่าจะได้ท่วงท่า
มาสักชุดก็ผ่านไปหลายปี คิดแล้วก็อดขยาดกลัวจนชะงักไปไม่ได้
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
9
ไต้หยี่ไม่ทราบความ เห็นคุณชายตนนิ่งไป มันนึกว่าเจ้านายนึกระแวงสงสัย
จึงหันไปถามไต้ซือ “เหตุใดท่านจึงจะสอนเพลงดาบแก่นายข้าพเจ้า”
ประโยคไม่ได้แสดงไมตรี แขนเล็กยังกางกั้นปกป้องไม่คลาย ไต้ซือ
แปลกหน้าเห็นดังนั้นก็หุบยิ้ม กล่าวด้วยเสียงทุ้มอันดัง แฝงพลังยุทธ์อยู่ครึ่งส่วน
“เรื่องนี้บ่าวน้อยอย่างเจ้าสมควรรู้หรือ”
ไต้หยี่รับทราบรังสีข่มขู่แต่ยังเชิดคอ “ข้าพเจ้าเป็นบ่าวต่ำต้อย แต่ไต้หยี่
มิได้เป็นเด็กเล็กให้ท่านไต้ซือหลอกลวงได้ง่าย” มันว่า “หนี้อะไร เพลงดาบอะไร
นายท่านไม่อยู่ตรงนี้ ใคร ๆ ก็พูดได้”
ไต้หยี่ยืดกายกระทบกระเทียบเสียงดังราวไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไต้ซือส่งเสียง
‘เฮอะ’ ในลำคอ คิดอ่านกับตน เพิ่งแสดงฝีมือให้มันดูไปเมื่อครู่ บ่าวน้อยนี่ตัวแค่นี้
ยังคงกล้าต่อปาก
คิดแล้วจึงลอบจดจำชื่อไต้หยี่ไว้ “เจ้าบ่าวน้อยนี้พูดมีเหตุผล หากระแวง
อาตมานักก็จงไปไถ่ถามกับจอมยุทธ์์มู่ อาตมาจะรออยู่ที่ศาลาบนเขาด้านนั้น”
ว่าแล้วก็ผินหน้าไปด้านขวา “พรุ่งนี้ย่ำรุ่ง หากเจ้าไม่ปรากฏกายก่อนพระอาทิตย์
ตรงศีรษะ อาตมาจะไปตามถึงบ้านสกุลมู่ด้วยตัวเอง”
กล่าวเพียงเท่านั้น ไต้ซือแปลกหน้าก็หันกาย ทุ่มเทฝีเท้าจากไป
เด็กทั้งสองเห็นไต้ซือประหลาดลับหายไปแล้วพลันหมดเรี่ยวแรงกันทั้งคู่
หนัมากอดเกาะกนัตะโกนใสอ่กีฝา่ยดว้ยคำ ‘รอดแลว้ ๆ’ ดว้ยโลง่ใจ ทัง้รอ้งไหห้วัเราะ
ปะปนไม่ได้ศัพท์ โวยวายจนสาแก่ใจครู่หนึ่งจึงชวนกันกลับบ้าน ไต้หยี่เห็นนายมัน
ย่างเท้าร้องโอ๊ยเสียงดังหน้าเหยเก พอคลี่ถุงเท้าออกก็พบว่าข้อเท้ามู่ตงซินบวมแดง
มันจึงประคองให้คุณชายของมันลุกยืน แล้วค่อย ๆ พากลับไปที่บ้าน
มู่หลงทราบอยู่ตั้งแต่ก่อนหน้า ที่แท้บัณฑิตประจำหมู่บ้านเห็นเด็กสองคน
วิ่งหายไปทางชายป่าก็นึกห่วงใยแต่แรก แถบนั้นมีข่าวลือหนาหูว่าระยะนี้มีโจรป่า
ผ่านมาพักอาศัย ติดที่บัณฑิตท่านนั้นไม่มีวรยุทธ์์ จะออกติดตามด้วยตัวเองก็ยัง
ขลาดนัก จึงรีบจัดให้ศิษย์ทุกคนกลับบ้านช่อง ส่วนตนเองรีบรุดมาที่บ้านตระกูลมู่
แจ้งทุกอย่างแก่มู่หลง
ครานีท้า่นเจา้บา้นมูจ่งึรออยูใ่นโถงแตแ่รก ทัง้หว่งใยทัง้โกรธเกรีย้ว สัง่ใหบ้า่ว
ตวัอย่าง
BiscuitBus
10
แยกไปตามหาก็ไม่มีร่องรอยแม้แต่เงา ผ่านไปสองชั่วยามจึงเห็นเด็กน้อยสองคน
ประคับประคองกันและกันเดินเข้ามาทางประตู ใจมู่หลงทั้งตื้นตันทั้งหงุดหงิด
จนหน้าแดง หายใจเข้าออกโดยแรง
บ่าวสองสามคนปราดมาช่วยไต้หยี่ประคองคุณชาย ไต้หยี่เห็นนายท่านยืน
อกเสื้อกระเพื่อมตาแดงก่ำ ก็ประสานมือคุกเข่า
“นายท่าน เป็นบ่าวที่ไม่ได้ดูแลคุณชายอย่างดี”
มู่ตงซินครั้นเห็นบิดาตนโกรธจัด บัณฑิตประจำหมู่บ้านผู้เป็นอาจารย์นั่ง
หน้าไม่ยิ้มอยู่เบื้องข้าง จึงตั้งใจทิ้งกายจนเซใส่บ่าวที่ประคองอยู ่ ร้องโอย ๆ เสียงดัง
กลบเกลื่อน ไต้หยี่ทราบความนัยจึงรีบแจ้ง
“นายท่าน คุณชายบาดเจ็บด้วย” มันรีบว่า ปรี่ไปคลี่ถุงเท้ามู่ตงซินอย่าง
คล่องแคล่ว รอยบวมแดงชัดเจน “นี่...คุณชายบาดเจ็บมาก”
มูห่ลงเหน็ลกูชายคนเดยีวเจบ็ตวั แมเ้พยีงเลก็นอ้ยกน็กึปวดใจ ทีโ่กรธเกรีย้ว
ก็พลันอ่อนเบาลงด้วยความเป็นห่วง แต่ยังควบคุมกิริยา หันไปกล่าวแก่ไต้หยี่ว่า
“อาหยี่...เจ้าจงเล่ามาทั้งหมด”
“เรียนนายท่าน คุณชายไปเจอโจร” ไต้หยี่ยืดกายทั้งคุกเข่า กางแขน
วาดกว้างใหญ่ทำตาโต “ตัวมันใหญ่เท่าภูเขาแน่ะ”
“สองท่าน” มู่ตงซินลอบกระซิบแก้ไข ก่อนจะอ้าปากร้องโอยต่อไป
“ใช่แล้ว ตั้งสองท่าน” ไต้หยี่พยักหน้าแข็งขัน วาดมือเป็นวงสุดแขน
“ตัวใหญ่เท่านี้แน่ะ...”
มู่หลงรับฟังอย่างใจเย็น ยกมือลูบเครากล่าวขึ้นเหมือนจับพิรุธ “เช่นนั้น
พวกเจ้ารอดมาอย่างไร”
“เรียนนายท่าน มีไต้ซือผ่านทางมา” ไต้หยี่กล่าวอย่างกระตือรือร้น “ไต้ซือ
ท่านนั้นยื่นนิ้วแตะต้องลำคอของโจรทั้งสอง พริบตาเดียว...ก็ล้มลงทั้งคู่เลย...”
มู่หลงสีหน้าไม่เปลี่ยน ผงกศีรษะส่งเสียงอือ กล่าวขึ้น “ท่านไต้ซือเก่งกาจ
เพียงนั้นเชียว...”
“ไม่เพียงเท่านั้น ท่านไต้ซือประหลาดยังยกดาบฟาดต้นไม้ด้านข้าง” ไต้หยี่
วาดมือกวาดแขนไปด้านข้าง ใบหน้าจริงจัง “บังเกิดเสียงเฟี้ยวดังก้องป่า...บ่าวกับ
ตวัอย่าง
ราชบุตรเขยเจ้าสำราญ ๑
11
คุณชายถึงกับสั่นกลัว”
บ่าวน้อยพยักหน้าขึงขัง มู่หลงทอดถอนใจ ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึง
สอบถามต่อไป “ท่านไต้ซือช่วยพวกเจ้าไว้ ไยไม่ถามชื่อ นมัสการมาเยี่ยมเยียน
บ้านเราสักครู่”
ไตห้ยีก่บัมูต่งซนิลอบสบตากนั เปน็ไตห้ยีท่ีก่ลา่วขึน้มากอ่น มนัประสานมอื
แจ้งนายตามตรง “เรียนนายท่าน อภัยที่บ่าวไม่ทันคิด” มันว่า “แต่ท่านไต้ซือ
กล่าวแก่บ่าวว่า ท่านติดหนี้นายท่านอยู่ ยังต้องการสั่งสอนเพลงดาบแก่คุณชาย
เราด้วย”
มู่ตงซินกระซิบอีกครั้ง ไต้หยี่ได้ยินยังจับความไม่หมดดีก็ร้องอ้อคำหนึ่ง
กล่าวว่า “เรียนนายท่าน ท่านไต้ซือกล่าวว่า ให้มาถามเหตุทั้งสิ้นจากนายท่าน
ส่วนท่านไต้ซือจะรั้งรอคุณชายอยู่ที่ศาลาบนเขา หากพระอาทิตย์ตรงหัวแล้วคุณชาย
ไม่ไปหา จะลงมาเยี่ยมบ้านสกุลมู่ด้วยตัวเอง”
เด็กทั้งสองมองมู่หลงอย่างไร้กังวล บ่าวทั้งหลายไม่มีผู้ใดนึกหวาดกลัว
มีแต่อัศจรรย์ใจกับเหตุอันบังเกิดกับคุณชายและเพื่อนบ่าว ต่างคิดแต่จะจับ
ไตห้ยีน่อ้ยไปสอบถามเพิม่เตมิภายหลงั บณัฑติประจำหมูบ่า้นยงัคงขยบักายในเกา้อี ้
ต้องการชำระความกับมู่ตงซิน แต่ฝ่ายมู่หลงนั้นใบหน้าเผือดสี ดวงตาเบิกกว้าง
มองไปยังนอกประตูราวกับนึกเรื่องหวาดกลัวสยดสยองอันใดได ้ รีบก้มลงกล่าวแก่
ไต้หยี่อีกครั้ง
“เป็นความจริงรึ”
“บ่าวไม่กล้าปดนายท่านแม้ครึ่งคำ”
“อาหยี่...เจ้าตอบตามตรง เจ้าจดจำท่วงท่าของไต้ซือท่านนั้นยามตวัดดาบ
ไดห้รอืไม”่ มูห่ลงยืน่มอืกลา่วอยา่งรอ้นรน “หากจดจำได ้ จงทำใหข้า้ชมดหูนึง่ครัง้”
ไต้หยี่พยักหน้า ผุดลุกจากที่ วาดเท้าตวัดดาบในมโนความคิดเลียนแบบ
ครั้นมู่หลงเห็นเต็มตาก็ร้องอา ร่างกายโซเซถอยหลังไปสองก้าว ไต้หยี่ปราดไป
ประคับประคอง มู่ตงซินลืมเลือนความเจ็บปวด โถมกายหมายเข้าช่วยเหลือ
จนตนเองล้มลงกับพื้น มู่หลงยังรำพึง
“มีหนี้กับข้า...กับข้างั้นรึ” ชายชราเงยหน้าหัวเราะอย่างขมขื่น “ยังคงให้
ตวัอย่าง